มอญสองแผ่นดิน สัมพันธภาพทางวัฒนธรรมข้ามพรมแดน

โดย ชล วิไล

กลางเดือนตุลาคม พ.ศ. 2549 วัดวังก์วิเวการาม อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ต้อนรับผู้คนจากทั่วทุกสารทิศที่เดินทางมาร่วมงานสวดพระอภิธรรมของ "หลวงพ่ออุตตมะ" พระเถระผู้เป็นที่เคารพศรัทธาของผู้คนมากมาย โดยเฉพาะประชาชนชาวมอญจากทั้งสองฝั่งไทย-พม่า

มุมด้านหนึ่งลานวัดที่เคยโล่งเตียนกว้างขวางถูกแปรสภาพให้เป็นโรงครัวชั่วคราว โดยมีผู้หญิงนับสิบคนกำลังสาละวนอยู่กับการเตรียมอาหาร ขณะที่ด้านหน้าเต็นท์ ชาวบ้านอีกกลุ่มหนึ่งวุ่นวายอยู่กับการตักอาหารส่งให้แขกที่ทยอยกันมาร่วมงานไม่ขาดสาย


ถัดมาภายในบริเวณศาลาอันใหญ่โตโอ่โถง หญิงสูงวัย 3-4 คนกำลังช่วยกันกวาดทำความสะอาดพื้น ตรงประตูทางเข้าด้านหน้าหญิงสาว 2 คนกำลังเตรียมรินน้ำสมุนไพรสีเข้มสำหรับเตรียมที่จะเสิร์ฟให้ผู้มาร่วมงาน ขณะที่ริมทางเดินตรงกลาง

ด้านหนึ่งหนุ่มสาวอีกกลุ่มในชุดประจำชาติมอญทำหน้าที่ยืนรอต้อนรับแขก เชื้อเชิญให้หยิบดอกไม้ธูปเทียนไปนมัสการเคารพศพหลวงพ่อ และเนื่องจากตามธรรมเนียมของชาวมอญที่นี่ผู้คนจะไม่นิยมใส่เสื้อผ้าสีดำมางานศพ บรรยากาศภายในงานนี้จึงเต็มไปด้วยผู้คนหลากรุ่นหลายวัยที่แต่งกายในชุดหลากสีสันปะปนไปกับชุดประจำชาติมอญ ซึ่งทั้งชายและหญิงจะสวมเสื้อสีขาวคู่กับโสร่งหรือผ้าถุงสีแดงลายขวาง

เมื่อเสร็จสิ้นจากพิธีสวดพระอภิธรรมภาษามอญแล้ว แขกผู้มาเยือนที่ยังไม่รีบกลับไปไหนก็จะได้รับชมการแสดงศิลปวัฒนธรรมแบบมอญ ซึ่งบางคืนเป็นการแสดงรำมอญประกอบการแสดงดนตรีสดๆของเด็กๆจากโรงเรียนวัดวังก์วิเวการาม สลับสับเปลี่ยนกับการแสดงของคณะละครมอญจากฝั่งพม่าบ้าง แล้วแต่การจัดหามาของคณะเจ้าภาพซึ่งเป็นลูกศิษย์ลูกหาของหลวงพ่อ ทั้งข้าราชการ นักการเมือง พระสงฆ์ และกลุ่มคณะบุคคล ผู้หลักผู้ใหญ่ฝั่งมอญและฝั่งไทย อันมีรายชื่ออยู่บนกระดานไวท์บอร์ดยาวเรียงรายเต็มไปหมด

ตลอดระยะเวลาหนึ่งร้อยวันของงานมรณภาพ ชาวมอญจากหมู่บ้าน "วังก์กะ" ซึ่งหลวงพ่อเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการก่อตั้ง ปัจจุบันมีประชากรรวมกันกว่า 10,000 คน จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพดูแลแขกเหรื่อจากทุกสารทิศ โดยเฉพาะชาวมอญจากสองแผ่นดินไทย-พม่า ซึ่งต่างมุ่งหน้าเดินทางมาที่นี่ไม่ขาดสาย แม้ว่าทุกวันนี้ ประชาชนชาวมอญส่วนหนึ่งได้อพยพเข้ามายังประเทศไทย และส่วนใหญ่ยังอยู่ในประเทศพม่าปัจจุบัน แต่สายสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมระหว่างคนมอญสองแผ่นดินยังคงเชื่อมร้อยเป็นหนึ่งเดียวกันด้วยจิตสำนึกแห่งความเป็นชาติพันธุ์ที่เก่าแก่มากที่สุดแห่งอุษาเนย์

