โดย เจ้ายอดศึก
สหภาพพม่า ก่อตั้งขึ้นมาโดยการเคลื่อนไหวทางการเมืองร่วมกันของรัฐฉาน คะฉิ่น ชินและพม่า ในการเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษ ไม่ได้เกิดขึ้นมาเพราะนายพลอองซาน ซึ่งเป็นผู้นำของพม่าในขณะนั้นเคลื่อนไหวหรือเรียกร้องตามลำพัง การดำเนินการเคลื่อนไหวทางการเมืองของนายพลอองซานทุกครั้งทุกพื้นที่จะมีผู้นำของไทใหญ่ร่วมอยู่ด้วยทุกครั้งไม่ว่าในการปฏิบัติงานหรือแก้ไขปัญหาต่าง ๆ
ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ 2490 เหล่าบรรดาผู้นำของรัฐฉานได้จัดการประชุมขึ้นที่ เวียงป๋างโหลง และในการประชุมกันนั้น ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการแห่งรัฐฉาน รวมทั้งได้มีมติเห็นชอบร่วมกันในที่ประชุมให้มีธงประจำชาติเป็นของตัวเอง (ประกอบด้วย สีเหลืองหมายถึงชนชาติที่มีผิวสีเหลือง(มองโกล) สีเขียวหมายถึงความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ สีแดงหมายถึงความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว รูปพระจันทร์เต็มดวงสีขาวหมายถึงความเป็นชนชาติที่มีจิตใจผ่องใส เบิกบานตามแนวทางของพุทธศาสนา) ซึ่งตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาประชาชนในรัฐฉานก็ได้ถือเอาวันที่ 7 กุมภาพันธ์เป็นวันชาติของตัวเองและจัดให้มีงานเฉลิมฉลองเป็นประจำทุกปี
หลังจากการประชุมของบรรดาเหล่าผู้นำของรัฐฉานเสร็จสิ้นลงไปแล้ว ต่อมาในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ 2490 นายพลอองซานก็ได้เดินทางมาถึงยังเวียงป๋างโหลง และในวันเดียวกันก็ได้มีการจัดประชุมร่วมกันระหว่างผู้นำของรัฐฉานและนายพลอองซาน ซึ่งในการจัดการประชุมในครั้งนี้ได้มีการเชิญธงชาติของรัฐฉานขึ้นสู่ยอดเสา และนายพลอองซานก็ได้ยืนทำความเคารพธงชาติของรัฐฉาน นั่นก็หมายความว่า ธงชาติของรัฐฉานมีก่อนธงชาติสหภาพพม่า ต่อมาในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ 2490 ผู้นำของรัฐฉาน คะฉิ่น ชินและพม่า จึงได้ลงนามร่วมกันใน หนังสือสัญญาป๋างโหลง พร้อมทั้งการก่อตั้งสหภาพพม่า จนกระทั่งต่อมาในวันที่ 4 มกราคม 2491 สหภาพพม่าก็ได้รับเอกราชจากอังกฤษ ซึ่งหากไม่มีรัฐฉานก็ไม่มีหนังสือสัญญาป๋างโหลง และหากไม่มีหนังสือสัญญาป๋างโหลงก็จะไม่เกิดสหภาพพม่าขึ้นมาได้ ดังนั้น หนังสือสัญญาป๋างโหลงจึงเป็นหลักฐานที่สำคัญยิ่งของสหภาพพม่า
