ท่ามกลางสายฝนโปรยปราย หมอกสีขาวค่อยๆ ลอยเข้ามาขโมยพระธาตุอินทร์แขวนสีทองเรืองรองไปจากสายตาทีละน้อย เมื่อสายฝนหยุดพักผ่อน สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่รัฐมอญจึงค่อย ๆ กลับคืนสู่สายตาอีกครั้ง เรานั่งมองความงามของก้อนหินมหัศจรรย์ที่ตั้งหมิ่นเหม่บนหน้าผานิ่งนานเป็นครั้งสุดท้ายก่อนก้มลงกราบลาเพื่อออกเดินทางท่องเที่ยวชมความงามของดินแดนพม่าต่อไป
ระหว่างเดินลงเขา เรามีลูกหาบตัวจิ๋ว 3 คนช่วยแบกเป้เดินทางอันหนักอึ้ง เด็กชายทั้งสามอายุเพียง 11 ปี คนหนึ่งออกจากโรงเรียนตั้งแต่ชั้นประถม 3 เพราะพ่อแม่ไม่มีเงินส่งเสีย อีกสองคนเรียนอยู่ชั้นประถม 3 และประถม 6 แม้ว่าทั้งสองจะอายุเท่ากัน แต่เรียนต่างชั้นเพราะคนหนึ่งต้องออกจากโรงเรียนไปช่วยพ่อแม่เก็บเงินชั่วคราว เมื่อพร้อมจึงกลับมาเรียนต่อ ส่วนอีกคนหนึ่งโชคดีกว่าที่พ่อแม่ของพวกเขาเก็บเงินได้ทันทุกปี ส่วนหนึ่งของเงินนั้นมาจากน้ำพักน้ำแรงของเขาด้วยเช่นกัน
“ครอบครัวของพวกเราย้ายมาจากที่อื่น เพราะที่บ้านเดิมไม่มีงานทำ แต่นี่ยังมีนักท่องเที่ยวให้รับจ้างทำงานหลายอย่าง พ่อของพวกเราก็เป็นลูกหาบแบกเสลี่ยงให้คนนั่ง ส่วนพวกเราจะคอยช่วยแบกของเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือไม่ก็ช่วยล้างจานที่ร้านค้าแถวท่ารถ”
เด็กชายทั้งสามเล่าถึงครอบครัวด้วยแววตาเศร้าหมอง บนหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยแป้งทะนาคาเครื่องประทินผิวของชาวพม่าจนแทบไม่มีที่ว่าง เด็กทุกคนเป็นพี่ชายคนโตของน้อง ๆ อีกหลายคน คนที่ยังเป็นนักเรียนจะหาเวลาหลังเลิกเรียนมาช่วยพ่อแม่หาเงิน เงินที่ได้ทั้งหมดจะยกให้แม่และมีบ้างที่นำไปซื้อเสื้อตัวเล็กๆ ให้น้อง เด็กชายบอกถึงความฝันของตนเองว่า
“โตขึ้นผมอยากทำงานอะไรก็ได้ที่หาเงินเลี้ยงดูพ่อแม่ได้ แล้วผมก็ตั้งใจว่าจะไม่ให้น้องต้องมาทำงานเป็นลูกหาบเหมือนผมกับพ่อ อยากหาเงินให้พวกเขาเรียนหนังสืออย่างเดียว”
พูดจบ แววตาของเด็กชายก็มีน้ำใสๆ มารออยู่แถวขอบตา เช่นเดียวกับคนฟังที่นั่งอยู่ตรงข้าม ในนาทีนั้น เราอดคิดไม่ได้ว่า ความงดงามของผู้คนและแผ่นดินพม่าที่เรากำลังชื่นชมอยู่ในเวลานี้ เป็นความงดงามที่ซ่อนอยู่ใต้ความเศร้าหมองที่เรามองเห็นผ่านม่านน้ำตา และไม่รู้ว่า อีกนานเท่าไรเราจะได้มองเห็นความงดงามของแผ่นดินนี้ท่ามกลางรอยยิ้มทั้งของเราผู้มาเยือนและผู้เป็นเจ้าของดินแดนนี้ ...