ชนชาติเก่าแก่แห่งอุษาคเนย์

ชนชาติมอญ นับเป็นชนชาติเก่าแก่ที่เข้ามาอาศัยอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่น้อยกว่าสองพันปีมาแล้ว เรื่องราว เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ความเป็นมาของชนชาติมอญมีความเกี่ยวพัน อย่างแยกไม่ออกจากประวัติศาสตร์พงศาวดารทั้งของไทยและพม่า โดยชาวมอญได้ชื่อว่าเป็นชนชาติแรกที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในประเทศพม่า เป็นชนชาติที่รับเอาอารยธรรมจากอินเดียมาเผยแพร่ ในดินแดนแถบนี้ และเป็นชนชาติที่เคยมีอาณาจักร มีศาสนา วัฒนธรรม และภาษาเป็นของตนเองเมื่อครั้งอดีตกาล แม้จนกระทั่งทุกวันนี้ อิทธิพลทางวัฒนธรรมความเป็นมอญหลาย ๆ อย่าง ทั้งทางด้านภาษา ศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ รวมไปถึงดนตรีและการแสดง ก็ยังคงปรากฏร่องรอยให้เห็นอย่างชัดเจนอยู่ในศิลปวัฒนธรรมของชนชาติไทยและพม่า

ในประวัติศาสตร์ไทยมีการบันทึกถึงมอญไว้ในฐานะพันธมิตรสำคัญที่เข้าร่วมรบในสงครามระหว่างไทยกับพม่าหลายครั้ง และด้วยความที่มอญกับพม่ามีการทำสงครามแย่งชิงดินแดนกันมาโดยตลอด จึงทำให้มีชาวมอญจำนวนไม่น้อยพากันอพยพหนีภัยสงครามเข้ามาตั้งถิ่นฐานในดินแดนสยามอยู่เสมอ การเข้ามาในประเทศไทยของชาวมอญบางส่วนยังมาจากถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลยสงครามเมื่อกองทัพไทยกลับจากการไปตีพม่า รวมถึงชาวมอญตามชายแดนที่เดินทางไปมาค้าขายอยู่เป็นประจำในยามที่สงครามสงบด้วย โดยจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบว่ามีการอพยพของชาวมอญที่เข้ามาในดินแดนไทยครั้งที่สำคัญ ๆ อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 7 ครั้ง ตั้งแต่สมัยไทยเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 1 จนกระทั่งถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์

ชาวมอญที่อพยพเข้ามาอยู่ในเมืองไทยตั้งแต่สมัยโบราณนี้ ส่วนใหญ่มักตั้งบ้านเรือนอยู่ตามลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และลุ่มแม่น้ำ แม่กลอง โดยชาวมอญยุคโบราณที่อพยพเข้ามาในเมืองไทยหลายระลอกนี้ ประกอบไปด้วยครอบครัวของชาวมอญหลากหลายชนชั้น ตั้งแต่ชนชั้นนำไปจนกระทั่งถึงชนชั้นชาวไร่ชาวนา ซึ่งในการอพยพเข้ามาบรรพบุรุษของชาวมอญเหล่านี้ ต่างก็ได้หอบเอาเอกสารใบลานซึ่งบันทึกเรื่องราววิชาความรู้ของชาวมอญจากเมืองมอญติดตัวมาด้วย และเมื่อมาถึงเมืองไทยก็ได้นำไปเก็บรักษาไว้ตามวัดต่างๆของชุมชนมอญ เอกสารเหล่านี้มีความสำคัญ อย่างยิ่งต่อชาวมอญทั้งสองแผ่นดิน เพราะข้อความภาษามอญที่ถูกจารึกไว้บนใบลานเหล่านี้ ไม่เพียงแสดงถึงอดีตความเป็นมาอันรุ่งเรืองของชาติมอญในอดีต หรือเชื่อมโยงคนมอญในแต่ละที่เข้าด้วยกันเท่านั้น แต่มันยังเป็นเครื่องมือทางวัฒนธรรมที่สำคัญในการคงความเป็นเอกลักษณ์ชาติพันธุ์ไว้ไม่ให้ถูกกลืนกลายหรือถูกทำลายไปโดยชนชาติอื่นอีกด้วย
....................................

