อาจกล่าวได้ว่า นับตั้งแต่รัฐบาลทหารมีนโยบายเปิดประเทศเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยว พรรคสันนิบาตเพื่อประชาธิปไตยในพม่า หรือ พรรคเอ็นแอลดี ได้ลุกขึ้นมารณรงค์ต่อต้านเรื่องนี้อย่างชัดเจน ส่งผลให้นักท่องเที่ยวจำนวนมากที่อยากเข้าไปชื่นชมความงามในพม่าเกิดคำถามค้างคาใจมากมาย เพราะยังไม่เข้าใจว่า การท่องเที่ยวเกี่ยวข้องกับประชาธิปไตยในพม่าอย่างไร ?
เพื่อไขข้อข้องใจนี้ สาละวินโพสต์จึงนำบทสัมภาษณ์อองซาน ซูจี ผู้นำพรรคเอ็นแอลดี ให้สัมภาษณ์นักข่าวต่างประเทศที่กรุงย่างกุ้งเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2538 ซึ่งเผยแพร่ อยู่บนเว็บไซต์ www.ibiblio.org/freeburma/boycott/tourism/tourism.html มาให้ท่านได้อ่าน
แม้ว่าเวลาในบทสัมภาษณ์นี้จะล่วงเลยผ่านมานานถึง 10 ปี แต่สาละวินโพสต์ เห็นว่าเนื้อหายังคงสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน จึงนำมาถอดความจาก ภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยเพื่อให้ผู้อ่านสาละวินโพสต์ได้นำมาไตร่ตรองก่อนตัดสินใจเดินทางไปเที่ยวพม่า
นักข่าว: การสัมภาษณ์จะเกี่ยวข้องกับเรื่องท่องเที่ยวพม่า และการรณรงค์ “ปีท่องเที่ยวพม่า 1996” ซึ่งรัฐบาลทหารกำลังพยายามอย่างหนักที่จะดึงนักท่องเที่ยวและการลงทุนจากต่างชาติ มีบางคนพูดว่า สิ่งนี้เป็นดาบสองคม คือ ด้านหนึ่งช่วยดึงเงินตรา ต่างประเทศเข้ามาทำให้รัฐบาลทหารยึดครองอำนาจได้นานขึ้น แต่อีกด้านหนึ่งก็ช่วยทำให้เกิดการ ดึงเงินตราจากด้านบนลงมาหล่อเลี้ยงประชาชนเช่นกัน
ซูจี: แต่ฉันคิดว่า มันยังมีมุมอื่นที่ต้องมองเช่นกัน คือ มีการบังคับใช้แรงงานประชาชนเพื่อทำให้สิ่งต่างๆ“ดูดีหรือน่าเชื่อถือ”สำหรับนักท่องเที่ยว เพราะนี่เป็นสิ่งที่รัฐบาลทหารให้ความสนใจมาก ไม่ว่าจะเป็นการสร้างถนนหนทาง สะพานต่างๆ ประชาชนได้รับคำสั่งให้สร้างกำแพงอิฐแทนที่ รั้วไม้หรือไม้ไผ่ในหลายๆ เมืองเพื่อสร้างความประทับใจแก่นักท่องเที่ยว และบางแห่งถ้าชาวบ้านยากจนขนาดไม่สามารถสร้างบ้านด้วยอิฐก็จะถูกบังคับให้ก่ออิฐด้านหน้าบังบ้านไม้ไผ่ไว้ ซึ่งนี่เป็นภาระอันหนักหนาสำหรับชาวบ้าน ดิฉันเองยังสงสัยว่าชาวบ้านเหล่านี้ จะเคยได้รับอะไรกลับคืนจากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวบ้างไหมกับที่ถูกบังคับใช้แรงงาน ต้องเสียเงินทองสร้างกำแพงสร้างบ้านอิฐ
นักข่าว: แล้วพรรคเอ็นแอลดีจะบอกกับนักท่องเที่ยวหรือไม่ว่า “อย่ามาเที่ยวพม่าเลย”
ซูจี: เราคิดว่าออกจะเร็วเกินไปที่นักท่องเที่ยวหรือเงินช่วยเหลือต่างๆ จะหลั่งไหลมาที่พม่า เราอยากเห็นว่าการไม่เดินทางไปเที่ยวพม่าจะเป็นเงื่อนไขหนึ่งที่จะนำสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริง
นักข่าว: แต่ผมคิดว่านักท่องเที่ยวมากมายก็ยังคงเข้ามา เมื่อตอนที่ผมไปลอยก่อ(เมืองหลวงของรัฐคะยา) ผมได้เห็นสภาพปัญหาที่คุณว่ามา แต่ผมอยากบอกว่า เมื่อผมมาที่นี่ (กรุงย่างกุ้ง) ผมกลับไม่ได้เห็นมากมายอย่างที่คาดหวัง คุณเป็นห่วงไหมว่านักท่องเที่ยวจะเข้าใจอะไรผิดๆ กลับไป
และก็คิดว่าพวกสื่อมวลชนต้องรายงานอะไรผิดพลาดแน่ ๆ
ซูจี: ดิฉันคิดว่า ถ้าพวกเขาเข้าใจอะไรผิด ดังนั้น จึงต้องมีคนที่จะช่วยทำให้พวกเขาเข้าใจอะไรที่ถูกต้อง เพราะนักท่องเที่ยวไม่ได้ ไปทุกหนทุกแห่งอยู่แล้ว อย่างคุณล่ะไปที่ไหนมาบ้างคะในย่างกุ้ง
นักข่าว: ก็แถวๆ นอกเมืองครับ
ซูจี: มีที่อื่นอีกไหมคะ
นักข่าว: ผมข้ามแม่น้ำไปอีกเมืองที่ชาวบ้านถูกบังคับอพยพเมื่อ 2 - 3 ปีก่อน
ซูจี: ใช่ แต่นักท่องเที่ยวจำนวนมากไม่ได้ไปสถานที่แบบนั้น นักท่องเที่ยวมักจะมาเที่ยวแค่เจดีย์ชเวดากอง หรือไปไหว้เจดีย์ที่พะโค(หงสาวดี) แม้ว่าจะต้องนั่งรถไปพะโคผ่านถนนที่สภาพย่ำแย่ แต่นักท่องเที่ยวก็จะได้พักที่โรงแรมและเดินทางด้วยรถปรับอากาศ ไม่ได้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นในประเทศนี้ ไม่รู้ถึงสถานการณ์ของ ชาวบ้านในชนบท ชาวบ้านที่เป็นกระดูกสันหลังของประเทศ ซึ่งมีจำนวนร้อยละ 80 ของประชาชนอาศัยอยู่ในชนบท แต่กลับ เป็นพวกคนรวยมิใช่หรือที่เป็นผู้ตัดสินใจว่าประเทศจะพัฒนาไปอย่างไร พรรคของเรามีจุดยืนที่ว่าการพัฒนาประเทศต้องวัดได้ด้วย มาตรฐานทางสุขภาพและ การศึกษาของประชาชน คุณคง เคยเห็นข้อมูลขององค์กรอิสระอย่างสหประชาชาติที่ชี้ให้เห็นว่างบประมาณด้านสาธารณสุขและการศึกษาไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย
อย่างในรายงานการพัฒนามนุษย์ ปี พ.ศ. 2536 ของสหประชาชาติ พบว่าค่าใช้จ่ายด้านการทหารและยุทโธปกรณ์สูงกว่าด้านสาธารณสุขถึง 150 เท่า และเพิ่มเป็น 220 เท่าในปี พ.ศ. 2537
เราไม่อาจเห็นได้เลยว่านี่คือการพัฒนา รายงานของยูนิเซฟ ระบุถึงจำนวนเด็กประถมที่ต้องหยุดเรียนกลางคัน โดยสรุปว่าสาเหตุที่เด็กๆ ต้องออกจากโรงเรียนก็เพราะว่า ครอบครัวนั้นยากจนลงเรื่อยๆ และสิ่งนี้ก็เกิดขึ้นกับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ
นักข่าว: แล้วคุณมีข้อเสนอแนะสำหรับการท่องเที่ยวแบบทางเลือกบ้างไหม อย่างเช่น เที่ยวแบบกลุ่มเล็กโดยมีข้อมูลเตรียมพร้อมมาก่อนแล้ว
