จินตนาการหลากสีของจิตรกรในพม่า

โดย ธันวา สิริเมธี
ใกล้เวลาของเที่ยงคืนวันหนึ่งเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ขณะที่คนส่วนใหญ่ในประเทศพม่ากำลังหลับใหล หญิงชาย กลุ่มหนึ่งกลับเร่งรีบเดินทางไปยังแกลเลอรี่แห่งหนึ่งกลางกรุงย่างกุ้งเพื่อชมการนิทรรศการภาพวาด "ลับเฉพาะ" โดยสามจิตรกรชื่อดัง

แขกทุกคนที่ได้รับเชิญมาร่วมงานครั้งนี้ล้วนเป็นแขกพิเศษที่ต้องผ่านการตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าเป็น "ผู้รักษาความลับ" มิให้รั่วไหลไปถึงหูกองเซ็นเซอร์ของรัฐบาลทหาร เพราะมิฉะนั้นบรรดาจิตรกรอาจถูกจับกุมในฐานะผู้สร้างความเสื่อมเสีย ต่อวัฒนธรรมอันดีงามของสังคมพม่าและมีชื่ออยู่ในบัญชีดำ ผู้กระทำการต่อต้านกฎระเบียบของรัฐ

เที่ยงคืนตรง ภาพวาดหญิงสาวเรือนร่างเปลือยเปล่าขนาดใหญ่กว่าหนึ่งตารางเมตรหลายภาพจากฝีมือของสามจิตรกรจึงเริ่มเผยโฉมเรียกเสียงฮือฮาจากผู้ชมได้ไม่น้อย ผู้ชมต่างรีบเร่งชื่นชมภาพวาดที่หาดูได้ยากในพม่าเพราะนิทรรศการนี้เปิดการแสดงเพียงแค่สองชั่วโมงเท่านั้น


หลังจากเข็มนาฬิกาค่อย ๆ เคลื่อนปลายแหลมไปยังเลขสองของเช้าวันใหม่ ดวงไฟในแกลเลอรี่จึงเริ่มดับลงทีละดวงเพื่อเป็นสัญญาณว่า การแสดงนิทรรศการภาพวาด "ลับเฉพาะ" สิ้นสุดลงแล้ว ทุกคนรีบกลับบ้านก่อนเพราะกลัวเจอ "แขกที่ไม่ได้รับเชิญ" เหมือนกับงานแสดงภาพประเภทเดียวกันซึ่งจัดขึ้นครั้งแรกเมื่อ 4 ปีก่อน ครั้งนั้น มีผลงานศิลปินมากกว่า 30 ท่านส่งเข้าร่วมแสดง โดยกำหนดระยะเวลาแสดงไว้หนึ่งเดือนเต็ม แต่ปรากฏว่า หลังจากเปิดการแสดงเพียงไม่กี่วัน ข่าวรั่วไหลไปถึงกองเซ็นเซอร์ทำให้บรรดาศิลปินต้องหอบภาพวาดกลับบ้านกันแทบไม่ทัน

ด้วยเหตุนี้ การแสดงภาพวาด "ลับเฉพาะ" ครั้งนี้ จึงกำหนดเวลาเปิดแสดงในเวลาเที่ยงคืนและลดระยะเวลาจัดแสดงเหลือเพียงสองชั่วโมงเพื่อหลีกเลี่ยงข่าวรั่วไปถึงหู "แขกที่ไม่ได้รับเชิญ"

เหตุการณ์ข้างต้นสะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลทหารได้พยายามควบคุมสิทธิเสรีภาพของประชาชนแทบทุกด้าน ไม่เว้นแม้แต่งานศิลปะ แต่ทว่า จิตรกรชาวพม่ากลับไม่ยอมจำนนต่อพันธนาการดังกล่าวและยังคงปล่อยให้จินตนาการโลดแล่นอย่างไร้ขีดจำกัดและหาทางเปิดเผยให้ผู้คนภายนอกได้ชื่นชมในที่สุด