สำหรับในพม่า หลังจากที่พม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษ และได้ละเมิดข้อตกลงที่จะให้มีการปกครองประเทศแบบสหพันธรัฐ โดยให้ชาติพันธุ์กลุ่มต่าง ๆ มีอิสระในการปกครองดินแดนของตนเองแล้ว รัฐบาลเผด็จการทหารพม่าได้ใช้มาตรการทางทหารเข้าจับกุมคุมขัง ลอบสังหารผู้นำมอญ และเข้าทำลายหมู่บ้านมอญจำนวนมาก จึงทำให้กองทัพกู้ชาติมอญต้องจับอาวุธขึ้นสู้กับรัฐบาลพม่ามาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2491 จนมาในปีพ.ศ. 2538 นี้เองที่มอญได้ตกลงทำสัญญาหยุดยิงกับพม่า และเปลี่ยนมาใช้วิธีการเคลื่อนไหวด้วยการเจรจาทางการเมืองแทนนับจากนั้น

สุนทร ศรีปานเงิน รองประธานชมรมเยาวชนมอญ กรุงเทพ ฯ และเลขาธิการสันนิบาติชนชาติมอญ หรือ Mon Unity League ( MUL ) วัย 50 ปี ที่เกิดในเมืองมุเดิ่ง แผ่นดินมอญ และเดินทางเข้ามาอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่อายุ 15 กล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมืองมอญในพม่าว่า ถึงแม้มอญจะสงบศึกกับพม่าไปแล้วก็จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามอญจะยอมทำตามที่พม่าต้องการทุกอย่าง การเมืองมอญในปัจจุบันจึงเป็นเรื่องของการเคลื่อนไหวแย่งมวลชน เรื่องนโยบาย และเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมากกว่า
"ถึงแม้มอญจะสงบศึกกับพม่าก็จริง แต่มอญก็ยังมีกองทัพอยู่ ถ้าหากมองการเมืองเป็นเรื่องทางทหารอย่างเดียวก็จะมองไม่เห็นมอญ แต่ถ้ามองภาพรวมจะเห็นชัดว่ามอญได้เข้าไปมีส่วนอยู่ในทุกๆด้าน ทั้งการเลือกตั้ง การประชุมสภา มอญก็มีส.ส. ในต่างประเทศมอญก็เคลื่อนไหว โดยเฉพาะการส่งข้อมูลให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ"

ในมุมมองของสุนทร ถึงแม้ว่ามอญจะถูกกดดันจากพม่าอย่างหนักไม่ต่างจากชาติพันธุ์กลุ่มอื่นๆ ในพม่า หากมองในมุมกลับแล้วการที่มอญต้องตกอยู่ภายใต้การกดขี่ของพม่าก็ยังมีข้อดีอยู่บ้างในแง่ที่ทำให้กระแสชาตินิยมในกลุ่มคนมอญในเมืองมอญทวีความเข้มข้นขึ้น ขณะที่เมื่อเปรียบเทียบกับมอญในไทย การไม่ต้องเผชิญกับความกดดันอะไรเลยเสียอีกที่ทำให้ "ความเป็นมอญ" ของคนมอญในเมืองไทยอ่อนแอลงยิ่งกว่า

ทุกวันนี้ประมาณกันว่ามีประชากรชาวมอญที่อาศัยอยู่ในเมืองมอญที่เป็นแผ่นดินของประเทศพม่าราว 1- 2 ล้านคน ส่วนในเมืองไทยเท่าที่เคยมีการสำรวจอย่างคร่าว ๆ ในปี พ.ศ. 2512 โดยนายแพทย์สุเอ็ด คชเสนี อดีตนายกสมาคมไทย-รามัญ พบว่ามีประชากรชาวมอญอยู่ในราวแสนกว่าคนใน 34 จังหวัดทั่วประเทศไทย ซึ่งในความเป็นจริงน่าจะมีจำนวนสูงมากกว่านี้อีกหลายเท่า ปัญหาคือเป็นเรื่องยากที่จะนิยามว่าใครบ้างที่นับว่าเป็นมอญ แต่ที่แน่ๆลูกหลานมอญเหล่านี้นับวันก็ได้ค่อย ๆ กลืนกลายเป็นชาวไทยเชื้อสายมอญไปหมดแล้ว และมีน้อยคนมากที่สามารถพูดภาษามอญได้