ซูจี: ดิฉันก็ยังคิดว่าผู้ที่มาเยือนประเทศเราสามารถสร้างประโยชน์ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเข้ามาทำอะไร ทำอย่างไร นักท่องเที่ยวควร ระมัดระวังที่จะไม่หลอกตัวเอง เพราะถ้าอยากทำแบบนั้นแล้วก็สามารถหาข้อแก้ตัวที่จะทำจนได้ แต่สิ่งที่นักท่องเที่ยวควรต้องเข้าใจคือ การมาเยือนของเขานั้นช่วยชาวบ้านได้อย่างแท้จริงเพียงใด คุณอาจหลอกตัวเองได้ อาจคิดถึงทฤษฎี “น้ำล้นจากแก้วสู่ผู้ยากไร้” แม้ว่าแท้จริงแล้วเศษเสี้ยวผลประโยชน์เหล่านั้นอาจมลายหายไปก่อนที่จะถึงมือผู้ที่ต้องการมันจริงๆ
นักข่าว: มีรายงานข่าวจากประเทศยากจนอยู่เรื่อยๆ เกี่ยวกับประเด็นแรงงานทาส คุณรู้สึกไหมว่ามันแย่ลงเรื่อยๆ นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา
ซูจี: ถ้าจะให้พูดจริงๆ ก็คือ แรงงานทาสนั้นเป็นไปเพื่อการดึงดูด นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ หรือคุณว่าอย่างไรล่ะ บอกได้เลยว่า “ปีท่องเที่ยวพม่า”นั้นเกี่ยวข้องกับแรงงานทาสอย่างมากมาย เพราะต้องมีถนนใหม่ สะพานใหม่ และรั้วอิฐที่สวยงาม เพื่อสร้างความประทับใจแก่นักท่องเที่ยว
นักข่าว: สถานการณ์แย่ลงมากไหม นับตั้งแต่ต้นปีนี้มา
ซูจี: มันก็ยังดำเนินไป เพราะโครงการแบบเดิมๆ ก็ยังคงอยู่ หรือเรียกได้ว่าแย่ลงเลยทีเดียวล่ะ เพื่อเตรียมการต้อนรับ “นักท่องเที่ยว”
นักข่าว: ช่วยอธิบายสิ่งที่คุณเรียกว่า “แรงงานทาส” หน่อยครับ หมายถึง คนที่สละเวลามาช่วยทำหรือเปล่า
ซูจี: หากจะบอกว่าชาวบ้านสละเวลาคงไม่ถูกนัก เพราะหากชาวบ้านไม่มาทำงานก็ต้องสละเงินแทน แม้จะเป็นเพียงไม่กี่ร้อยจั๊ต แต่ก็เป็นจำนวนมหาศาลสำหรับครอบครัวที่แทบไม่มีจะกิน
นักข่าว: ได้ยินว่ารถไฟสายใหม่ไปพุกามที่กำลังก่อสร้างนั้น มีการใช้แรงงานทาสด้วย และเป็นเส้นทางสำหรับนักท่องเที่ยว คุณพอจะมีข้อมูลบ้างไหม
ซูจี: เราก็เพิ่งได้ยินเช่นกัน ดิฉันคิดว่าสิ่งเดียวกันเกิดขึ้นกับทั่วทุกที่ในพม่าที่มีการบังคับใช้แรงงานทาส หากชาวบ้านไปทำงานไม่ได้ก็ต้องจ่ายเงินแทน ซึ่งประชาชนจำนวนมหาศาล ไม่มีเงินที่จะจ่าย นอกจากนั้นชาวบ้านก็มีงานของตัวเองที่ต้องทำ อย่างชาวนาที่มีไร่นาต้องดูแลก็ต้องจ่ายเงิน ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ยากเย็นสำหรับชาวบ้าน บางครั้งชาวบ้านถึงกับต้องเป็นหนี้เป็นสิน เนื่องจากต้องไปยืมเงินเพื่อจ่ายทดแทนที่ไม่ไปทำงานเป็นแรงงานทาสหรืองานอาสาสมัคร หรือใครจะเรียกงานนี้ว่าอะไรก็ตามที เพื่อที่ว่าชาวบ้านจะได้มีเวลาไปทำงานของตนเอง เพราะนั่นคือวิถีชีวิตชาวบ้าน
นักข่าว: หากนักท่องเที่ยวเข้ามา คุณจะบอกให้เขาทำอะไร ภาพประเทศพม่าที่คุณต้องการให้นักท่องเที่ยวเห็นเป็นอย่างไร
ซูจี: ดิฉันคิดว่าพรรคของเราจะต้องชัดเจนในโยบายต่าง ๆ มากกว่านี้ หากเราคิดว่า ีเหตุผลเพียงพอที่จะบอกนักท่องเที่ยวว่า “กรุณาอย่ามาเลย” เราก็ควรจะบอกอย่างนั้น
นักข่าว: ถึงอย่างไรนักท่องเที่ยวก็ยังมากันอยู่ดี แล้วคุณจะว่าอย่างไรหากเขามาเที่ยว มาดูชเวดากอง พุกาม โดยไม่เข้าใจ ว่าเกิดอะไรขึ้นในพม่า