- วงการภาพเขียนพม่า -

ภาพพระสงฆ์กำลังบิณฑบาตของจิตรกรตัวจิ๋ว
ถูกรัฐบาลวิจารณ์ว่าสวมจีวรไม่ถูกต้อง
ณ โรงเรียนสอนศิลปะ "บันทุซานดา" (Ban Thu Sander) กรุงมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า โช โช อ่อง จิตรกรหญิงเจ้าของโรงเรียนวัย 52 ปี หยิบภาพวาดพระสงฆ์กำลังบิณฑบาต ผลงานของจิตรกรตัวจิ๋ววัย 8 ปี ขึ้นมาโชว์พร้อมกับระบายความอึดอัดใจในมุมมองอันแตกต่างของรัฐบาลกับโลกงานศิลปะว่า "ภาพนี้เจ้าหน้าที่รัฐไม่ชอบ เพราะว่าใช้สีแดงไม่เหมือนกับจีวรจริง และลักษณะการใส่จีวรไม่ถูกต้อง รัฐบาลไม่เข้าใจว่า งานศิลปะเด็กคือการปล่อยให้เด็กถ่ายทอดจินตนาการของตนเอง ออกมาอย่างอิสระไม่ใช่การวาดภาพเหมือนจริงทุกประการ"



จิตรกรหญิงอาวุโสท่านนี้เป็นบุตรสาวของอู อ่อง ขิ่น บรมครู ศิลปะคนสำคัญของพม่า พ่อของเธอเปิดหลักสูตรสอนศิลปะให้กับเด็กและบุคคลทั่วไปมาตั้งแต่ปี 2537 แต่ละหลักสูตรมีระยะเวลา 3 เดือน เรียนวันละ 3 ชั่วโมง ราคาหลักสูตรละ 20,000 จั๊ต (600 บาท) ปัจจุบันมีเด็กนักเรียนจบหลักสูตรไปแล้วกว่า 500 คน
"เนื่องจากรัฐบาลไม่ได้ให้ความสำคัญกับวิชาศิลปะในโรงเรียน ที่โรงเรียนของรัฐจะไม่มีครูสอนวิชาศิลปะหรืออุปกรณ์วาดเขียนสำหรับเด็ก ทุก ๆ ปี ฉันจะนำอุปกรณ์วาดเขียนไปบริจาคตามโรงเรียนบางแห่ง รวมทั้งไปสอนศิลปะให้ตามบ้านเด็กกำพร้าปีละหนึ่งครั้ง"

จิตรกรหญิงผู้มีประสบการณ์สอนศิลปะเด็กมานานกล่าวถึงเหตุผลการเปิดโรงเรียนสอนศิลปะเด็กและอธิบายถึงแนวศิลปะเด็กที่พบในพม่าว่ามีอยู่ 2 แนวด้วยกัน คือ หนึ่ง ศิลปะแบบลอกเลียนของจริงซึ่งเป็นแนวที่รัฐบาลสนับสนุน เช่น ภาพพระสงฆ์ ที่แต่งจีวรถูกต้องตามจริง ภาพสถานที่ท่องเที่ยวหรือผู้คนที่ใช้สีสันตรงกับของจริง สอง ศิลปะที่มาจากจินตนาการของเด็กจริง ๆ ซึ่งเด็กอาจระบายสีที่แตกต่างจากของจริงหรือวาดภาพที่อาจไม่มีอยู่ในโลกความจริง เช่น ภาพวาดของคนกำลังนอนหลับแล้วฝันว่าได้ขึ้นไปเที่ยวสวรรค์ เห็นเทวดาหรือวิญญาณมากมาย เป็นต้น