ในเมืองไทยแม้ว่าชาวมอญจะไม่ต้องเผชิญกับผลกระทบที่ตามมาจากการสู้รบเหมือนเช่นพี่น้องชาวมอญในเมืองมอญ หากชาวไทยเชื้อสายมอญก็เห็นถึงประโยชน์และความสำคัญในการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมที่สั่งสมมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษเอาไว้ จึงได้มีการรวมตัวกันก่อตั้งเป็นสมาคมไทย-รามัญขึ้นในปี พ.ศ. 2501 เพื่อทำงานทางด้านการอนุรักษ์วัฒนธรรมมอญในด้านต่างๆ

นอกจากสมาคมไทย-รามัญแล้ว กลุ่มที่ทำงานในด้านที่เกี่ยวกับมอญมายาวนานอีกกลุ่มหนึ่งก็คือชมรมเยาวชนมอญ กรุงเทพฯ ซึ่งเดิมทีก่อตั้งขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจะทำงานทั้งด้านวัฒนธรรมและการเมืองร่วมกับพรรคมอญใหม่ในฝั่งพม่า แต่เมื่อสถานการณ์ทางการเมืองในเมืองมอญเปลี่ยนแปลงไป ภายหลัง ชมรมฯจึงได้เปลี่ยนบทบาทมาทำหน้าที่เน้นหนักไปในเรื่องของการส่งเสริมและอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม และภาษามอญแทน และก็ด้วยการทำงานทางด้านวัฒนธรรมนี้เองที่นำมาสู่การฟื้นฟู เอกลักษณ์ความเป็นมอญระหว่างมอญในเมืองมอญและมอญในเมืองไทยร่วมกันอีกครั้ง จากที่ผ่านๆมาเอกลักษณ์ความเป็นมอญแต่เดิมต่างก็รับอิทธิจากวัฒนธรรมไทยและพม่าเข้ามาผสม
กลมกลืนไปมากแล้ว

สายสัมพันธ์สองแผ่นดิน

ในอดีตมอญเมืองมอญและมอญเมืองไทยยังคงมีการไปมาหาสู่กันมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถ่ายทอดความรู้ ให้แก่กันและกันในทางพุทธศาสนา ตัวอย่างเช่นกรณีที่ "พระมหาเย็น" พระเถระมอญจากเมืองไทยได้นำเอาพุทธศาสนาสายธรรมยุตินิกายไปเผยแพร่ในเมืองมอญสมัยเมื่อร้อยกว่าปีก่อน โดยในขณะนั้นมอญในเมืองมอญถูกพม่ากดดันอย่างหนักจนระส่ำระสาย คนมอญที่อยู่ในเมืองมอญไม่สามารถแม้แต่พูดภาษามอญได้ ชนชั้นนำมอญจำนวนไม่น้อยต้องหนีเข้ามาในเมืองไทย เมื่อพระมหาเย็นได้นำเอาพุทธศาสนาสายธรรมยุตินิกายจากเมืองไทยไปเผยแพร่ ลูกศิษย์ของท่านได้มีการจดทะเบียนนิกายอย่างถูกต้อง และมีการตั้งโรงพิมพ์มอญเป็นครั้งแรกในยุคที่พม่าตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ พุทธศาสนาในเมืองมอญจึงได้ฟื้นคืนมาอีกครั้งและสืบทอดต่อมาจนถึงทุกวันนี้

อย่างไรก็ตามด้วยกาลเวลาที่ผ่านมากว่าสองร้อยปี และด้วยความห่างไกลของพื้นที่บวกกับอิทธิพลจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองภายในพม่าที่ส่งผลถึงวิถีการดำเนินชีวิตผู้คนในแง่มุมต่างๆ จึงทำให้สายสัมพันธ์ระหว่างมอญเมืองไทย กับมอญเมืองมอญค่อยๆ ห่างหายคลายลงทุกที จะมีก็แต่ผู้ที่ ทำงานเคลื่อนไหวด้านการข่าวสาร การเมือง และวัฒนธรรมมอญ เท่านั้นที่ยังคงรับรู้ถึงความเป็นไปของสถานการณ์มอญทั้งในไทยและในพม่า ไม่รวมถึงชาวมอญที่อาศัยอยู่ตามแนวตะเข็บชายแดน ของทั้งสองฝั่งที่ยังติดต่อสื่อสารกันอยู่

สำหรับสุนทร นักวิชาการมอญผู้ที่มีบทบาทสำคัญในงานเคลื่อนไหวด้านการเมือง และการอนุรักษ์วัฒนธรรมมอญมาโดยตลอด เขากลับมองว่าแท้จริงแล้วความห่างเหินระหว่างมอญสองแผ่นดินไม่ได้อยู่ระยะทางที่ห่างไกล หากอยู่ที่คนมอญรุ่นหลังไม่มีความรู้ความเข้าใจในความเป็นมาของชาติพันธุ์ของตนเองมากกว่า