เปิดโฉมความงามดินแดน“ฤาษีแห่งเอเชีย”
ประเทศพม่าถูกขนานนามว่าเป็นดินแดน “ฤาษีแห่งเอเชีย” เพราะปิดตัวเองจากการติดต่อโลกภายนอกมายาวนานหลายทศวรรษ แผ่นดินพม่าจึงเป็นเสมือนสาวงามบริสุทธิ์ที่ยังไม่เคยมีชายใดได้ยลโฉมใกล้ชิด เมื่อรัฐบาลทหารพม่าประกาศเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวภายใต้สโลแกน “Visit Myanmar Year 1996” บรรดานักท่องเที่ยวจึงเริ่มเบนเข็มทิศมาทางประเทศพม่า
![]() |
1. เจดีย์โบราณในเมืองพุกาม |
![]() |
2. ทะเลสาบอินเลในรัฐฉาน |
![]() |
3. พระราชวังมัณฑะเลย์ |
![]() |
4. ชาวนากาในรัฐชิน |
**หมายเลข 1, 2 และ 3 คือแหล่งท่องเที่ยวประเภท Iหมายเลข 4 คือแหล่งท่องเที่ยวประเภท P
สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมหรือเกรดเอคือ เจดีย์ชเวดากอง เจดีย์ทองคำเหลืองอร่ามซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางกรุงย่างกุ้ง เมืองหลวงของประเทศ เมืองพุกาม ดินแดนแห่งเจดีย์พันองค์ พระราชธานีแห่งแรกของราชวงศ์พม่า พระราชวังมัณฑะเลย์ สถาปัตยกรรมอันงดงามกลางเมืองมัณฑะเลย์ เมืองหลวงอันดับสองของพม่าในปัจจุบัน เจดีย์ไจ้ก์ทีโย เจดีย์บนก้อนหินทองคำซึ่งตั้งหมิ่นเหม่อยู่บนยอดเขาในรัฐมอญ หรือที่คนไทยรู้จักกันดีในชื่อ “พระธาตุอินทร์แขวน” จากนิยายซีไรต์เรื่อง “เจ้าจันทน์ผมหอม” ของมาลา คำจันทร์ ทะเลสาบอินเล ทะเลสาบในรัฐฉานตอนใต้ ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังจากชาวประมงพายเรือด้วยเท้าและแปลงผักลอยน้ำ นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปพม่าจะต้องเดินทางไปเยือนสถานที่ที่กล่าวมาข้างต้นอย่างน้อยหนึ่งแห่ง หรือหากซื้อทัวร์มาเที่ยวพม่าหนึ่งครั้ง คุณอาจได้เดินทางไปยังสถานที่ข้างต้นทั้งหมดในคราวเดียวกัน เพราะเป็นเส้นทางที่ถูกกำหนดไว้ในรายการท่องเที่ยวของทุกบริษัททัวร์
สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวสายรองหรือเกรดบี ซึ่งไม่ได้กำหนดไว้ในเส้นทางท่องเที่ยวแบบกรุ๊ปทัวร์ คือ เมืองหลวงของรัฐชนกลุ่มน้อยและเมืองเล็ก ๆ ตามเส้นทางไปสู่เมืองหลวงเหล่านี้ เช่น เมืองมิตจินาของรัฐคะฉิ่น เมืองลอยก่อของรัฐคะยา(กะเหรี่ยงแดง) เมืองพะอันของรัฐกะเหรี่ยง เมืองล่าเสี้ยว เมืองเชียงตุง และเมืองตองยีของรัฐฉาน เมืองเมาะละแหม่ง