คอลัมน์ "กฎหมายเพื่อคนชายขอบ" มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้ด้านกฎหมายหรือหาทางออกให้กับผู้เผชิญปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่างๆ โดยเราได้เชิญ รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร หรือ อ.แหวว จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายเพื่อช่วยเหลือคนชายขอบมาเป็นผู้ให้ความรู้และตอบปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิต่างๆ หากท่านมีปัญหาใดๆ ที่อยากถาม อ.แหวว สามารถส่งคำถามของท่านมายังที่อยู่ของสาละวินโพสต์ เราจะช่วยเป็นสื่อกลางในการค้นหาคำตอบมาให้ท่าน
แนะนำน้องวิน : คนนำเรื่องคนที่ 1
สำหรับเดือนนี้ กองบรรณาธิการส่งคำถามเกี่ยวกับการจัดการสถานะของเด็กไร้รัฐเพราะไร้รากเหง้ามาให้ตอบ เป็นเรื่องราว ของ "น้องวิน" ซึ่งถูกทอดทิ้งไว้ ณ โรงพยาบาลแม่สอด น้องวิน เป็นบุตรชายของบิดามารดาซึ่งเป็นแรงงานอพยพจากพม่าที่ข้ามมาทำงานที่แม่สอดเมื่อปีที่ผ่านมา และมาคลอดน้องวินและพี่ชายฝาแฝดที่โรงพยาบาลแม่สอด แต่ภายหลังการคลอดหนึ่งวัน น้องวินมีปัญหาหลอดอาหารตีบ ไม่สามารถกลืนอาหารเหมือนเด็กทั่วไป จึงต้องมีการผ่าตัดขยายหลอดอาหารให้น้องวินที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ เป็นเวลา 8 เดือน ค่ารักษาทั้งหมดเจ็ดแสนบาท ทางแผนกสังคมสงเคราะห์ของโรงพยาบาลช่วยจ่ายให้ทั้งหมด หลังจากนั้น น้องวินถูกส่งกลับไปอยู่กับพ่อแม่ที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก แต่เนื่องจากน้องวินไม่รู้จักการดูดกลืน จึงต้องใช้เวลาในการกระตุ้นให้น้องวิน รู้จักการกินอาหารทางปาก โดยระหว่างนี้ ต้องให้นมน้องวินทางสายยางต่อเข้าสู่กระเพาะโดยตรง เมื่อบิดานำน้องวินกลับไปเลี้ยงได้หนึ่งเดือน ประสบปัญหากับการให้อาหารทางสายยาง จึงนำน้องวิน มาทิ้งไว้ที่โรงพยาบาล
คุณผึ้งผู้เป็นเจ้าของคำถามซึ่งไปเจอน้องวิน หลังจากถูกทิ้ง แล้วประมาณ 2 เดือน จึงตัดสินใจนำน้องวินมาเลี้ยงดูและรักษาต่อ ที่โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ คุณผึ้งเล่าว่า เป็นคนตั้งชื่อให้น้องเอง โดยตั้งชื่อจริงให้ว่า "สาละวิน" และชื่อเล่นว่า น้องวิน (Win) เพื่อเป็นลางดีสำหรับน้องวินที่จะได้ชนะจากโรคภัยที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด หลังจากน้องวินมาอยู่กับคุณผึ้งได้สองอาทิตย์ก็เริ่มกินอาหารทางปากได้ และขณะนี้ น้องวินเริ่มกินอาหารทางปากและถอดสายยางออกแล้ว รวมทั้งมีพัฒนาการที่ใกล้เคียงกับเด็กปกติมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น คุณผึ้งจึงพยายามที่จะติดต่อบิดามารดาของน้องวินเพื่อคืนน้องวินให้แก่ครอบครัว คุณผึ้งได้พยายามติดต่อไปยังญาติของบิดามารดาของน้องวินซึ่งทำงานอยู่ในอำเภอแม่สอดเพื่อแจ้งว่าเด็กได้หายเป็นปกติแล้ว
ขณะนี้ คุณผึ้งกำลังรอ การติดต่อกลับมาของบิดามารดาของน้องวินคุณผึ้งเล่าว่า หากบิดามารดาน้องวินไม่ติดต่อกลับมา คุณผึ้งก็อยากจะรับน้องวิน เป็นบุตรบุญธรรม ซึ่งคุณผึ้งกังวลว่า กฎหมายไทยจะรับรองให้คุณผึ้งทำได้หรือไม่ ?