"สมัยก่อนการไปมาหาสู่อาจจะลำบากกว่า แต่ว่าความใกล้ชิดน่าจะดีกว่าปัจจุบันด้วยซ้ำไป ปัจจุบันไปมาหาสู่ง่ายกว่า แรงงานในพม่ามาทำงานในไทยเยอะ คนไทยที่มีเงินก็ไปเที่ยวพม่าเยอะ แต่ว่าความใกล้ชิดกันความผูกพันทางชาติพันธุ์จะน้อยลง เพราะไม่ได้ศึกษาว่าความเป็นมาเป็นอย่างไร บรรพบุรุษของเราเป็นอย่างไร"

กระนั้นก็ตามในท่ามกลางความห่างเหินนี้เอง ก็ไม่ได้หมายความว่ามอญในเมืองมอญและมอญในเมืองไทยจะไม่มีโอกาสได้พบกันเลยทีเดียว

อ๊อกปาย วงษ์รามัญ
อ๊อกปาย วงษ์รามัญ ศิลปิน นักอนุรักษ์ และนักแต่งเพลงพื้นบ้านมอญอิสระ วัย 45 ปี เล่าถึงเรื่องราวความประทับใจ เมื่อได้พบกับนายแพทย์สุเอ็ด คชเสนี ผู้สืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์มอญสุดท้ายก่อนเสียเอกราชให้กับพม่าและอพยพเข้ามาในไทยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 ที่กรุงย่างกุ้งเมื่อ 20 ปีแล้วว่า

"ผมกับวงดนตรีไปจัดการแสดงแข่งขันกันเกี่ยวกับเพลงที่ย่างกุ้ง แล้วได้พบกับหมอสุเอ็ด ๆ เอาบุหรี่ 'สามิตร 14' มาแจกให้พวกเรา 30 กว่าคน คนละซอง กลับมาผมเอาบุหรี่นั้นไปให้พ่อผมแล้วบอกกับพ่อว่า เรายังมีตระกูลกษัตริย์มอญอยู่นะ"

"ผมรู้สึกว่าอบอุ่นใจ เหมือนกับว่าเราได้มาเจอญาติของเรา ตั้งแต่นั้นมาใจผมก็ไม่ปกติแล้วครับ อยากเข้าไปเมืองไทยแล้วไปหาญาติๆ เพราะพ่อเล่าให้ฟังว่าเคยมีญาติๆ ไปค้าขายแถบท่าขนุนแถบเมืองกาญจน์ ตอนนั้นในใจผมคิดว่าสักวันหนึ่งผมจะได้มาเมืองไทย และเราจะทำงานกันได้ เราต้องสื่อสารกันได้ ตอนนั้นประเทศพม่าก็เดือดร้อนมากพอดี เหตุการณ์นั้นก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมตัดสินใจมา"

ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันกับที่อ๊อกปายได้พบกับมอญจากเมืองไทยเป็นครั้งแรกนั้น มอญในเมืองไทยอย่าง น้ำผึ้ง สวัสดิ์สุข แม่บ้านวัย 50 ปี ผู้บริจาคที่ดินให้สร้างศูนย์วัฒนธรรมมอญขึ้นในหมู่บ้านมอญวังก์กะ ยังจำได้ดีถึงช่วงเวลาที่มอญจากเมืองไทยได้มาพบกับมอญจากเมืองมอญอีกครั้ง

"ตอนนั้นมอญที่เมืองไทยยังไม่รู้ว่ามอญที่เมืองมอญนี่มีทหารด้วย พอดีตอนนั้นมีทหารมอญถูกยิงส่งไปรักษาที่ โรงพยาบาลคริสเตียนที่สังขละนี่ เขารักษาไม่ไหวเลยส่งต่อไปที่โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน ตอนไปกรุงเทพคราวนั้น เราก็รู้จักแต่ว่าวัดที่มีพระมอญอยู่คือวัดปรก เราก็ไปบอกว่า ทหารมอญถูกพม่ายิงมานะ เท่านั้นแหละเขาก็แห่กันมาเยี่ยม ทั้งพระทั้งคนแถวนั้น ตอนแรกเขาก็ตกใจว่า ยังมีมอญอีกหรือ เขาคิดว่าเป็นพม่าไปหมดแล้ว ตายไปหมดแล้ว ทีนี้เราก็เอารูปที่ทหาร ทหารหญิง รูปหัวหน้าพรรคที่ถ่ายไว้ไปให้เขาดูด้วย พอวันชาติมอญอีกปีต่อมา คนมอญจากเมืองไทยก็ไปกันเยอะมาก เอามาม่า เอาปลากระป๋องมาให้ เหมือนกับจุดชนวนระเบิดขึ้นมาอีกครั้ง คือมันขาดกันติดต่อกันไปก็คิดถึงกันใช่ไหม ก็ไม่คิดว่าจะมาเจอกันแล้ว"