ในประเทศพม่ามีมหาวิทยาลัยสอนศิลปะ 2 แห่ง คือ Yangon Art and Culture University และ Mandalay Art and Culture University ก่อนหน้าที่รัฐบาลจะเปิดปีการท่องเที่ยว "Visit Myanmar Year 1996" อาชีพจิตรกรยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก เนื่องจากถูกมองว่าเป็นอาชีพที่ไม่มีรายได้แน่นอน พ่อแม่ส่วนใหญ่จึงไม่สนับสนุนให้ลูกเรียนสาขานี้ คนที่มีใจรักงานศิลปะหลายคนจึงต้องเลือกเรียนสาขาอื่นและหาเวลาเรียนรู้ศาสตร์ศิลปะด้วยตนเอง แต่หลังจากเริ่มมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เริ่มเดินทางเข้ามาเที่ยวพม่า อาชีพจิตรกรก็เริ่มได้รับความนิยมและการสนับสนุนจากหลายครอบครัวเพราะหลายคนสามารถขายภาพวาดได้ในราคาสูงกว่าการประกอบอาชีพอื่นหลายเท่าตัว

ปัจจุบัน ตลาดงานศิลปะในประเทศพม่าอาจแบ่งประเภทผลงานออกเป็น 2 กลุ่มหลัก คือ กลุ่มภาพวาดเชิงพาณิชย์ และกลุ่มภาพวาดตามสไตล์ของจิตรกรแต่ละคน กลุ่มภาพวาดเชิงพาณิชย์ หมายถึง ภาพวาดที่มีเนื้อหาซ้ำๆ กัน ส่วนใหญ่เป็นภาพสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ เช่น เจดีย์ชเวดากอง เจดีย์ไจ้ก์ทีโย (พระธาตุอินทร์แขวน) พุกาม มัณฑะเลย์ เป็นต้น อีกส่วนหนึ่งเป็นภาพวาดลอกเลียนแบบภาพวาดของจิตรกรที่มีชื่อเสียงในระดับต่างประเทศ เช่น ภาพวาดเลียนแบบงานของมิน เว อ่อง ซึ่งเน้นภาพพระสงฆ์ เณร และแม่ชี ภาพวาดของจิตรกรท่านนี้มักได้รับเชิญไปจัดแสดงในต่างประเทศและขายได้ราคาหลายพันเหรียญสหรัฐ

ส่วนกลุ่มภาพวาดตามสไตล์จิตรกรจะมีลักษณะแตกต่างกันไปตามความถนัดของจิตรกรแต่ละท่าน จิตรกรกลุ่มนี้จะวาดภาพจากแรงบันดาลใจ ภาพแต่ละภาพจะไม่ซ้ำกัน บางภาพอาจใช้เวลานานหลายเดือนเพื่อกลั่นกรองความคิดและแต่งแต้มสีสันลงบนพื้นขาว จิตรกรเหล่านี้จะผลิตงานตามสไตล์ของตนเองออกมาอย่างต่อเนื่องจนกลุ่มผู้ซื้อรู้ว่าภาพวาดแนวนี้เป็นของจิตรกรคนไหน

ภาพนู้ด ศิลปะต้องห้ามฝีมือศิลปินพม่า
ผลงานของจิตรกรกลุ่มนี้มักได้รับความนิยมในต่างประเทศ เช่น อู ลุน ฉ่วย จะเน้นแนวอิมเพรสชั่นนิสม์ จี มิ้นท์ ซอว์ จะเน้นภาพวาดเกี่ยวกับตลาดและย่างกุ้งยามค่ำคืน ซอว์ วิน เพ่ เป็นแนวเอ็กเพรสชั่นนิสม์ และเน เมียว เซ เน้นภาพบุคคลและท่าเต้นรำพื้นเมืองของพม่า



สำหรับภาพวาด "ต้องห้าม" ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้นำมาจัดแสดงหรือขายในประเทศพม่าได้เลย คือ ภาพเปลือยหรือภาพนู้ด ภาพวาดที่เกี่ยวข้องกับการเมือง เช่น ภาพนายพลออง ซาน หรือภาพนางอองซานซูจี รวมไปถึงที่ใช้โทนสีดำและแดง เนื่องจากถูกมองว่าเป็นสีของคอมมิวนิสต์ นอกจากนี้ ภาพวาดที่สะท้อนให้เห็นปัญหาสังคมหรือแง่มุมลบต่อประเทศพม่า เช่น ภาพขอทาน ภาพสลัม ก็เป็นหนึ่งในภาพต้องห้ามเช่นกัน