อาจตอบคุณผึ้งได้ว่า กรณีนี้เป็นไปได้ตามกฎหมาย แต่ใน ทางปฏิบัติน่าจะยุ่งยากมิใช่น้อย จะต้องดำเนินเรื่องในหลายขั้นตอนจนเหนื่อยอ่อน อาจประสบกับอุปสรรคจากระบบราชการพอสมควร ทั้งนี้ เพราะน้องวินนั้นไม่มีสัญชาติไทย แม้จะเกิดในประเทศไทยก็ตาม ทั้งนี้ เพราะบิดามารดาเป็นคนต่างด้าวที่เข้ามาในประเทศไทยในลักษณะไม่ถาวร
ความน่าเป็นห่วงอีกประการสำหรับน้องวินก็คือ น้องวิน อาจประสบ "ความไร้รัฐ" อีกด้วย ถึงแม้น้องวินจะมี "หนังสือรับรองการเกิด (ท.ร.11/11)" ซึ่งออกโดยโรงพยาบาลแม่สอด แต่ถ้า บิดามารดาเป็นเพียงชนกลุ่มน้อยในพม่าและไม่มีชื่อในทะเบียนราษฎรพม่า บิดามารดาก็ย่อมจะมีสถานะเป็นคนไร้รัฐในประเทศพม่า น้องวินก็จะมีสถานะเป็นคนไร้รัฐอีกด้วย หรือแม้บิดามารดาของน้องวินจะมีชื่อในทะเบียนราษฎรพม่าและได้รับการรับรองในสถานะของ "คนสัญชาติพม่า" ก็ตาม แต่หากบิดามารดามิได้นำหนังสือรับรองการเกิดของโรงพยาบาลแม่สอดไปแจ้งเกิดในทะเบียนราษฎรพม่า น้องวินก็ยังคงไร้รัฐ จนกระทั่งเมื่อมีการแจ้งเกิด ย้อนหลังให้แก่น้องวินในทะเบียนราษฎรพม่า ไม่ว่ากรณีจะเป็นไป ในลักษณะใด ในวันนี้ ก็น่าจะสรุปได้ว่า น้องวินน่าจะมีสถานะเป็น "เด็กไร้รัฐ"
แล้วผู้เขียนจะแนะนำคุณผึ้งอย่างไรดี ?
ผู้เขียนรำลึกได้ว่า ในช่วงเวลา 17 ปีของการทำงานเพื่อแก้ปัญหาสถานะบุคคลให้แก่คนจำนวนมากนั้น ผู้เขียนเห็น "เด็กไร้รัฐ" คนแล้วคนเล่าผ่านหน้าไป สงสาร เห็นใจ แต่แทบจะ ขยับอะไรไม่ได้มาก เพราะกฎหมายระดับพระราชบัญญัติไม่มีความชัดเจนในเรื่องการให้สถานะบุคคลที่ชอบด้วยกฎหมายแก่เด็กไร้รัฐ และยังมีบทบัญญัติเลวร้าย กล่าวคือ มาตรา 7 ทวิ วรรค 3 แห่ง พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ.2508 ซึ่งถูกแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535 ที่ถือว่า เด็กที่เกิดในประเทศไทย แต่ไม่มีสัญชาติไทย ตกเป็นคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย น้องวินก็ถูกถือเป็น "เด็กเข้าเมืองผิดกฎหมาย" ทั้งที่เกิดในประเทศไทย เว้นแต่ จะมีคำสั่งตามกฎหมายคนเข้าเมืองอนุญาตให้สิทธิเข้าเมืองแก่น้องวิน น้องวินจึงจะมีสถานะเป็นคนต่างด้าวที่เข้าเมืองถูกกฎหมาย แต่ก็ยังไม่มีคำสั่งดังว่าสำหรับน้องวิน
แล้วกฎหมายไทยจะยอมรับให้คนสัญชาติไทยอย่างคุณผึ้งรับเด็กต่างด้าวเข้าเมืองผิดกฎหมายอย่างน้องวินเป็นบุตรบุญธรรมหรือไม่ ?