น้ำผึ้ง สวัสดิ์สุข 
สำหรับน้ำผึ้ง การที่มอญสองฝั่งกลับมาสัมพันธ์กันอีกครั้งได้ ก็เพราะพวกเขายังพูดภาษาเดียวกัน มีค่านิยมความเชื่อเรื่องผี และมีวัฒนธรรมประเพณีแบบเดียวกัน ถึงแม้จะพูดคุยกันไม่เข้าใจ ในครั้งแรก เพราะภาษาของต่างฝ่ายต่างก็เพี้ยนไปตามกาลเวลา และได้รับอิทธิพลภาษาอื่นที่เข้ามาแทรกบ้าง แต่ก็ยังโชคดีที่ยังเหลือตัวหนังสือภาษาเขียนช่วยในการสื่อความหมาย

เช่นเดียวกับอ๊อกปาย น้ำผึ้ง และชาวมอญอีกหลายต่อหลายคนที่ทำงานด้านวัฒนธรรม พวกเขาเชื่อว่า ตราบใดที่ชาวมอญอย่างพวกเขายังคงรักษาภาษา และวัฒนธรรมประเพณีของตนเองไว้ได้ ตราบนั้นชนชาติมอญก็จะยังคงอยู่และไม่มีวันสูญสิ้นชาติ แม้ว่ามอญจะยังไม่สามารถจะได้ดินแดนของตนเองกลับคืนมาก็ตาม

การต่อสู้ที่ปราศจากอาวุธ

ทุกวันนี้นอกเหนือไปจากการเคลื่อนไหวทางการเมืองของพรรคการเมืองมอญบนโต๊ะเจรจาแล้ว การเคลื่อนไหวที่สำคัญที่สุดของทั้งมอญในไทยและในพม่าก็คือการฟื้นฟูให้มีการเรียนการสอนภาษามอญให้กับเยาวชนมอญรุ่นหลัง

สำหรับในพม่า แต่เดิมภายใต้การปกครองเผด็จการทหารที่มีนโยบายกลืนชาติพันธุ์กลุ่มน้อยต่าง ๆ ให้เป็นพม่า คนมอญไม่มีสิทธิใด ๆ ที่จะเปิดการเรียนการสอนภาษาของตนในโรงเรียน โดยทุกคนต้องถูกบังคับให้เรียนภาษาพม่าตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงมหาวิทยาลัย ในเวลาเดียวกันหนังสือภาษามอญ รวมทั้ง หนังสือที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์มอญที่เคยมีมากมายในห้องสมุดย่างกุ้ง สมัยที่พม่ายังไม่ได้รับเอกราชจากอังกฤษ ปัจจุบันก็สูญหายไปหมด คนมอญและพระสงฆ์มอญที่มีใจรักชาติในเมืองมอญจึงได้ช่วยกันรณรงค์ให้มีการอนุรักษ์ภาษามอญ เปิดสอนภาษามอญให้กับเยาวชนมอญรุ่นหลังในช่วงปิดภาคเรียน โดยใช้วัดเป็นสถานที่ในการเรียนการสอน ซึ่งก็ได้มีการสอนเรื่อยมา จนกระทั่งช่วงหลังเมื่อมีการเจรจาหยุดยิง และพม่าผ่อนคลายความกดดันมากขึ้น โรงเรียนมอญซึ่งอยู่ในเขตรัฐมอญสามารถสอนภาษามอญได้ ทำให้ในแต่ละปีมีเยาวชนมอญที่มีโอกาสได้เรียนภาษามอญมากขึ้นเรื่อยๆ