ด้วยเหตุนี้ ภาพวาดที่จิตรกรนิยมวาดเพราะไม่ผิดกฎหมายและมีโอกาสขายได้ในท้องตลาดมากที่สุดจึงเป็นภาพเกี่ยวกับศาสนา ภาพเครื่องแต่งกายพื้นเมือง ภาพวิถีชีวิตชนบท ภาพวัฒนธรรมประเพณี และสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ รัฐบาลพม่าได้จัดตั้งสมาคมศิลปะในชื่อภาษาพม่าว่า "เมียนมาร์ไนงันโย้ยาป๊านปิ่นยาชิ่นอะเซะโยง" เพื่อควบคุมการทำงานของบรรดาจิตรกรไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง โดยจิตรกรที่เป็นสมาชิกของสมาคมนี้จะได้สิทธิพิเศษจากรัฐหลายอย่าง อาทิ การขออนุญาตทำหนังสือเดินทางเพื่อไปจัดแสดงงานในต่างประเทศ หรือการขอใช้สถานที่ของสมาคมในการจัดแสดงภาพวาด แต่สิ่งที่สมาชิกศิลปินจะต้องแลกก็คือ การตรวจสอบประวัติผลงานต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด รวมทั้งอาจได้รับการคัดเลือกเป็นคณะกรรมการในกองเซ็นเซอร์คอยตรวจสอบงานของจิตรกรต่าง ๆ เวลาจัดแสดงนิทรรศการ ศิลปินที่แสดงจุดยืนอยู่ข้างรัฐบาลทหารชัดเจนมากเท่าไหร่ก็จะได้รับสิทธิพิเศษจากรัฐบาลมากเท่านั้น อาทิ ได้ออกรายการโทรทัศน์ของรัฐ จัดแสดงนิทรรศการภาพวาดในงานประจำปีที่รัฐจัดขึ้นโดยแบ่งส่วนรายได้จากการขายภาพให้กับภาครัฐ เป็นต้น

นอกจากสมาคมที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้น ในพม่ายังมีสมาคมหรือชมรมของศิลปินต่าง ๆ ที่รวมตัวกันอีกหลายกลุ่ม เช่น ชมรมกั้นก่อ (Gan Gaw) ซึ่งเป็นชื่อดอกไม้ในมหาวิทยาลัยย่างกุ้ง ชมรมนี้จะเป็นแหล่งรวมกลุ่มนักศึกษาจากคณะต่าง ๆ ที่สนใจงานศิลปะมาพบปะแลกเปลี่ยนหรือจัดแสดงงานร่วมกัน ผลงานของกลุ่มกั้นก่อได้ถูกสั่งห้ามแสดงหลายครั้งเนื่องจากมีเนื้อหาล่อแหลมทางการเมือง สำหรับเมืองมัณฑเลย์จะมีชมรมศิลปินกรุงมัณฑเลย์ชื่อ "ทานเย็กโหญ่" (Htan Yeik Nyo) สมาชิกจิตรกรมักจัดแสดงนิทรรศการภาพวาดด้วยกันบ่อย ๆ นอกจากนี้ ยังมีอีกกลุ่มจิตรกรที่รวมตัวกันตามอาร์แกลเลอรี่ต่างๆ อีกเช่นกัน

