บนดอยสูงรอยต่อระหว่างรัฐฉาน ประเทศพม่ากับอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน จ๋ามเฮือง(นามสมมติ) เด็กหญิงร่างผอมแกร็นวัย 8 ขวบกำลังเล่นสนุกกับเพื่อนวัยเดียวกัน รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะของเธอทำให้พ่อแม่เริ่มมีความหวังมากขึ้นว่า อีกไม่นานลูกสาวคนโตจะลืมเลือนเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นกับเรือนร่างของเธอเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาไปได้ และเติบโตเรียนหนังสืออยู่บนดอยสูงแห่งนี้โดยไม่ต้องหวาดผวาว่าทหารพม่าจะมาย่ำยีเรือนรางของเธออีกต่อไป
ที่นี่จ๋ามเฮืองมีเพื่อนเด็กกำพร้ากว่าสองร้อยคนที่พลัดพรากจากอ้อมอกพ่อแม่ ทั้งจากเป็นและจากตายมาเรียนหนังสือที่นี่ รวมทั้งมีเพื่อนร่วมโรงเรียนกว่าเจ็ดร้อยคน และชาวบ้านอีกกว่าสองพันคนที่หนีการคุกคามจากทหารพม่าเช่นเดียวกันกับครอบครัวของเธอ
ที่แห่งนี้มีชื่อว่า “ ดอยไตแลง” ฐานที่มั่นใหญ่ที่สุดของกองกำลังกู้ชาติไทยใหญ่ เอส เอส เอ (Shan State Army - SSA) กองกำลังไทยใหญ่กลุ่มเดียวที่ยังจับปืนรบกับรัฐบาลทหารพม่า
หมู่บ้านคนทุกข์บนดอยสูงชายแดน
ดอยไตแลงเป็นชื่อเรียกภูเขาสูงซึ่งเชื่อมต่อระหว่างชายแดน เมืองปั่น รัฐฉาน ประเทศพม่ากับอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน ประเทศไทย ดอยแห่งนี้ถูกเปลี่ยนสภาพจากป่ารกทึบเป็นฐานที่มั่นใหญ่ที่สุดของกองกำลังกู้ชาติไทยใหญ่ เอส เอส เอ เมื่อปี พ.ศ. 2543 ในช่วงปีแรก ๆ ที่นี่มีเพียงทหารไทยใหญ่และครอบครัวอาศัยอยู่เพียงไม่กี่ครอบครัว ทว่าในเวลาต่อมา ที่นี่ได้กลายเป็นสถานที่พักพิงและหลบภัยของชาวไทยใหญ่ที่หนีการกดขี่ข่มเหงของกองทัพพม่ามากขึ้นเรื่อย ๆ จนปัจจุบันมีผู้อพยพทั้งหมดประมาณ 360 หลังคาเรือน แบ่งออกเป็น 4 หมู่บ้าน มีจำนวนผู้อพยพกว่า 2,000 คน แบ่งเป็นผู้ใหญ่1,000 กว่าคน เด็กนักเรียนอายุไม่เกิน 18 ปีจำนวน 700 คน เด็กกำพร้าหญิงและชายรวมกันจำนวน 228 คน
“ว่านป่ายเพ” เป็นคำเรียกชื่อหมู่บ้านของผู้อพยพไทยใหญ่ บนดอยไตแลงแห่งนี้ มีความหมายในภาษาไทยว่า “หมู่บ้านคนทุกข์” หรือหมู่บ้านคนที่หนีภัยความทุกข์ยากมาหาที่สงบร่มเย็น ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าเราจะพูดคุยกับชาวบ้านคนไหนในหมู่บ้านแห่งนี้ เรื่องราวของคนทุกข์จึงพรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย ดังเช่น ลุงมอง ผู้เฒ่าชาวไทยใหญ่วัย 50 ปีท่านนี้