และเมืองพะโคของรัฐมอญ เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีเส้นทางท่องเที่ยวบริเวณชายแดนระหว่างพม่ากับประเทศเพื่อนบ้าน คือ ไทย จีน อินเดีย และบังคลาเทศ ที่นิยมมากที่สุดคือจุดผ่านแดนระหว่างประเทศไทยและพม่าบริเวณแม่สาย-ท่าขี้เหล็ก รองลงมาคือแม่สอด-เมียวดี และระนอง-เกาะสอง ส่วนเส้นทางอื่นๆ นักท่องเที่ยว ไม่ค่อยนิยมไป และรัฐบาลของทั้งสองประเทศไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวที่ไม่ใช่สัญชาติของทั้งสองประเทศผ่านแดน เช่น บริเวณชายแดนจีน -พม่า จุดผ่านแดนรุ่ยลี่ มณฑลยูนาน - หมู่เจ้ รัฐฉานภาคเหนือ นักท่องเที่ยวที่ผ่านชายแดนบริเวณนี้ได้คือชาวพม่าและชาวจีน
นอกจากความงดงามของสถานที่สำคัญแล้ว แผ่นดินพม่า ยังอุดมไปด้วยความงดงามของทรัพยากรธรรมชาติและลุ่มรวยวัฒนธรรมประเพณีจากกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่าร้อยกลุ่ม ในบรรดารัฐชนกลุ่มน้อย 7 รัฐ แต่ละรัฐจะประกอบไปด้วยกลุ่มชาติพันธุ์หลัก และกลุ่มชาติพันธุ์ย่อยอีกหลายสิบกลุ่มชาติพันธุ์ อาทิ รัฐฉานประกอบด้วยชาวไทยใหญ่ ชาวปะโอ ชาวปะหล่อง ชาวว้า ชาวมูเซอ ชาวลีซอ รัฐคะฉิ่นประกอบด้วยชาวจิ่งเผาะ ราวัง ลิซู อาซิ ลาชิ และมารู รัฐอาระกันประกอบด้วยชาวโรฮินยาและชาวระไข่(ยะไข่) เป็นต้น
หากใครเดินทางไปเที่ยวตลาดในเขตรัฐชนกลุ่มน้อยจะได้พบกับภาพความงามของเครื่องแต่งกายอันหลากหลายของชาวบ้าน กลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ซึ่งพากันนำพืชผักและทรัพยากรจากป่ามาแลกเปลี่ยนเป็นเงินหรือสิ่งของจำเป็นซึ่งไม่สามารถผลิตได้ในครัวเรือน หรือหากเดินเที่ยวในตลาดเขตชนชาติพม่าก็จะได้พบกับสาวน้อยสาวใหญ่หรือแม้แต่ชายหนุ่มปะแป้งทะนาคา เครื่องประทินผิวดั้งเดิมของชาวพม่าสร้างความสดชื่นให้กับการเดินเที่ยวตลาดมากยิ่งขึ้น
ชื่อเสียงความงดงามของแผ่นดินพม่าทั้งสถานที่ ผู้คน และธรรมชาติที่โด่งดังออกไปสู่โลกภายนอกหลังเปิดรับนักท่องเที่ยว ทำให้ผู้คนจำนวนมากใฝ่ฝันที่จะเดินทางมาเยือนพม่าสักครั้งในชีวิต ทว่า หากคุณเป็นนักท่องเที่ยวแบบแบกเป้ที่ต้องการประหยัดเงินด้วยการเลือกพาหนะ ที่พัก และต้องการเวลาอิสระในการพูดคุย ถ่ายรูป และสัมผัสธรรมชาติให้นานที่สุด ประเทศพม่าในเวลานี้ อาจยังไม่เหมาะที่จะเป็นจุดหมายปลายทางของคุณ...