สิ่งที่บรรดาจิตรกรพม่าอิดหนาระอาใจมากที่สุดเมื่อต้องจัดนิทรรศการภาพวาดของพวกตนก็คือ ทัศนะคติของกองเซ็นเซอร์ ต่องานศิลปะ เนื่องจากจิตรกรจะต้องแจ้งกับกองเซ็นเซอร์หากต้องการจัดแสดงภาพ และต้องอธิบายความหมายของภาพที่ดูแล้วมีความหมายคลุมเครือให้กับกองเซ็นเซอร์ฟัง ซึ่งในแง่ของศิลปะ ภาพบางภาพไม่สามารถอธิบายความหมายออกมาเป็นคำพูดได้ หากภาพใดที่มองแล้วให้อารมณ์ความรู้สึกน่ากลัวและไม่สามารถอธิบายความหมายของภาพได้ ภาพนั้นอาจถูกเซ็นเซอร์ไม่ได้รับอนุญาตให้แสดง ดังเช่น งานแสดงศิลปะสมัยใหม่เมื่อหลายปีก่อนที่กรุงมัณฑะเลย์ ภาพนามธรรม( abstract) ถูกเซ็นเซอร์ไม่ให้แสดง เนื่องจากจิตรกรไม่สามารถอธิบายความหมายของภาพได้

แม้ว่าอาชีพจิตรกรพม่าจะเต็มไปด้วยอุปสรรคมากมาย แต่ถึงกระนั้น ผู้คนมากมายก็ยังมีความฝันที่จะก้าวเดินบนเส้นทาง สายนี้ และหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้ไปถึงดาวที่ฝันไว้

- กว่าจะถึงดวงดาว -

บนเกาะมินกูน (Min Gun) ห่างจากกรุงมัณฑะเลย์เพียงหนึ่งชั่วโมงนั่งเรือ นับตั้งแต่เปิดปีการท่องเที่ยวเมื่อสิบปีที่ผ่านมา ในแต่ละวันเรือโดยสารขนาดใหญ่จะพานักท่องเที่ยวมาชมระฆังยักษ์และโบราณสถานเก่าแก่บนเกาะแห่งนี้ อาชีพที่เกิดขึ้นตามมา คือ ร้านขายของที่ระลึก ซึ่งรวมถึงภาพวาดจากฝีมือจิตรกรท้องถิ่นเช่นกัน


ภาพวาดบนกระดาษสาของม ูมู

โซ อ่อง จิตรกรหนุ่มวัย 39 ปี เป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงบนเกาะแห่งนี้ เขาเป็นจิตรกรเพียงไม่กี่คนในพม่าที่สามารถยังชีพอยู่ได้ด้วยการขายภาพวาดเพียงอย่างเดียว แต่กว่าเขาจะเดินทางไปถึงดวงดาวก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน

"เมื่อก่อนไม่มีใครสนับสนุนให้ลูกเป็นจิตรกรเพราะไม่เชื่อว่าจะหาเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้ ผมเริ่มต้นวาดภาพเพราะรู้สึกอยากวาด ผมยอมอดข้าวเพื่อนำเงินไปซื้ออุปกรณ์วาดภาพ บางช่วงผมกินแต่ขนมปังเปล่า ๆ กับน้ำชา แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็มีความสุขที่ได้วาดภาพตามแรงบันดาลใจของตนเอง"

ภาพวาดแรกของเขาเริ่มขายได้เมื่อปี พ.ศ. 2538 ราคา 700 จั๊ต (ประมาณ 200 บาทของค่าเงินปัจจุบัน) หลังจากนั้นราคาเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จนปัจจุบัน บางภาพขายได้ราคาสูงถึง 300 เหรียญสหรัฐ ชื่อของเขาได้กลายเป็นนักวาดภาพที่ได้รับความนิยมมากที่สุดบนเกาะมินกูนแห่งนี้ รวมทั้งเป็นที่รู้จักในแวดวง ศิลปะนานาชาติในปัจจุบัน