“บ้านเดิมของลุงอยู่ที่หมู่บ้านหนองเหลิด อำเภอกุมมาว จังหวัดเมืองปั่น ลุงเคยถูกทหารพม่าจับไปทรมานร่างกาย ทหารพม่าถามลุงว่าเห็นทหารไทยใหญ่อยู่ที่ไหนบ้าง ลุงตอบว่าไม่เห็น ทหารพม่าเลยใช้ฆ้อนทุบตามลำตัวของลุงนับครั้งไม่ถ้วน แล้วก็เอาถุงพลาสติกมาลนไฟหยดตามไหล่และลำตัว”
ปัจจุบัน แผลเป็นบนร่างกายของลุงมองยังคงปรากฏอยู่ให้เห็นเป็นหลักฐานยืนยันความเจ็บปวดในอดีต ทว่า นั่นยังไม่รุนแรงเท่ากับแผลเป็นทางใจ ซึ่งลุงมองต้องสูญเสียน้องชายวัย 30 ปีไปเมื่อปี 2546 จากผู้ก่อเหตุกลุ่มเดียวกัน
“น้องชายของลุงชื่อว่าจายจีนะ ถูกทหารพม่าฆ่าทิ้งกลางทุ่งนาทางทิศตะวันออกของบ้านนาหวอน จังหวัดเมืองปั่น ขณะที่เขาไปหายางไม้ในป่า”
หลังจากน้องชายเสียชีวิต ลุงมองเริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัยที่จะอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดิมต่อไป เมื่อทราบว่าบนดอยไตแลงมีกองทัพ ไทยใหญ่คอยคุ้มครองความปลอดภัย ลุงจึงเดินทางมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่กลางปี 2547 เป็นต้นมา ที่นี่ทำให้ลุงได้นอนหลับสนิทโดยไม่ต้องหวาดผวาว่าจะมีใครมาจับตัวไปทรมานหรือเข่นฆ่าโดยไร้เหตุผลอีกต่อไป
สาเหตุที่ลุงมองและชาวไทยใหญ่จำนวนมากถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนค่อนข้างมีความสลับซับซ้อนและเกี่ยวเนื่องกับสถานการณ์ทางการเมืองระหว่างไทยใหญ่และพม่าตลอดช่วงเวลากว่าสี่สิบปีที่ผ่านมา กล่าวคือ นับตั้งแต่ประเทศพม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษ ผู้นำทหารพม่าได้ละเมิดข้อตกลงที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศพม่า (เป็นผลสืบเนื่องจากการร่างสัญญาปางโหลงปี พ.ศ. 2490) ซึ่งอนุญาตให้ชาวไทยใหญ่สามารถแยกประเทศออกไปปกครองตนเองได้หลังจากอยู่ร่วมกันครบสิบปี ชาวไทยใหญ่จึงก่อตั้งกองกำลังกู้ชาติของตนเองเพื่อเรียกร้องเอกราชให้ตนเอง การสู้รบระหว่างกองทัพพม่าและกองกำลังไทยใหญ่จึงเริ่มต้นขึ้นนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2501 เป็นต้นมา
ตลอดเวลาเกือบครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา กองกำลังไทยใหญ่ต้องเผชิญกับปัญหาความขัดแย้งภายในจนทำให้เกิดการแยกตัวเป็นหลายกลุ่ม บางกลุ่มตกลงเจรจาหยุดยิงกับรัฐบาลทหาร บางกลุ่มยังคงสู้รบต่อไป ปัจจุบันกองกำลังกลุ่มสุดท้ายที่ยังสู้รบอยู่ คือกองกำลังไทยใหญ่ เอส เอส เอ (ภาคใต้) นำโดยพันเอกยอดศึก ซึ่งตัดสินใจสู้รบต่อไปหลังจากขุนส่าวางอาวุธกับรัฐบาลทหารในปี พ.