ซูจี: อย่างนั้นเราคงต้องให้ใครสักคนทำคู่มือเที่ยวพม่าแบบทางเลือกสักเล่ม
นักข่าว: คุณกังวลบ้างไหมว่าการท่องเที่ยวจะส่งผลกระทบต่อวัฒนธรรม
ซูจี: นี่เป็นสิ่งที่เชื่อมกับสถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลกระทบและมีอิทธิพลต่อทรรศนะทางสังคมของประชาชน ดิฉันว่าหากเราต้องการให้ประชาชนรักษาวัฒนธรรมไว้ เราควรต้องทำให้พวกเขารู้สึกภูมิใจในตนเอง ซึ่งหากพวกเขาขาดความมั่นใจในตนเองก็ต้องสูญเสียวัฒนธรรมไปเพราะความคิดที่ว่าคนอื่นดีกว่า หากประชาชนยากจนลงและต้องพึ่งพากับเศษเงินตราต่างประเทศที่เข้ามา พวกเขาขาดความมั่นใจตนเอง นั่นหมายถึงวัฒนธรรมของตนเองก็จะดูไร้ค่าไปด้วยเช่นกัน เหตุผลที่ทำไมเด็กวัยรุ่นจึงแต่งตัวแบบตะวันตกก็เพราะเด็กๆ
คิดว่า มันทันสมัยและดูมีระดับ นี่เป็นสัญญาณว่าเด็กๆ เริ่มขาด ความมั่นใจในตนเอง ประเทศและวัฒนธรรมของตนเอง เราไม่อาจ รักษาวัฒนธรรมไว้ด้วยคำสั่ง แต่ผู้คนต้องรู้สึกว่ามันมีค่าควรแก่การธำรงไว้ ไม่เช่นนั้นแล้วกฎหมายใดๆ ก็ช่วยไม่ได้ มันคงจะอันตรธานไปได้ในทันที
นักข่าว: มีด้านดีของการท่องเที่ยวบ้างไหม
ซูจี: แน่นอน ทุกสิ่งย่อมมีด้านดีหากจัดการอย่างถูกต้อง นักท่องเที่ยวสามารถเปิดโลกแก่ชาวพม่า เช่นเดียวกับที่ชาวพม่าสามารถเปิดตาแก่นักท่องเที่ยวให้ได้เห็นสิ่งที่เป็นไปในประเทศหากว่านักท่องเที่ยวอยากเห็น แต่หากชาวพม่าเข้าหานักท่องเที่ยว เยี่ยงแหล่งรายได้เพียงอย่างเดียว พวกเขาก็จะไม่รู้เลยว่า
นักท่องเที่ยวสามารถช่วยชาวพม่าได้แค่ไหน ช่วยได้มากกว่าเพียงแค่หว่านเศษเงิน 2 - 3 ดอลลาร์
นักข่าว: ที่มัณฑะเลย์ ผมเพิ่งล่องเรือไปมิงกุน ไปแบบนักท่องเที่ยว ผมเห็นที่ดินบนฝั่งแม่น้ำหลายแปลงมีการเคลียร์พื้นที่ย้ายชาวบ้านออกไป เขาจะทำอะไรกัน หรือจะสร้างโรงแรม เหมือนเป็น สิ่งที่เลวร้ายที่สุดของทั้งระบบการสร้างชาติและเศรษฐกิจเสรีนิยม
ซูจี: การเคลียร์พื้นที่ บางทีก็เพื่อสร้างโรงแรม บางทีก็เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยสำหรับชาวบ้านที่ถูกไล่ที่มาอีกทีนึง
นักข่าว: แล้วคุณมีข้อมูลเกี่ยวกับพื้นที่ฝั่งน้ำอิรวะดีบ้างไหม
ซูจี: ดิฉันคิดว่าฝั่งน้ำอิรวะดีถูกเคลียร์เพื่อนักท่องเที่ยวเแท้ๆ มันถึงได้ดูดี สะอาดสะอ้าน
นักข่าว: ขอกลับมาที่แรงงานทาส คุณคิดอย่างไรที่รัฐบาลทหาร บอกผมว่ามันไม่ใช่การบังคับ บอกว่าชาวต่างชาติไม่เข้าใจ เรื่องนี้เพราะนี่เป็นเรื่องแนวทางพุทธ ที่ชาวบ้านมาทำงานเพื่อเป็นการทำบุญ
ซูจี: ฉันไม่เคยได้ยินแนวทางพุทธที่หากชาวบ้านไม่พร้อมจะมาทำงานต้องจ่ายเงินแทน ฟังไม่ขึ้นเลยว่านี่เป็นแนวทางพุทธ