หลังจากได้รับเอกราชจากอังกฤษแล้ว พม่าก็ได้ใช้วิธีที่ไม่เป็นธรรมต่าง ๆ นา ๆ ปฎิบัติต่อชาติพันธุ์ต่างๆ ทั้งในรัฐฉาน คะฉิ่นและชิน ซึ่งต่อมาพม่ากลุ่มของนายพลเนวินก็ได้วางแผนลอบยิงนายพลอองซานจนเสียชีวิต สาเหตุก็เพราะว่า นายพลอองซานและผู้นำของรัฐฉานได้มีคำมั่นสัญญากันไว้ในหนังสือสัญญาป๋างโหลงว่า หากอยู่ร่วมกันครบ 10 ปีแล้วถ้าไม่พอใจก็มีสิทธิที่จะแยกตัวออกมาได้ ด้วยเหตุนี้กลุ่มของนายพลเนวิน กลัวว่าจะต้องทำตามคำมั่นสัญญาที่ระบุไว้ในหนังสือสัญญาป๋างโหลง พวกเขาจึงได้วางแผนลอบยิงนายพลอองซานจนเสียชีวิต
หลังจากที่นายพลอองซานเสียชีวิตแล้ว พม่าก็ได้ยกย่องให้เจ้าฟ้าส่วยแต๊ก(หยองห้วย) ซึ่งเป็นเจ้าฟ้าของรัฐฉานขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหภาพพม่าชั่วคราว แต่ว่าก็ไม่มีอำนาจบทบาทใดๆ ต่อมาพม่ากลุ่มของนายพลเนวินก็ได้ทำการยึดอำนาจและทำการจับกุมเจ้าฟ้าส่วยแต๊กขังคุกจนถึงแก่อสัญกรรมในคุก และยังมีเจ้าฟ้าของรัฐฉานอีกหลายพระองค์ที่ถูกพม่าจับตัวไปคุมขัง รวมทั้งเจ้าฟ้าจ่าแสงซึ่งเป็นเจ้าฟ้าเมืองสี่ป้อก็ถูกลักพาตัวนำไปฆ่าทิ้งอย่างไร้ร่องรอย
ในปี พ.ศ 2492 เหมาเจ๋อตุงได้ทำการปฏิวัติยึดอำนาจในประเทศจีน ทำให้ฝ่ายกลุ่มของก๊กมินตั๋งต้องหลบหนีออกจากประเทศจีนเข้ามาในรัฐฉาน ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ 2493 พม่าก็ได้ส่งกำลังทหารเข้ามาในรัฐฉานโดยอ้างว่าเพื่อที่จะมาทำการปราบปรามกลุ่มก๊กมินตั๋ง แต่แท้ที่จริงแล้ว พวกเขาได้เจรจากันอย่างลับๆ โดยพม่ายินยอมให้กลุ่มก๊กมินตั๋งอาศัยอยู่ในรัฐฉานได้และกำลังบางส่วนของก๊กมินตั๋งก็ได้ผ่านเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย กำลังบางส่วนของกลุ่มก๊กมินตั๋งที่ยังอาศัยอยู่ในรัฐฉานก็ได้สนับสนุนให้ประชาชนในรัฐฉานทำการปลูกฝิ่น และตั้งแต่ปี ค.ศ 2493 เป็นต้นมา กลุ่มก๊กมินตั๋งและทหารพม่าก็ได้ร่วมมือกันค้าฝิ่น พร้อมทั้งตั้งโรงงานผลิตเฮโรอีน ด้วยเหตุนี้โรงงานผลิตเฮโรอีนจึงเกิดขึ้นในรัฐฉานตั้งแต่กลุ่มก๊กมินตั๋งเข้ามาในรัฐฉานนั้นเอง และในการขนฝิ่นก็จะใช้รถของทหารพม่า ที่เมืองมัณฑะเลย์ก็มีโกดังเก็บยาฝิ่น ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ทราบกันดี ไม่เพียงแต่ทหารพม่าจะไม่ทำการปราบปรามกลุ่มก๊กมินตั๋ง แต่ยังร่วมมือในการค้ายาเสพติดมาตราบเท่าทุกวันนี้
สาเหตุของปัญหาที่ทำให้สหภาพพม่าไม่มีความสงบสุขตราบเท่าทุกวันนี้ก็เพราะเหตุว่า ตั้งแต่ทหารพม่าเข้ายึดอำนาจการปกครองในปี พ.ศ 2505 จนถึงปัจจุบันนี้ ทหารพม่าไม่เคยคืนอำนาจการปกครองกลับคืนมาให้แก่ประชาชนในสหภาพพม่าแม้แต่สักครั้งเดียว จึงทำให้สหภาพพม่าไม่มีความสงบสุขและไม่มีความเจริญก้าวหน้าจวบจนทุกวันนี้