ศ. 2539 รัฐบาลทหารตัดสินใจปราบกองกำลังไทยใหญ่กลุ่มสุดท้ายด้วยการดำเนินนโยบายบังคับโยกย้ายถิ่นฐานครั้งใหญ่ที่สุดในรัฐฉาน รายงานจากกลุ่มสิทธิมนุษยชนไทยใหญ่เปิดเผยว่า ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2539 - 2540 รัฐบาลทหารสั่งให้ชาวไทยใหญ่จำนวนมากกว่า 300,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวนาชาวไร่จาก 1,400 หมู่บ้านในชนบทอพยพไปอยู่ในพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่ใกล้ถนนใหญ่และใกล้ค่ายทหารพม่า ชาวบ้านเหล่านี้จำเป็นต้องละทิ้งไร่นาและอาชีพของเขาโดยที่ไม่ได้รับค่าทดแทนใด ๆ จากรัฐบาลทหารพม่า คนจำนวนมากถูกบังคับให้เป็นแรงงานรับจ้างรายวัน และอีกจำนวนมากต้องกลายเป็นขอทาน
นโยบายดังกล่าวก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนชาวไทยใหญ่อย่างรุนแรง เนื่องจากทหารพม่าจะบังคับให้อพยพจากถิ่นฐานเดิม โดยได้รับการบอกกล่าวด้วยวาจาหรือเป็นลายลักษณ์ - อักษรให้อพยพจากหมู่บ้านภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ เพียง 3 - 7 วัน ถ้าพบว่ายังมีชาวไทยใหญ่หลงเหลืออยู่ใน หมู่บ้านเดิมภายหลังวันที่กำหนดไว้จะยิงทิ้งทันที อย่างไรก็ตาม ในหลายกรณี ทหารพม่าไม่ได้รอจนกว่าจะถึงวันที่กำหนด และเริ่มต้นกระทำการรุนแรงต่อชาวบ้านทันทีภายหลังที่มีคำสั่งหรือขณะที่ชาวบ้านกำลังอยู่ระหว่างการอพยพรูปแบบความรุนแรงมีตั้งแต่การทุบตีทรมานร่างกายและการข่มขืนผู้หญิงอย่างโหดร้ายทารุณ ดังเช่น คำบอกเล่าของ ชาวบ้านไทยใหญ่ซึ่งปรากฏในรายงานใบอนุญาตข่มขืนที่ จัดทำโดยเครือข่ายปฏิบัติงานสตรีไทยใหญ่เมื่อปี พ.ศ. 2545
“...ระหว่างขนย้ายข้าวของครอบครัวนี้ได้หยุดพัก เมื่อทหารพม่ามาถึงได้จับผู้เป็นพ่อมัดและใช้เชือกแขวนเขาไว้กับขื่อของกระท่อมแล้วจุดไฟข้างล่างเพื่อย่างเขาทั้งเป็น จากนั้นทหารได้รุมข่มขืนลูกสาววัยรุ่นของเขาแล้วฆ่าเธอทิ้ง ผู้เป็นพ่อตาย ในอีกสองสามวันต่อมาจากการถูกทรมาน ขณะที่ผู้เป็นแม่ กลายเป็นคนเสียสติจากการเห็นสามีและลูกสาวถูกทรมานและฆ่าทิ้งต่อหน้า”
ผลกระทบที่ตามมาจากนโยบายดังกล่าวคือ ชาวไทยใหญ่ประมาณ 150,000 คน หลบหนีเข้าประเทศไทย พยายามที่จะมีชีวิตรอดด้วยการเป็นแรงงานอพยพ ขณะที่อีกหลายหมื่นคนหลบซ่อนตัวอยู่ในป่าใกล้ ๆ กับหมู่บ้านเดิมของพวกเขา และส่วนหนึ่งอพยพมาอยู่บนดอยไตแลงแห่งนี้
