ณ ภัทร
เมื่อวันที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมา ผู้เขียนได้มีโอกาสไปร่วมงานฉลองครบรอบวันเกิด 60 ปี ของนางอองซาน ซูจี ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ซึ่งการจัดงานดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเข้าใจอันดีของการอยู่ร่วมกันของคนไทยและพม่าในมิติอื่นๆ ที่นอกเหนือจากการเมืองระหว่างรัฐ อันเป็นเจตนารมณ์ของนางอองซาน ซูจี ที่ส่งสารวอนผ่านมาสู่สังคมไทย ให้เข้าใจสถานการณ์และชะตากรรมของผู้อพยพจากประเทศพม่า ลบล้างอคติทางชาติพันธุ์และร่วมกันสร้างความเข้าใจใหม่ในมิติความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนบ้าน
ภายในงานมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพิธีมอบปริญญารัฐศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แก่นางอองซาน ซูจี ผ่านนาง ซาน ซาน ผู้แทนจากพรรคเอ็นแอลดี การเสวนาวิชาการ นิทรรศการและการแสดงต่างๆ แต่ที่ผู้เขียนประทับใจที่สุดคือการแสดงชุด กวีคีตการ “อองซาน ซูจี:หกสิบปีแห่งตะวันหลังก้อนเมฆ” โดยกลุ่มหนุ่มสาวสื่อสันติภาพ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่สามารถสร้างความประทับใจจนเสียงปรบมือดังกึกก้องห้องประชุมหลังการแสดงสิ้นสุดลงนานหลายนาที
การแสดงชุดนี้เป็นนาฏลีลาที่นำเอาถ้อยคำต่าง ๆ ที่นางอองซานซูจีได้เขียนและให้สัมภาษณ์ไว้ในหนังสือต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น จดหมายจากพม่า (Letters form Burma) อิสรภาพจากความกลัว(Freedom from fear) และบทกวีของคนอื่น ๆ เช่น รพินทรนาถ ฐากูร ศรีบูรพาและจิระนันท์ พิตรปรีชา มาผสมผสานและเรียบเรียงให้เกิดความต่อเนื่อง ลื่นไหลและสวยงาม สร้างอารมณ์ความรู้สึกผ่านทางดนตรี เสียงเพลง น้ำเสียง จังหวะในการพูดและลีลาการเคลื่อนไหวของนักแสดงที่สามารถถ่ายทอดให้ผู้ชมรู้สึกถึงพลังและอารมณ์ที่นักแสดงแต่ละคน พยายามสื่อได้เป็นอย่างดี จนบางครั้งทำให้ผู้ชมซาบซึ้งจนน้ำตารื้นและหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตาอยู่หลายครั้ง
เรื่องราวต่าง ๆ ได้รับการถ่ายทอดผ่านบทกวี บทสนทนา และบทเพลง สลับกันไปเป็นช่วง ๆ โดยเนื้อหาแสดงให้เห็นถึงการต่อสู้และเรียกร้องประชาธิปไตยโดยสันติวิธีของนางอองซานซูจีตลอด 17 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่การตัดสินใจเลือกเดินบนเส้นทางการเมืองของเธอ ชีวิตการทำงานทางด้านการเมือง ชีวิตครอบครัว บทบาทของนักต่อสู้ บทบาทของภรรยาและแม่ ความสัมพันธ์ของเธอกับไมเคิล อริส(สามี) และลูกทั้งสองคน (อเล็กซานเดอร์และคิม) รวมถึงชีวิตภายใต้การจองจำและการเรียกร้องเพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตย
การแสดงดังกล่าวมีหลายฉากที่ผู้เขียนประทับใจ เช่น การแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจของสามีและลูกทั้งสองคนของเธอ ที่เข้าใจในสิ่งที่เธอได้ทำลงไป นักแสดงได้ถ่ายทอดให้เห็นถึงความผูกผันและสายใยความรักที่มีให้กัน และสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือการแสดงชุดนี้ตอกย้ำให้เห็นถึงการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของซูจีตลอด 17 ปีที่ผ่านมา โดยหยิบยกคำพูดที่ซูจีเคยกล่าวไว้ว่า