จุดเด่นที่ทำให้ภาพวาดของเขาเริ่มเป็นที่รู้จัก คือ สามารถถ่ายทอดภาพความยากจนหรือความทุกข์ยากของประชาชนรากหญ้า ในแง่มุมเล็ก ๆ ให้ผู้ชมรู้สึกเข้าใจปัญหาความยากจนของประเทศพม่า โดยหากมองเผิน ๆ จะเหมือนกับภาพวิถีชีวิตและธรรมชาติสวยงามทั่วไป แต่แท้จริงแล้วเขาแอบบอกเล่าเรื่องราวความทุกข์ยากของผู้คนอยู่ข้างในภาพเขียนของเขาเสมอ ยกตัวอย่างเช่น ภาพชาวบ้านบนเรือสองลำจอดแลกเปลี่ยนข้าวสวยและกับข้าวกลางแม่น้ำอิระวดี หรือบางครั้งอาจแอบเสียดสีนักการเมืองแบบอ้อม ๆ เช่น สมัยที่พลเอกขิ่น ยุ้นท์เป็นนายก เขาเคยวาดภาพเณรหลายรูปกำลังหยอกล้อกันไปมา แต่ตรงกลางมีหมาใส่แว่นยืนอยู่ ซึ่งดูเผิน ๆ จะคล้ายกับภาพศาสนาทั่วไป แต่หากสังเกตดี ๆ จะพบว่า หมาใส่แว่นหน้าตาคล้ายอดีตนายกพม่า เป็นต้น

ตลอดระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา ภาพวาดของโซ อ่อง มีผู้ซื้อไปแล้วไม่ต่ำกว่า 300 ภาพ แต่ละภาพไม่เคยมีเนื้อหาซ้ำกัน เพราะทุก ๆ ภาพเกิดจากแรงบันดาลใจที่เขาพบเห็นและรู้สึกในแต่ละช่วงเวลา ทุกวันนี้ เขาจึงมีรายได้เลี้ยงตนเองและครอบครัวจากการขายภาพอย่างเต็มตัว

สำหรับจิตรกรคนอื่น ๆ ในพม่าส่วนใหญ่ยังต้องเผชิญกับภาวะอดยากแร้นแค้น โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้นอาชีพนี้ พวกเขาต้องเผชิญกับภาวะกดดันทางเศรษฐกิจ ไม่สามารถหาเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้ หลายคนจึงต้องหันไปประกอบอาชีพอื่นเป็นอาชีพหลัก และวาดภาพเป็นอาชีพเสริม

มู มู จิตรกรหนุ่มเมืองเมเมี้ยว เจ้าของ "Lavie Art gallery" เป็นหนึ่งในสองจิตรกรพม่าที่วาดภาพบนกระดาษสาจนมีชื่อเสียง เขาผลิตพู่กันสำหรับวาดรูปลงบนกระดาษสาด้วยตนเอง โดยเรียนรู้เทคนิคจากเพื่อนจิตรกรชาวญี่ปุ่นที่เดินทางมาเยี่ยมแกลเลอรี่ของเขา ปัจจุบัน แกลเลอรี่ของเขาได้รับการกล่าวถึงในหนังสือนำเที่ยวชื่อดัง "Lonely Planet" เขากล่าวถึงเส้นทางชีวิตจิตรกรชาวพม่าว่า "เมื่อก่อนครอบครัวชาวพม่าส่วนใหญ่มองว่าอาชีพนี้ไม่สามารถเลี้ยงตนเองได้ แต่ผมโชคดีที่พ่อของผมสนใจงานศิลปะ ผมจึงได้รับการสนับสนุนให้วาดรูปตั้งแต่เด็กจนเรียนจบ มหาวิทยาลัยศิลปะที่เมืองมัณฑะเลย์ ผมมีเพื่อนที่เรียนจบรุ่นเดียวกัน 6 คน แต่มีเพียง 2 คนเท่านั้นที่อยู่ได้เพราะงานศิลปะ แม้ตอนนี้ตลาดงานศิลปะดีขึ้น พ่อแม่จึงเริ่มสนับสนุน มีคนสนใจเรียนศิลปะเพิ่มมากขึ้น แต่จิตรกรใหม่ ๆ ที่จะก้าวขึ้นมามีชื่อเสียงก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะนักท่องเที่ยวก็มักจะถามหางานของจิตรกรที่มีชื่อเสียงที่เขียนแนะนำในคู่มือท่องเที่ยวมากกว่า"