ผู้เขียนต้องสารภาพว่า ผู้เขียนไม่ค่อยจะรอบรู้และเชี่ยวชาญ มากนักในการให้ความเห็นทางกฎหมายในเรื่องการรับเด็กไร้รัฐหรือเด็กไร้สัญชาติเป็นบุตรบุญธรรม นักกฎหมายก็เหมือนนักวิชาชีพ โดยทั่วไป ถ้าไม่มีโอกาสทำงานในเรื่องใดจนเชี่ยวชาญ แม้จะมีความรู้ก็จะเป็นเพียงแค่ความรู้ทางทฤษฎี ความรอบรู้ในทางปฏิบัติ จะต้องเกิดจากความฝึกฝนในทางปฏิบัติ ผู้เขียนเพิ่งจะนำความรู้ ทางทฤษฎีมาทดลองปฏิบัติตั้งแต่เมื่อ พ.ศ.2546 เท่านั้นเอง
แต่ผู้เขียนก็มีคำตอบสำหรับคุณผึ้งและน้องวิน ซึ่งผู้เขียนจะตอบคำถามของคุณผึ้งโดยการเล่าเรื่องของน้องขวัญ หรือเด็กชายขวัญ วรรัตน์ ซึ่งมีเรื่องราวที่ไม่แตกต่างนักจากน้องวิน ผู้เขียน อยากจะใช้ประสบการณ์ของครอบครัววรรัตน์ซึ่งประสบผลสำเร็จในการรับน้องขวัญเป็นบุตรบุญธรรมทั้งที่น้องขวัญก็เป็นเด็กไร้รัฐ มาสอนคุณผึ้งสำหรับการต่อสู้เพื่อรับน้องวินเป็นบุตรบุญธรรม
น้องขวัญก็ถูกทอดทิ้งตั้งแต่วัยเยาว์ในลักษณะเดียวกับน้องวิน น้องขวัญก็ไร้รัฐเหมือนน้องวิน น้องขวัญได้รับความรักจากครอบครัวคนสัญชาติไทยจนยอมรับน้องขวัญในสถานะของบุตรบุญธรรม น้องวินก็เช่นกัน ที่ต่างกัน ก็คือ น้องขวัญได้รับการยอมรับให้มีสถานะตามกฎหมายเป็นบุตรบุญธรรมของคนสัญชาติไทย ในขณะที่กรณีของน้องวิน ยังอยู่ในขั้นตอนเริ่มต้น ดังนั้น ควรลองมาพิจารณาศึกษาประสบการณ์การรับเด็กไร้รัฐเป็นบุตรบุญธรรมของครอบครัววรรัตน์ เพื่อที่เราจะใช้ประสบการณ์นี้ในการทำงานเพื่อน้องวิน
แนะนำน้องขวัญ : คนนำเรื่องคนที่ 2
ขวัญ วรรัตน์เกิดเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ.2533 ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ เรื่องของขวัญเริ่มต้นจากนางสายพิณ วรรัตน์ไปขายของอยู่ที่หอพักแห่งหนึ่งแถวพระโขนง และวันหนึ่ง ก็ได้รู้จักเจี๋ยจู ซึ่งมาเช่าห้องในหอพัก เจี๋ยจู กำลังตั้งครรภ์และต่อมาได้คลอด "ขวัญ" หลังจากคลอด เจี๋ยจู ก็หายไป ทิ้งขวัญไว้กับครอบครัววรรัตน์ เมื่อเด็กชายขวัญอายุได้ 8 เดือน นางเจี๋ยจูหายไปโดยไม่มีการติดต่อใดๆ ด้วยความรักของนางสายพินที่มีต่อเด็กชายขวัญ และตัวเองเคยเป็นเด็กกำพร้ามาก่อน นางสายพินจึงได้ตัดสินใจที่จะเลี้ยงดูเด็กชายขวัญเป็นลูกชายของตนเอง
กระบวนการเพื่อรับขวัญเป็นบุตรบุญธรรมจึงเริ่มขึ้น