ส่วนในเมืองไทยนักเคลื่อนไหวด้านวัฒนธรรมมอญกลุ่มต่างๆ ต่างก็พยายามที่จะรณรงค์และริเริ่มให้มีการสอนภาษามอญให้กับเยาวชนมอญรุ่นใหม่หลายกลุ่มเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะ เป็นกลุ่มเยาวชนไทยเชื้อสายมอญที่ไม่เคยรู้จักภาษามอญมาก่อน กลุ่มเยาวชนมอญ สังขละบุรีที่พูดภาษามอญได้แต่อ่านเขียนหนังสือมอญไม่ได้ รวมถึงกลุ่มชาวมอญที่มาใช้แรงงานในประเทศไทย สัญชาติพม่า ที่บางคนก็ไม่สามารถแม้แต่จะพูดภาษามอญได้

กะเซามอญ ผู้ดูแลศูนย์วัฒนธรรมมอญแห่งประเทศไทย หมู่บ้านมอญวังก์กะ ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยกลุ่มชาวมอญที่ทำงานด้านวัฒนธรรมทั้งในเมืองไทยและเมืองมอญ รวมถึงมอญในที่ต่างๆทั่วโลกกล่าวว่า โครงการหนึ่งที่ศูนย์วัฒนธรรมมอญของเขากำลังดำเนินการอยู่โดยได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยมหิดลและองค์การยูเนสโก คือการจัดให้มีการบรรจุหลักสูตรภาษามอญเข้าไว้ เป็นส่วนหนึ่งในหลักสูตรของโรงเรียนวัดวังก์วิเวการาม ซึ่งเริ่มทดลองเปิดสอนในปีนี้เป็นปีแรก โดยมีครูอาสาสมัครมอญ 13 คน รับผิดชอบการสอนตั้งแต่ชั้น ป.1 ถึง ม.3 โครงการนี้เป็นโครงการที่สอดคล้องและเป็นไปในทิศทางเดียวกับงานที่ชมรมเยาวชนมอญกรุงเทพฯ กำลังทำ นั่นคือการพยายามผลักดันให้วิชาภาษามอญได้เข้ามาอยู่ในหลักสูตรการเรียนการสอนของโรงเรียนในชุมชนมอญต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย ซึ่งก็ได้เริ่มทำการสอนไปบ้างแล้วใน 3-4 โรงเรียน นอกจากนั้นยังได้จัดทำหลักสูตรภาษามอญ และภาษาไทยสำหรับคนมอญที่มาใช้แรงงานในเมืองไทยด้วย

กะเซามอญ พูดถึงเหตุผลที่คนมอญพยายามที่จะอนุรักษ์ความเป็นมอญเอาไว้ว่า
"เมืองมอญจะได้เมื่อไรเราไม่รู้ แต่พวกเราคนที่ทำงานเกี่ยวกับวัฒนธรรมต้องพยายามรักษาวัฒนธรรมตรงนี้เอาไว้ ถ้าได้เมืองมอญก็ดี เพราะว่าเราพร้อมจะประกอบขึ้นมาใหม่ได้ แต่ว่าถ้าไม่ได้เมืองมอญ เราก็ต้องรักษาไว้ เพราะเรากลัวจะสูญสิ้นชาติพันธุ์ไป"

ศูนย์วัฒนธรรมมอญแห่งนี้เปิดดำเนินการมาเป็นเวลากว่า 2 ปีแล้ว จากการร่วมแรงร่วมใจของชาวมอญในหมู่บ้าน ก่อตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นสถานที่เก็บรวบรวมเอกสารมอญโบราณและสิ่งของที่แสดงถึงวัฒนธรรมของชาวมอญ และเป็นสถานที่ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเรื่องมอญ งานที่สำคัญของศูนย์ฯนอกจากโครงการสอนภาษา คือโครงการวิจัยสำรวจองค์ความรู้ที่อยู่ในใบลานมอญอายุ 200 กว่าปีจำนวนมากมายที่ศูนย์เก็บรักษาไว้เพื่อนำมาคัดเลือก แปลและเรียบเรียงออกมาเป็นหนังสือ

อย่างไรก็ตามไม่ใช่เฉพาะแต่กลุ่มชาวไทยเชื้อสายมอญเท่านั้นที่ทำงานด้านการอนุรักษ์วัฒนธรรมมอญในเมืองไทย การจัด สร้างพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดม่วง และศูนย์มอญศึกษาขึ้นที่ชุมชนมอญวัดม่วง อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ก็เป็นอีกหนึ่งความพยายามของนักวิชาการทางด้านประวัติศาสตร์ โบราณคดี และหน่วยงานภาคเอกชนไทยหลายหน่วยงานในการที่จะรวบรวมเรื่องราวองค์ความรู้เกี่ยวกับมอญไว้ให้กับผู้สนใจเรื่องมอญได้มาศึกษา