ด้วยเหตุนี้ ถนนสู่ดวงดาวของจิตรกรพม่าอีกจำนวนมากจึงไม่ได้โปรยด้วยกลีบกุหลาบ และกว่าจะถึงปลายทางที่ฝันไว้คงต้องอาศัยระยะเวลาและความมุ่งมั่นแน่วแน่ที่จะก้าวเดินบนเส้นทางสายนี้ต่อไปอย่างแท้จริง

- จิตรกรใต้ดินกับภาพวาดต้องห้าม -


ภาพเหมือนอองซาน ซูจีที่มินท์ซอว์มอบให้นาง
ในทุก ๆ บ่ายของวัน ประตูห้องอพาร์ตเมนท์แห่งหนึ่งจะถูกลงกลอนอย่างแน่นหนาเพื่อสร้างความมั่นใจว่าจะไม่มีใครเผลอเปิดประตูบานนี้เข้ามาได้โดยง่าย หลังจากนั้น ภาพที่วาดค้างไว้และแอบซุกซ่อนในห้องเก็บของจึงถูกนำออกมา ณ กลางห้องโถงเพื่อรับแสงสว่างที่ส่องผ่านมาจากช่องหน้าต่าง ติ่นวิน (นามสมมุติ) จิตรกรวัยกลางคนค่อย ๆ บรรจงแต่งแต้มสีสันลงบนใบหน้าผู้นำหญิงแห่งพรรคเอ็นแอลดีอย่างตั้งใจ นี่ไม่ใช่ภาพแรกและภาพสุดท้ายที่เขาวาดถึงผู้นำหญิงคนนี้ เขาตั้งใจวาดภาพของเธอและนายพลอองซาน บิดาแห่งเอกราชของพม่าเพื่อส่งไปจัดแสดงในต่างประเทศสักวันหนึ่ง เขาซ่อนภาพที่วาดเสร็จแล้วไว้อย่างดี เพื่อรอคอยเวลาเดินทางไปอวดโฉมในต่างแดน

ติ่นวินเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในพม่าคนหนึ่ง ผลงานของเขาได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ เขาวาดภาพที่รัฐบาลอนุญาตและจัดแสดงในประเทศพม่ามาแล้วหลายครั้ง และยัง "แอบ" วาดภาพต้องห้ามอยู่เสมอ แม้เขาจะรู้ดีว่า การวาด ภาพผู้นำการเมืองที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลทหารเสี่ยงต่อคุกตารางมากเพียงใด และหากถูกจับได้เขาอาจไม่มีโอกาสกลับมาวาดภาพอีกครั้ง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกยอมจำนนต่ออำนาจเผด็จการที่พยายามควบคุมจินตนาการของเขาแต่อย่างใด ตรงกันข้าม เขากลับพยายามหาช่องทางหลบหลีกให้จินตนาการได้โลดแล่นไปดังใจฝันเพื่อรอคอยการเปิดเผยให้โลกภายนอกได้รับรู้ในสักวันหนึ่ง

มินท์ซอว์ (นามสมมุติ) เป็นอีกหนี่งจิตรกรพม่าที่นิยมวาดภาพต้องห้ามควบคู่ไปกับภาพที่รัฐบาลอนุญาต เขาเรียนรู้เทคนิควาดภาพจากจิตรกรรุ่นพี่ ถ่ายทอดจินตนาการลงบนผืนผ้าใบได้หลากหลายเนื้อหา ทั้งภาพวิว สถานที่ และผู้คน เขาเริ่มวาดภาพผู้นำหญิงแห่งพรรคเอ็นแอลดีมาตั้งแต่ปี 2533 ปัจจุบัน มีภาพวาดรวมแล้วมากกว่า 50 ภาพ ภาพเหล่านี้ถูกขายให้เฉพาะคนรู้จักที่ไว้ใจได้ และส่วนหนึ่งถูกส่งไปขายในต่างประเทศ เขาเคยมีโอกาสมอบภาพให้กับผู้เป็นแรงบันดาลใจสองครั้ง ภาพวาดแรกเป็นภาพซูจีกำลังนั่งที่โต๊ะทำงาน ปัจจุบัน ภาพนี้แขวนอยู่ที่ผนังห้องทำงานของนางซูจี และภาพที่สองเป็นภาพวาดขนาดใหญ่เกือบเท่าขนาดตัวจริง เขามอบให้นางซูจีก่อนการเดินทางไปยังเมืองเดพายิน รัฐคะฉิ่น และเธอสัญญาว่าจะกลับมาแวะรับภาพวาดนี้ก่อนกลับบ้านในกรุงย่างกุ้ง แต่จนถึงปัจจุบัน เธอก็ยังไม่มีโอกาสมารับภาพวาดชิ้นนี้กลับไป เนื่องจากขบวนรถของเธอถูกโจมตีระหว่างทางและเธอยังถูกรัฐบาลทหารกักบริเวณอยู่ในบ้านพักจนถึงทุกวันนี้