กฎเกณฑ์นักเดินทาง
รัฐบาลพม่าได้กำหนดเส้นทางท่องเที่ยวและรูปแบบการท่องเที่ยวเอาไว้สองแบบ คือ การท่องเที่ยวประเภท I หรือเขตเปิด หมายถึง เขตที่นักท่องเที่ยวไปได้ด้วยตนเอง และ ประเภท P หรือเขตปิด หมายถึง เขตที่ต้องไปกับบริษัททัวร์และขอวีซ่าพิเศษ เขตท่องเที่ยวประเภท I คือ สถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงหรือเมืองสำคัญดังที่กล่าวไว้ตอนต้นในเส้นทางท่องเที่ยวเกรดเอและเกรดบี
เขตท่องเที่ยวประเภท P คือ สถานที่ท่องเที่ยวพิเศษซึ่งอยู่ในเขตชายแดน เช่น ภูเขาหิมะในเมืองปูเตารัฐคะฉิ่น หรือเขตนาคาชายแดนประเทศอินเดีย และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า บริษัททัวร์นิยมเรียกการท่องเที่ยวประเภทนี้ว่า “Eco-Tourism” การท่องเที่ยวประเภทนี้จะต้องมีบริษัททัวร์จัดการขอวีซ่าพิเศษและต้องมีมัคคุเทศก์ติดตามไปด้วยทุกหนทุกแห่ง อีโคทัวร์ในพม่าจึงหมายถึง “การเที่ยวแบบใกล้ชิดกับบริษัททัวร์มากกว่าการเที่ยวแบบใกล้ชิดชาวบ้านท้องถิ่นและธรรมชาติ”
การท่องเที่ยวแบบ P จะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าแบบ I เพราะต้องเสียค่าขอวีซ่าพิเศษ ค่าไกด์ ค่าที่พัก และค่าพาหนะซึ่งบริษัททัวร์ จัดให้เท่านั้น นอกจากนี้ การท่องเที่ยวประเภทนี้ยังมีเงื่อนไขการขอวีซ่าพิเศษที่ยุ่งยากแตกต่างกันไป เช่น การขอวีซ่าเข้าไปยังเขต ชนเผ่านาคาต้องใช้เวลา 2 เดือน ส่วนการขอวีซ่าเข้ารัฐชิน รอยต่อระหว่างประเทศอินเดียและบังคลาเทศต้องใช้เวลา 1 เดือน เป็นต้น
รัฐบาลพม่าได้กำหนดพาหนะเดินทางและราคาสำหรับนักท่องเที่ยวไว้เป็นพิเศษ โดยเส้นทางส่วนใหญ่อนุญาตให้เดินทาง โดยรถ ทั้งรถทัวร์และรถเช่าซึ่งใช้บริการคนขับจากบริษัททัวร์ แม้ว่า ในแต่ละเส้นทางจะมีรถโดยสารหลายสาย แต่นักท่องเที่ยวจะต้องซื้อตั๋วรถโดยสารจากบริษัทที่ได้รับอนุญาตให้นักท่องเที่ยวใช้บริการได้เท่านั้น หากบริษัทไหนไม่ได้รับอนุญาตให้นักท่องเที่ยวโดยสารไปด้วย พนักงานขายตั๋วจะโบกมือขับไล่เป็นคำตอบ
ส่วนการเดินทางโดยรถเช่าจะมีราคาค่อนข้างสูงคือ ค่าเช่ารถวันละ 100 ดอลลาร์ หรือ 4,000 บาท รวมค่าคนขับและน้ำมัน แต่บางแห่งอาจไม่รวมค่าภาษีผ่านทาง ซึ่งต้องจ่ายทุกครั้งเมื่อผ่านหมู่บ้านและสะพาน โดยราคามากน้อยจะขึ้นอยู่กับขนาดของหมู่บ้าน และความยาวของสะพาน ดังเช่น ค่าผ่านสะพานเมาะละแหม่ง บริเวณปากแม่น้ำสาละวินที่ไหลลงทะเลอันดามันในเขตรัฐมอญ ซึ่งเป็นสะพานข้ามแม่น้ำที่ยาวที่สุดในประเทศราคา 250 จั๊ต (ประมาณ 10 บาท) ส่วนสะพานเล็กๆ ที่มีความยาวเกิน 15 เมตร ตามเส้นทาง 30-50 จั้ต (ประมาณ 1-2.50 บาท) ราคานี้สำหรับรถยนต์ 4 ประตู หากเป็นรถโดยสารจะถูกเก็บในอัตราก้าวหน้า คือ เพิ่มสูงขึ้นตามขนาดและจำนวนผู้โดยสารบนรถ (ค่าแรงขั้นต่ำในพม่าวันละ 500 จั๊ต หรือ 20 บาท )