ผู้นำของรัฐฉาน คะฉิ่นและชิน ก็ได้พยายามที่จะใช้วิธีสันติในการเจรจากับรัฐบาลทหารพม่ามาหลายครั้งหลายหน แต่รัฐบาลทหารพม่าก็ไม่เคยยอมรับ ทำให้ประชาชนไม่มีทางเลือกอื่นใด ดังนั้นตั้งแต่ระหว่างปี พ.ศ 2501 - 2507 เป็นต้นมา เท่าที่ จะสามารถดำเนินการได้ประชาชนในสหภาพพม่าก็ได้ทำการรวบรวมอาวุธและกำลังเพื่อที่จะทำการต่อสู้ปกป้องชาติพันธุ์ของตนเองมาตราบเท่าทุกวันนี้
ด้วยเหตุที่ทหารพม่าได้ทำการปิดบังปัญหาต่างๆ ของสหภาพพม่า จึงทำให้ประเทศเพื่อนบ้านและนานาประเทศไม่ได้รับรู้ถึงปัญหาที่แท้จริง ประชาชนในสหภาพพม่าก็ต้องทนทุกข์ต่อความทุกข์ยากลำบากต่างๆ อยู่ทุกวี่วัน สาเหตุใหญ่ของปัญหาในสหภาพพม่านั้นมีอยู่ด้วยกัน 4 เรื่องคือ
หนึ่ง ทหารพม่าทำการยึดอำนาจการปกครองประเทศตั้งแต่ปี พ.ศ 2505 จนถึงปัจจุบันนี้ ทหารพม่าไม่เคยคืนอำนาจการปกครองให้แก่ประชาชน ประชาชนไม่มีสิทธิเสรีภาพในการประกอบอาชีพหาเลี้ยงตัวเองและครอบครัว
สอง ทหารพม่าไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงในหนังสือสัญญาป๋างโหลง และพยายามที่จะลืมหนังสือสัญญาป๋างโหลง
สาม ทหารพม่าได้ใช้อำนาจเผด็จการทางทหาร กดขี่ข่มเหงประชาชน ประชาชนขาดซึ่งสิทธิมนุษยชนในทุกๆ ด้าน บังคับให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎระเบียบที่พวกเขาเป็นคนกำหนด ประชาชนไม่มีส่วนร่วมในการร่างรัฐธรรมนูญที่มีความเป็นธรรมและการจัดประชุมสมัชชาแห่งชาติรวมทั้งแผนโร้ดแม๊ป 7 ขั้นตอนนั้น ก็เป็นสิ่งที่ทำขึ้นมาเพื่อโกหกต่อสายตาชาวโลกและประชาชนในสหภาพพม่าเท่านั้นเอง ใคร ๆ ก็ทราบดี ซึ่งเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกต้อง
สี่ ปัญหายาเสพติดก็มีการแพร่ระบาดหนักขึ้นทุกวัน ทหารในกองทัพพม่าก็รับสินบน ไม่สามารถที่จะควบคุมกันได้ อีกทั้งยังมีปัญหาทหารในกองทัพทำการกดขี่ข่มเหงประชาชน บังคับใช้แรงงานประชาชน ประชาชนเองก็ยากจนลงทุกวันอีกทั้งประชาชนก็ลักลอบหลบหนีออกนอกประเทศทุกวัน เด็ก ๆ ก็ ไม่ได้รับการศึกษาอย่างเต็มที่ ประชาชนไม่ได้รับการบริการด้านสาธารณสุขอย่างเพียงพอ ประชาชนขาดที่พึ่งและไม่สามารถที่จะพึ่งทหารพม่าได้ มิหนำซ้ำกลับต้องหวาดกลัวทหารพม่าอยู่ตลอดเวลา