จิตรกรเจ้าของภาพวาดกล่าวถึงเหตุผลที่เลือกวาดภาพผู้นำการเมืองหญิงท่านนี้ไว้จำนวนมากว่า "ผมเคารพและศรัทธาสิ่งที่เธอทำเพื่อประชาชนพม่า ผมมีความสุขที่ได้วาดรูปของเธอและเผยแพร่ไปยังโลกภายนอกเพื่อให้คนรำลึกถึงเธอ รัฐบาลอาจห้ามไม่ให้จัดแสดงวาดภาพของเธอในพม่า แต่ไม่สามารถห้ามไม่ให้ผมวาดภาพของเธอได้"

การเดินทางของภาพวาดต้องห้ามไปต่างประเทศนั้นกระทำได้หลายทางโดยแอบซ่อนไปกับสินค้าต่าง ๆ ที่เดินทางไปยังชายแดน เพราะภาพวาดสามารถม้วนให้เล็กหรือทำให้แบนราบซ่อนไปกับพาหนะหรือกระเป๋าเดินทางได้ไม่ยาก สิ่งที่สำคัญ คือ "ความไว้ใจ" ในตัวผู้ขนส่ง เพราะหากถูกหักหลัง ภาพวาดเหล่านี้จะเดินทางไปสู่มือของรัฐบาลทหารแทนการข้ามชายแดน หรือหากถูกตรวจสอบพบระหว่างทาง ทั้งผู้ขนส่งและศิลปินจะต้องถูกจับเข้าคุกทั้งคู่ ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยในการขนส่งภาพวาดต้องห้าม ผู้ขนส่งมักจ่ายเงินพิเศษให้กับเจ้าหน้าที่ตามด่านต่าง ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการค้นกระเป๋าเดินทาง หรือจ่ายเงินพิเศษให้กับผู้ขนส่งที่ไม่มีประวัติเกี่ยวข้องกับการเมืองและสามารถเดินทางเข้าออกชายแดนได้ง่าย ด้วยเหตุนี้ ต้นทุนของภาพวาดต้องห้ามเมื่อข้ามมาถึงชายแดนจึงมีราคาสูง และภาพวาดเหล่านี้จะมีราคาแพงกว่าภาพวาดประเภทอื่นที่เดินทางมาจากพม่า

นอกจากภาพวาดการเมือง ภาพวาดเปลือยหรือภาพนู้ดเป็นภาพวาดต้องห้ามที่จิตรกรพม่าหลายคนยังคงนิยมวาดและแอบจัดแสดงกันอย่างลับ ๆ ในพม่า รวมทั้งส่งมาขายในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง

สิ่งเหล่านี้จึงอาจยืนยันได้ว่า อำนาจเผด็จการอาจควบคุมได้เพียงการแสดงออก แต่ไม่สามารถควบคุมจินตนาการของผู้คนได้อย่างเด็ดขาด โลกของจิตรกรชาวพม่าภายใต้อำนาจเผด็จการจึงยังคงหลากหลายสีสันและแต่งแต้มเรื่องราวมากมายให้โลกภายนอกได้ชื่นชม ไม่แพ้โลกของจิตรกรชาติอื่นใดในโลก