แม้ว่าทุกวันนี้ วิถีชีวิตบนดอยสูงแห่งนี้จะแตกต่างและยากลำบากกว่า วิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวไทยใหญ่ซึ่งอาศัยอยู่ตามที่ราบลุ่ม ชาวบ้านต้องหาบน้ำจากตีนเขาขึ้นมาใช้บนยอดดอย และไร่นาที่อยู่ไกลออกไปหลายกิโล แต่ทุกคน ก็มี “ความปลอดภัย” เป็นสิ่งทดแทน ได้นอนหลับสนิทยามค่ำคืนดีกว่ามีชีวิตอยู่อย่างหวาดผวาทั้งยามตื่นและหลับฝันท่ามกลางกระบอกปืนของทหารพม่า
บ้านเด็กกำพร้าและโรงเรียนของหนู
เด็กหญิงบัวคำ(นามสมมติ) อายุ 14 ปี เป็นหนึ่งในเด็กกำพร้าสองร้อยกว่าคนที่อาศัยอยู่บนดอยไตแลง สาเหตุที่เธอต้องอพยพมาอยู่ที่นี่เนื่องจากตอนเธออายุ 8 ปี พ่อของเธอถูกทหารพม่าจับไปฆ่า ส่วนแม่ถูกทหารพม่า 15 คนข่มขืนจนสลบ หลังจากนั้นทหารพม่าได้ลากแม่ออกมาตรงหน้าเธอและน้อง ๆ ซึ่งถูกจับมัดไว้บนบ้าน จากนั้นใช้มีดแทงแม่ของเธอจนเสียชีวิตต่อหน้าต่อตาแล้วพากันหนีไป หลังจากพ่อกับแม่ตาย เธอจึง เดินทางมาอยู่ที่ดอยไตแลง
ส่วนเด็กหญิงส่วยตี่ วัย 11 ปี มาจากหมู่บ้านกาดเหลอะ จังหวัดเมืองนาย เล่าว่า ตอนเธออายุ 5 ขวบ ทหารพม่ามาที่บ้าน แล้วจับพ่อของเธอไปเป็นลูกหาบให้กองทัพพม่า หลังจากนั้น เธอก็ไม่มีโอกาสได้พบหน้าพ่ออีกเลย เพราะพ่อของเธอถูกยิงทิ้งไว้กลางป่า
ปัจจุบัน บัวคำและส่วยตี่อาศัยอยู่ที่บ้านเด็กกำพร้าหญิงบนดอยไตแลง ได้เรียนหนังสือกับโรงเรียนของกองทัพไทยใหญ่ที่เปิดสอนตั้งแต่ชั้น ป. 1 ถึง ม. 3 ซึ่งมีเพื่อนร่วมโรงเรียนกว่า 700 คน ในจำนวนนี้มีเด็กกำพร้าทั้งหมด 228 คน เป็นเด็กหญิงและชายอย่างละประมาณครึ่งหนึ่ง
ครูหลาวเคอ อายุ 35 ปี ครูประจำบ้านเด็กกำพร้าชาย เล่าถึงสภาพปัญหาของเด็กกำพร้าให้ฟังว่า
“เด็กกำพร้าที่ไม่มีพ่อแม่ ญาติเอามาส่ง บางคนทหารไปเห็นสงสาร ก็เอามาฝากไว้ที่โรงเรียน บางคนกำพร้าเฉพาะพ่อหรือแม่ก็ถูกพามาฝากไว้ที่นี่เพื่อเรียนหนังสือ ตามปกติ เด็กจะ มาถึงแบบตัวเปล่า เราต้องให้ผ้าห่มเสื้อผ้า รองเท้า ไม่มีกำหนดว่าคนละกี่ชุด ขึ้นอยู่กับว่าเรามีเท่าไหร่ ทางกองทัพจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทุกอย่าง โดยจ่ายค่าขนมให้เดือนละ 50 บาท ค่ากับข้าว 50 บาท ส่วนข้าวมีให้กินจนอิ่ม เด็ก ๆ จะทำกับข้าวกันเอง วันหนึ่งจะทำกินสองมื้อตอนเช้าก่อนไปโรงเรียนกับตอนเย็นหลังเลิกเรียน ส่วนตอนเที่ยงกลับมากินกับข้าวที่เหลือตอนเช้า เด็ก ๆ จะต้องเอาค่ากับข้าว 50 บาทมารวมกัน แล้วไปซื้อผักและเนื้อสัตว์มาทำกิน เวลากินจะกินพร้อมกัน ทุกคนต้องได้กินจนอิ่ม”