แต่การมีศูนย์วัฒนธรรมมอญที่ดำเนินงานโดยคนมอญ เองนั้น สำหรับชาวมอญแล้วศูนย์วัฒนธรรมมอญที่สังขละบุรีนี้ไม่ได้มีความหมายแต่เฉพาะกับคนมอญในสังขละบุรีและในเมืองไทยเท่านั้น หากยังมีคุณค่าทางจิตใจและมีความหมายสำหรับคนมอญในเมืองมอญและคนมอญทั่วโลกด้วย กะเซามอญเล่าว่า

"ทางเมืองมอญ เขาก็มีศูนย์แบบนี้ ส่วนมากเขาจะตั้งที่วัด เพราะเขาไม่ได้มีอิสระอย่างเรา ที่ผมติดต่ออยู่มีประมาณ 100 กว่าวัดใน 2 จังหวัด สะเทิมกับมะละแหม่ง เรามีหนังสืออะไรบ้างบางครั้งเราถ่ายรูปสแกนรูปส่งไป ที่จริงทางโน้นเขาไม่ได้กลัวพม่าอยู่แล้ว เพียงแต่เขาไม่ชอบที่พม่ามายุ่ง วันชาตินี่ทางพม่าห้ามทุกปีนะ แต่ว่าเขาไม่กลัว เขาจัดงานอย่างเปิดเผยเลย อย่างการเรียนหนังสือภาษามอญตอนปิดเทอมนี่ รัฐบาลพม่าก็ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ พม่าก็รู้แต่ไม่กล้าห้าม เพราะในวัดนี่เป็นที่ของศาสนา
"ผู้ใหญ่ทางเมืองมอญมาเยี่ยมชมที่นี่บ่อย เราจะมีการประชุมร่วมกันปีละครั้ง มีมอญจากทุกที่ สหรัฐ มอญเมืองมอญ มอญเมืองไทยมาเจอกันที่นี่ ตอนมอญที่อยู่ในประเทศประชาธิปไตย เขาก็พยายามทำเรื่องวัฒนธรรมเหมือนเรา"

อนาคตชนชาติมอญ

ในขณะที่หนทางไปสู่ประชาธิปไตยในพม่ายังดูไร้ความหวัง หรือแม้แต่การที่ชาวมอญพลัดถิ่นในไทยจำนวนมากยังคงต้องรอต่อไปในเรื่องของการได้มาซึ่งสัญชาติ หากพวกเขาก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือการยึดมั่นในสิ่งที่บรรพบุรุษสั่งสอนไว้ นั่นคือรักษาเอกลักษณ์ทางเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ไม่หายสูญหายไปในรุ่นของตนเอง เหมือนอย่างที่น้ำผึ้งพูด

"บรรพบุรุษเราเคยสั่งไว้ ว่าเรื่องวัฒนธรรม รุ่นไหนก็แล้วแต่จะต้องสานต่อไป ถ้าสมมติว่ารุ่นเรา เราทำหายไปเลย เราบาปนะ เพราะเหมือนกับทำลายชาติตัวเอง ไม่ได้ผุดได้เกิด"

ซึ่งสำหรับกะเซามอญแล้ว เขายังคงมองโลกด้วยความหวัง และมั่นใจในศักยภาพของชุมชนมอญบ้านวังก์กะว่าจะต้องมีคนรุ่นใหม่เข้ามาสืบทอดภารกิจนี้จากเขาต่อไปอีกนาน ตราบเท่าที่เด็กๆชาวมอญทุกคนยังคงเติบโตขึ้นท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่ยังคงผูกพันใกล้ชิดกับความเป็นมอญพุทธศาสนาและใช้ภาษามอญอยู่ในชีวิตประจำวันอยู่อย่างในทุกวันนี้.



ขอขอบคุณ คุณสุนทร ศรีปานเงิน,คุณองค์ บรรจุน, คุณอ๊อกปาย วงษ์รามัญ , คุณน้ำผึ้ง สวัสดิ์สุข, ครูสอนภาษามอญ โรงเรียนวัดวังก์เววิการาม
น้องโบว์ และชาวชุมชนมอญบ้านวังก์กะ สังขละบุรี ทุกท่าน
ข้อมูลอ้างอิง www.monstudies.org www.monstudies.com www.monnews-imna.com www.kaowao.org