ครอบครัววรรัตน์ได้เริ่มดำเนินการขอใบสูติบัตรของเด็กชายขวัญ โดยเริ่มการติดต่อที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และได้รับคำแนะนำให้แจ้งความถึงการหายตัวไปของนางเจี๋ยจู นางสายพินจึงได้ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2534 ว่านางเจี๋ยจู มารดาของเด็กชายขวัญได้หายตัวไปและแจ้งความประสงค์ที่จะรับอุปการะเด็กชายขวัญไว้ในความดูแล หลังจากนั้นจึงได้ไปขอรับสูติบัตรที่คาดว่าทางเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลได้แจ้งเกิดไว้ที่สำนักทะเบียนเขตปทุมวัน และได้แจ้งย้าย ชื่อน้องขวัญจากทะเบียนราษฎรกลางเข้าอยู่ในทะเบียนราษฎรของอำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรีเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2534
ในปี พ.ศ.2540 ครอบครัววรรัตน์เข้าติดต่อสถานสงเคราะห์ จังหวัดชลบุรีเพื่อดำเนินการขอรับเด็กชายขวัญเป็นบุตรบุญธรรม สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดชลบุรี จึงเรียกสำเริงและสายพิน วรรัตน์ และเด็กชายขวัญเข้าพบเพื่อสอบถามข้อเท็จจริง ตามหนังสือเรียกในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 111/2540 เรื่อง ขอรับบุตรบุญธรรม ลงวันที่ 3 กันยายน พ.ศ.2540
ในวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ.2540 สำนักงานอัยการจังหวัดชลบุรี แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว ได้มีหนังสือเรียก สำเริงและสายพินเข้าเบิกความเป็นพยานที่ศาลจังหวัดชลบุรี แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว ตามที่ได้ขอให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอรับเด็กชายขวัญเป็นบุตรบุญธรรมลงวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ.2540
สองปีต่อมา ในวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ.2542 สำนักงาน อัยการ จังหวัดชลบุรี แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว ได้มีหนังสือเรียกนายสำเริง และนางสายพิน วรรัตน์ เข้าเบิกความเป็นพยานที่ศาลจังหวัดชลบุรี แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว และศาลชลบุรี แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวได้มีคำพิพากษามีคำสั่งอนุญาตแทนการให้ความยินยอมของบิดามารดาผู้เยาว์ในการที่นายสำเริงและนางสายพิน วรรัตน์ จะรับเด็กชายขวัญ ผู้เยาว์เป็นบุตรบุญธรรม
ในวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ.2543 นายสำเริงและนางสายพิน วรรัตน์ ได้จดทะเบียนรับบุตรบุญธรรม เด็กชายขวัญ แซ่จิ้นเป็นบุตรบุญธรรม ที่สำนักทะเบียนอำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี และทำการเปลี่ยนชื่อสกุล ของเด็กชายขวัญ แซ่จิ้น เป็น วรรัตน์ ตามชื่อสกุลของบิดามารดาบุญธรรม