วิธีการที่จะแก้ไขปัญหาใหญ่ของสหภาพพม่านั้นมีอยู่ ด้วยกัน 4 วิธี หากทหารพม่ายอมรับที่จะแก้ไขปัญหาด้วยความเป็นธรรม ทหารพม่าจะต้องมองย้อนถึงรากเหง้าของปัญหาใหญ่ 4 ประการคือ
หนึ่ง ให้ยอมรับและปฏิบัติตามหนังสือสัญญาป๋างโหลง ที่ลงนามร่วมกันเมื่อปี ค.ศ 1947
สอง ให้ประชาชนมีสิทธิและเสรีภาพในการเข้าร่วมการร่างรัฐธรรมนูญ
สาม ให้ทหารพม่ามอบอำนาจสิทธิในการปกครองตนเองให้แก่รัฐทุกรัฐ
สี่ ให้ทำการเลือกตั้งรัฐบาลกลางขึ้นมาใหม่ ซึ่งทุกรัฐให้ความเห็นชอบและมีสิทธิส่วนร่วมในการปกครอง ในส่วนของกำลังทหารพม่าที่อยู่ในแต่ละรัฐนั้นให้ถอนกลับ ซึ่งหากทหารพม่ายอมปฏิบัติตามที่กล่าวมานี้ ปัญหาต่าง ๆ ก็จะสามารถแก้ไขได้อย่างแน่นอน
ในระยะเวลา 44 ปีที่ทหารพม่าปกครองประเทศมานั้น บ้านเมืองไม่มีความเจริญก้าวหน้า ยิ่งนานวันยิ่งยากจนลง อีกทั้ง ทหารพม่ายังนำเอาคำว่าสหภาพมากล่าวอ้าง แต่แท้ที่จริงแล้วพม่ามีอำนาจแต่เพียงฝ่ายเดียว ซึ่งหากทหารพม่ายังใช้อำนาจในการปกครองสหภาพต่อไปอีกนั้น ประชาชนจะต้องได้รับความเดือดร้อน ความทุกข์ยากลำบากเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้านหรือประเทศในอาเซียนก็จะต้องได้รับผลกระทบจากการใช้อำนาจการปกครองของทหารพม่า ความสงบสุขที่แท้จริงก็จะไม่สามารถเกิดขึ้นมาได้
เกี่ยวกับปัญหายาเสพติด หากว่าให้รัฐฉานมีสิทธิในการปกครองตนเองนั้น รัฐฉานก็คงจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเอง สาเหตุที่ทำให้ยาเสพติดแพร่ระบาดมากขึ้น ก็เพราะทหารพม่านำเอายาเสพติดมาเป็นเครื่องมือในการกดดันกลุ่มผู้รักชาติในรัฐฉาน โดยการกล่าวหาว่ากลุ่มผู้รักชาติเหล่านี้ค้ายาเสพติด ซึ่งเป็นการโกหกหลอกลวงต่อชาวโลกมาโดยตลอดจนถึงทุกวันนี้
ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ ปัญหาใหญ่ภายในสหภาพพม่านั้น อยากให้ประเทศเพื่อนบ้านหรือสหประชาชาติได้เข้ามาศึกษาข้อเท็จจริงหรือรากเหง้าของปัญหาในสหภาพพม่าอย่างจริงจัง ประชาชนในสหภาพพม่าต้องไร้ซึ่งสิทธิมนุษยชนมาเป็นระยะเวลากว่า 50 ปีแล้ว ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1-2 ประชาชนต้องประสบกับความทุกข์ยากลำบากมาแล้วหนหนึ่ง แต่หลังจากที่สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ประชาชนยังต้องประสบกับความทุกข์ยากลำบากจากการกระทำของทหารพม่ามากกว่าตอนช่วงสงครามโลกเสียอีก จึงอยากเรียกร้องให้สหประชาชาติได้ให้ความสงสารแก่ประชาชนในสหภาพพม่าโดยการเข้ามาดูแลปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
ยอดศึก
12 พฤศจิกายน 2549