เนื่องจากเงินค่ากับข้าว 50 บาทต่อเดือนไม่สามารถซื้อเนื้อสัตว์ได้มากนัก ดังนั้น อาหารหลักของเด็ก ๆ จึงเป็นต้มกะหล่ำปลีใส่เกลือ โดยครูบอกว่าจะเน้นให้ใส่น้ำกับเกลือเยอะ ๆ เพื่อที่ทุกคนจะได้กินทั่วถึงกัน
ไม่ว่าชีวิตของเด็ก ๆ จะดูอัตคัดขัดสนอย่างไรก็ตาม แต่สิ่งที่พวกเขาและเธอไม่ได้ขาดแคลนไปกว่าเด็กทั่วไปเลยก็คือ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะอันสดใส รวมทั้งน้ำใจที่มีให้กัน
ครูหลาวเคอบอกถึงสิ่งที่ภาคภูมิใจจากการดูแลบ้านเด็กกำพร้าชายซึ่งมีเด็กอยู่ร่วมกันนับร้อยว่า
“ผมชื่นชมเด็ก ๆ มาก ที่เขาไม่เคยแบ่งเป็นแก๊งตีกันเลย ถ้าจะทะเลาะกันก็นิดหน่อยตามประสาเด็ก แล้วเด็กโตจะช่วยดูแลเด็กเล็กเป็นอย่างดี อายุของเด็กกำพร้าชายจะอยู่ระหว่าง 8 - 24 ปี เด็กเล็กที่ต่ำกว่า 10 ขวบ มีประมาณ 25 คน เด็กเล็กจะร้องไห้เยอะหน่อย โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง บางคนมาถึงใหม่ ๆ ร้องไห้ทุกคืนเลย พวกเด็กผู้ชายจะแข็งแรงหน่อยไม่ค่อยร้อง เวลาเด็กเล็ก ๆ มาถึงใหม่ ๆ จะร้องหาพ่อแม่บ้าง ครูก็จะให้กำลังใจว่า อย่าน้อยใจนะ คนอื่น ๆ ที่นี่ก็เหมือนกันกับเธอ ขนาดครูก็จากบ้านมาเหมือนกัน เรามาอยู่ตรงนี้แล้วต้องช่วยดูแลกัน มาเป็นครอบครัวเดียวกัน”
เนื่องจากงบประมาณของกองทัพไทยใหญ่มีจำกัดและองค์กรพัฒนาเอกชนโดยเฉพาะองค์กรต่างประเทศไม่สามารถเดินทางผ่านชายแดนไทยมายังดอยไตแลงได้ ทำให้ความช่วยเหลือเด็กกำพร้าที่นี่จากโลกภายนอกค่อนข้างมีจำกัด
ครูหลาวเคอกล่าวถึงปัญหาด้านงบประมาณให้ฟังว่า
“ปีนี้เราต้องหยุดรับเด็กกำพร้าเพิ่ม เพราะเราไม่มีงบฯ สำหรับเลี้ยงดูเด็กมากกว่านี้แล้ว ถ้ามีเด็กเพิ่มเราก็ต้องสร้างอาคารใหม่ ทุกวันนี้เด็ก ๆ ก็นอนเบียด ๆ กันจะไม่มีที่ว่างอยู่แล้ว และยังต้องมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ตามมาอีก”
ความสุขอย่างหนึ่งของเด็ก ๆ ที่อาศัยอยู่บนดอยไตแลง แห่งนี้เห็นจะเป็นการได้เรียนหนังสือเป็นภาษาไทยใหญ่ เพราะหากเด็ก ๆ อาศัยอยู่ในเขตควบคุมของรัฐบาลทหารพม่า พวกเขาและเธอจะต้องเข้าเรียนโรงเรียนของรัฐบาลพม่าซึ่งสอนเป็นภาษาพม่า ที่นี่ เด็ก ๆ จะได้เรียนตำราเรียนภาษาของตนเอง ซึ่งผลิตขึ้นโดยกองทัพไทยใหญ่ เด็ก ๆ จะได้เรียนภาษา ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมของตนเอง รวมทั้งได้เรียนวิชาอื่น ๆ เช่นเดียวกับเด็กไทย เช่น ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ รวมไปถึงความรู้เกี่ยวกับจักรวาลวิทยาและเรื่องราวอื่น ๆ ในโลก แม้ว่าตำราเรียนจะมีจำกัดจนไม่สามารถแจกให้เด็ก ๆ ได้ครบทุกคน เด็ก ๆ ที่ต้องการตำราเรียนกลับไปอ่านที่บ้าน จะต้องเซ็นชื่อและนำกลับมาคืนในวันรุ่งขึ้นเพื่อหมุนเวียนให้เพื่อน ๆ ได้นำกลับไปอ่านที่บ้านในวันถัดไป แต่ดูเหมือนความฝันของเด็ก ๆ จะไม่ได้จำกัดไปด้วย
เด็ก ๆ ทุกคนล้วนมีฝันอันกว้างไกลไม่แพ้เด็กที่ใดในโลก บางคนอยากเป็นหมอ ครู นักข่าว และอีกมากมายหลายอาชีพ แต่ดูเหมือนความฝันของพวกเขาและเธออาจต้องจบลงที่ความจริงที่ว่า หลังเรียนจบชั้น ม. 3 ซึ่งเป็นชั้นเรียนสูงสุดของโรงเรียนในปัจจุบัน พวกเขาและเธออาจต้องอพยพเข้ามาเป็นแรงงานต่างด้าวในเมืองไทยหรือไม่ก็กลับไปอยู่หมู่บ้านเดิมในรัฐฉาน ซึ่งมีโอกาสเสี่ยงต่อการถูกจับไปเป็นลูกหาบหรือแรงงานทาสให้กับกองทัพพม่า เด็กทุกคนมีความฝันใกล้ ๆ ในขณะนี้ว่า อยากให้โรงเรียนบนดอยแห่งนี้มีชั้นเรียนสูงขึ้นจนถึง ม. 6 หรือมากกว่านั้น พวกเขาจะเรียนให้สูงที่สุดเท่าที่จะเรียนได้ และฝันที่ไกลไปกว่านั้นก็คือ พวกเขาและเธอได้ทำงานอย่างที่ใฝ่ฝัน ไม่ต้อง อพยพไปขายแรงงานในเมืองไทยหรือกลับไปเป็นแรงงานทาสในพม่า
ทว่า ความฝันของพวกเขาและเธอดูเหมือนจะยังอยู่อีกไกลแสนไกล เพราะอนาคตของทุกคนขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางการเมืองระหว่างกองทัพไทยใหญ่กับกองทัพพม่าซึ่งยังคงสู้รบกันต่อไปและยังไม่มีวี่แววว่าจะจบลงอย่างไร หากจบลงที่ดอยไตแลงถูกตีแตก พวกเขาและเธอก็ต้องอพยพอีกครั้ง แต่การอพยพครั้งนี้จะเดินกลับเข้าไปยังบ้านเดิมในรัฐฉานหรือประเทศไทย หากเลือกกลับเข้าไปในเขตรัฐฉาน ชีวิตของพวกเธอก็จะเสี่ยงต่อการถูกเข่นฆ่าคุกคามจากทหารพม่าเช่นเดียวกับชีวิตที่ผ่านมา แต่หากเลือกเข้ามายังฝั่งประเทศไทย รัฐไทยก็ไม่มีนโยบายให้ความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยไทยใหญ่เช่นที่ผ่านมา ผู้อพยพเหล่านี้ก็จะต้องเข้ามาเป็นแรงงานเถื่อนมีชีวิตอยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ เด็กสาวมีโอกาสเสี่ยงต่อการถูกล่อลวงไปค้าประเวณี และเด็ก ๆ ทั้งหมดต้องไร้การศึกษา
ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางใด บรรดาผู้อพยพเหล่านี้ก็ไม่อยากจะถึงเวลาต้องเลือกทั้งสิ้น สิ่งที่พวกเขาและเธอต่างเฝ้าหวังก็คือการใช้ชีวิตอย่างสงบบนดอยไตแลงแห่งนี้ต่อไปหรือได้กลับไปใช้ชีวิตในบ้านเกิดโดยไม่มีการกดขี่ข่มเหงจากทหารพม่าอีกต่อไป