“กำแพงคุกย่อมส่งผลสะเทือนแก่ผู้ที่อยู่ภายนอกเช่นกัน ดิฉันได้อุทิศชีวิตนี้ทั้งหมดเพื่อประโยชน์สุขของพี่น้องชาวพม่าอย่างไม่เคยโดดเดี่ยวและไม่เคยทอดทิ้งใคร และดิฉันก็หวังว่าชาวพม่าจำนวนมากจะตระหนักถึงสัญชาติญาณภายในที่คอย กระตุ้นให้เรามองหาสวรรค์และเสียงอันหนักแน่นที่คอยพร่ำบอกกับเราว่า เบื้องหลังก้อนเมฆที่เรียงรายสลับซับซ้อน ยังมีพระอาทิตย์ที่รอเวลาให้แสงสว่างคุ้มครองแก่เรา” และถึงแม้ตอนนี้เธอจะยังคงถูกกักบริเวณไว้ในบ้านพัก แต่เธอก็เชื่อเสมอว่า “คุกตะรางทำร้ายได้แต่เพียงร่างกายและไม่อาจทำลายขวัญและวิญญาณลงได้”
สิ่งที่อองซาน ซูจีได้กล่าวไว้สะท้อนให้เห็นว่าเธอไม่เคยย่อท้อกับสิ่งที่กระทำอยู่ และยึดมั่นในสิ่งที่ทำมาตลอด 17 ปีของการต่อสู้ หกสิบปีของการต่อสู้ของเธอเปรียบเสมือนตะวันที่อยู่หลังก้อนเมฆของเผด็จการซึ่งรอคอยเวลาให้เมฆดำเคลื่อนออกไปเพื่อจะได้เปล่งประกายแสงลงมายังผืนดินให้เมล็ดพันธุ์แห่งประชาธิปไตยได้เติบใหญ่แข็งแรง
น.ส.ปอรรัชม์ ยอดเณร (มิงค์) ที่หลายท่านอาจจะรู้จักเธอในฐานะนักแสดง พิธีกรโทรทัศน์ และรองโฆษกพรรคชาติไทย ซึ่งรับบทแสดงเป็นนางอองซาน ซูจี ได้กล่าวถึงความรู้สึกว่า
“ภูมิใจและดีใจมากที่ได้รับคัดเลือกให้รับบทนี้ แต่ก็เป็นบทที่หนักใจมากเพราะต้องแสดงเป็นคนที่มีชีวิตอยู่และเป็นสตรีที่ยิ่งใหญ่ด้วย โดยส่วนตัวชื่นชมและนับว่าอองซาน ซูจีเป็นสตรีที่มีความเข้มแข็งมาก ๆ ในการตัดสินใจทำแบบนี้ ต้องละทิ้งความสุขส่วนตัวทั้งหมดเลยเพื่อประชาชนจริง ๆ โดยไม่ได้คิดว่าตนเองต้องทุกข์ทรมาน นับว่าเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจแข็งแกร่งมาก”
อย่างไรก็ตามการแสดงชุดนี้ไม่เพียงแต่พูดถึงประเด็นของนางอองซาน ซูจีเท่านั้น แต่ยังกล่าวถึงสภาพปัญหาที่ประชาชนชาวพม่าต้องเผชิญ เช่น การข่มขืน การบังคับใช้แรงงาน การไร้อิสรภาพทางความคิดและการเมืองในประเทศ อันเป็นสาเหตุให้ประชาชนพม่าจำนวนมากตัดสินใจหนีความทุกข์ยากที่เผชิญอยู่เข้ามาในเมืองไทย แต่การกระทำดังกล่าวก็เหมือนกับหนีเสือปะจระเข้ โดยชาวพม่าจำนวนไม่น้อยที่ต้องเข้ามาเป็นแรงงานผิดกฎหมาย ทำงานก่อสร้าง เป็นแม่บ้าน ถูกขูดรีด ทารุณ โกงค่าแรง คนไทยบางคนมีอคติต่อคนพม่าทำให้ปฏิบัติต่อพวกเขาราวกับไม่ใช่คน เป็นเหตุให้มีข่าวแรงงานต่างด้าวฆ่านายจ้างอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งยิ่งทำให้อคติที่คนไทยมีต่อพวกเขาก่อตัวเพิ่มมากขึ้น
ผู้เขียนเชื่อเหลือเกินว่าหากหลายๆท่านได้ชมการแสดง กวีคีตการชุดนี้แล้ว จะทำให้เข้าใจถึงเรื่องราวและปัญหาที่เกิดขึ้นในพม่าได้มากขึ้น ไม่เพียงแต่เรื่องของนางอองซาน ซูจีเท่านั้น แต่ยังเข้าใจถึงความทุกข์ยากและสถานการณ์ที่ประชาชนพม่าจำนวนมากกำลังเผชิญอยู่ได้เป็นอย่างดี และสิ่งสำคัญคือการเข้าใจ ถึงเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการกระทำของแต่ละคน ที่บางครั้งเราเองก็ต้องเปิดตาและเปิดใจในการมองคนอื่นๆ อย่างเป็นมิตรมากขึ้น
อย่างไรก็ตามต้องยกความดีความชอบทั้งหมดให้กับกลุ่มหนุ่มสาวสื่อสันติภาพ ที่มุ่งมั่น ตั้งใจทำการแสดงชุดนี้ขึ้นมา อย่างน้อยน่าจะโน้มน้าวจิตใจหลาย ๆ คนให้พูดถึงประชาธิปไตยในพม่าและเข้าใจถึงประเทศพม่ามากขึ้น และคงจะดีไม่น้อยหากการแสดงชุดนี้ได้เผยแพร่ไปยังวงกว้างมากขึ้น
สุดท้ายนี้ ผู้เขียนขอหยิบยกบทกวีซึ่งจิระนันท์ พิตรปรีชา กวีซีไรท์ แต่งให้กับอองซาน ซูจีในงานครบรอบวันเกิดเธอปีนี้
“ คารวะอองซาน ซูจี
หกสิบปี ศักดิ์ศรีสง่างาม
แกร่งแก้วยิ่งแวววาม โลกประจักษ์ร่วมประจัน
เพลงพรแห่งแผ่นดิน จงร่ายรินร้อยรับขวัญ
เพิ่มพูนพลังพลัน ให้ฝ่าฝันจนได้ชัย”