ขอให้สังเกตในประการแรกว่า ครอบครัววรรัตน์ใช้เวลาเกือบ 10 ปีที่จะทำให้น้องขวัญมีสถานะเป็นบุตรบุญธรรมของตน และให้ขวัญใช้นามสกุลวรรัตน์ที่ขวัญอยากใช้
ในประการที่สอง จะสังเกตได้ว่า ศาลไทยไม่สนใจว่า ขวัญจะเป็นคนสัญชาติไทยหรือคนต่างด้าว ? ศาลไทยไม่สนใจว่า ขวัญจะถูกมาตรา 7 ทวิ วรรค 3 แห่ง พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ.2508 ถือเป็น "คนต่างด้าวเข้าเมืองผิดกฎหมาย" ? ศาลเกรงแต่ว่า เด็กชายขวัญจะขาดไร้ไปซึ่งบุพการี เด็กชายขวัญซึ่งเป็นผู้เยาว์ควรจะมีครอบครัวบุญธรรม
หากคุณผึ้งอยากจะรับน้องวินเป็นบุตรบุญธรรม คุณผึ้งก็ควรจะทำตามขั้นตอนดังที่ครอบครัววรรัตน์ทำ ซึ่งก็ทำได้เอง โดยไม่ต้องใช้ทนายความก็ได้
กระบวนการเพื่อเยียวยาความไร้รัฐหรือไร้สัญชาติของน้องขวัญและน้องวิน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าน้องวินได้มีสถานะบุตรบุญธรรมของคุณผึ้งแล้ว ปัญหาน้องวินและน้องขวัญที่ค้างอยู่ย่อมจะมีลักษณะที่ไม่ต่างกัน กล่าวคือ น้องทั้งสองยังไร้รัฐ จึงต้องแก้ไขความไร้รัฐ ซึ่งหมายถึงความไร้สัญชาติให้แก่น้องทั้งสองอีกด้วย
สถานการณ์ก็ยังไม่เลวร้ายจนสิ้นเชิงสำหรับขวัญและวิน เขาทั้งสองไม่ตกในความไร้รากเหง้าเสียทีเดียว เพราะเราทราบอย่างแน่นอนว่า ขวัญเกิดที่ กทม. ในขณะที่น้องวินเกิดที่แม่สอด จึงสรุปได้ว่า ขวัญและวินมีจุดเกาะเกี่ยวกับประเทศไทยโดยการเกิดโดยหลักดินแดน โดยหลักกฎหมายสัญชาติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมีอำนาจอนุญาตให้สัญชาติไทยแก่ขวัญหรือวิน หากน้องทั้งสองร้องขอ
ขอให้สังเกต ยุทธศาสตร์จัดการสิทธิและสถานะบุคคลฯ ก็กำหนดเกี่ยวกับเด็กไร้รากเหง้าในลักษณะของขวัญและวินว่า "สำหรับบุคคลที่ขาดบุพการีหรือบุพการีทอดทิ้งที่ได้รับสถานะเป็นบุตรบุญธรรมตามคำสั่งของศาลให้ได้รับสัญชาติไทย"
จะเห็นว่า กรณีเพื่อการได้มาซึ่งสัญชาติไทยของขวัญไม่มีเงื่อนไขใดๆ ดังเช่นกรณีของเด็กที่ไม่มีบุพการีบุญธรรมตามคำสั่งศาล แต่โดยกฎหมายสัญชาติ เมื่อขวัญเกิดในประเทศไทย ขวัญก็อาจจร้องขอสัญชาติไทยโดยหลักดินแดน โดยไม่จำต้องรอจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะ กรณีของขวัญยังเป็นเรื่องใหม่ของ กรมการปกครอง ควรจะมีการนำเรื่องของขวัญมาเป็นต้นแบบในการแสวงหาทางแก้ปัญหา
บทส่งท้าย
เรื่องของขวัญจึงเป็น "บทเรียน" สำหรับคุณผึ้งที่จะทบทวนความเข้าใจและทดลองปฏิบัติตาม ซึ่งหากมีข้อติดขัดใด คุณผึ้งก็อย่าลังเลที่ส่งคำร้องมายังศูนย์นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เราคงมีทนายความอาสาสมัครที่จะส่งไปสนับสนุนคุณผึ้งได้