สำหรับสภาพถนนหนทางในพม่านั้นจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง อาทิ ความนิยมของนักท่องเที่ยวหรือเส้นทางหลักของการเดินทางระหว่างเมืองใหญ่ เช่น เส้นทางย่างกุ้ง-มัณฑะเลย์ เปรียบได้กับเส้นทางระหว่างกรุงเทพฯ - เชียงใหม่ แม้ว่าสภาพถนนว่าดีเป็นอันดับต้น ๆ ในพม่า แต่ถึงกระนั้น ความเร็วของรถก็ยังต้องวิ่งอยู่ที่ระดับ 60-80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเพราะหลุมบ่อและไหล่ทางที่แคบทำให้เกิดอันตรายได้ง่ายหากวิ่งเร็วเกินไป ส่วนเส้นทางอื่น ๆ ที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทาง คือ เส้นทางระหว่างย่างกุ้ง-ไจ้ก์ทีโย ซึ่งต้องผ่านเส้นทางระหว่างเมืองย่างกุ้งและพะโคซึ่งเขตเป็นชนชาติพม่าเข้าสู่เมืองไจ้ก์โถ่ของชนชาติมอญ
ธีรภาพ โลหิตกุล กล่าวถึงสภาพความแตกต่างของถนนทั้งสองเขตนี้เอาไว้ในหนังสือ “พุกามประเทศ” ว่า
“ถนนระหว่างพะโคถึงไจ้ก์โถ่ - เมืองกึ่งกลางระหว่างพะโคกับมะละแหม่ง เมืองหลวงของรัฐมอญ อยู่ในสภาพเหมือนอยู่คนละประเทศกับถนนสายย่างกุ้ง-พะโค ยิ่งช่วงเข้าใกล้รัฐมอญแล้วยิ่งไปกันใหญ่...เห็นความแตกต่างระหว่างถนนในสองเขตนี้แล้วก็พอเข้าใจว่า เหตุใดชนกลุ่มน้อยจึงคิดก่อกบฏ !”
สำหรับการเดินทางโดยรถไฟ รัฐบาลอนุญาตให้นักท่องเที่ยว เดินทางได้เฉพาะบางเส้นทางเท่านั้น โดยราคารถไฟสำหรับนักท่องเที่ยวจะกำหนดเป็นเงินดอลลาร์ซึ่งมีราคาสูงกว่าชาวบ้านท้องถิ่นแม้ว่าจะใช้ขบวนรถและที่นั่งโดยสารประเภทเดียวกันก็ตาม ส่วนการเดินทางโดยเรือจะอนุญาตเฉพาะบางเส้นทาง เช่น เส้นทางเรือเปิดให้เดินทางเฉพาะระหว่างมัณฑะเลย์-พุกาม
นักท่องเที่ยวต่างชาติท่านหนึ่งเคยเดินทางโดยเรือในช่วงรัฐบาลเปิดประเทศใหม่ๆ ต้องเผชิญกับปัญหาเรือเสียทำให้ต้องค้างเติ่งรอซ่อมเรือเป็นเวลานาน 8 ชั่วโมง ทำให้เวลาถึงจุดหมายปลายทาง เลื่อนจากหัวค่ำเป็นตีสามของอีกวันหนึ่ง !
การเดินทางแบบสุดท้ายคือเครื่องบิน ซึ่งรัฐบาลกำหนดให้สถานที่บางแห่งนักท่องเที่ยวต้องเดินทางโดยเครื่องบินเท่านั้น เช่น การเดินทางระหว่างย่างกุ้งไปยังเมืองเย รัฐมอญ หรือเมืองปูเตา รัฐคะฉิ่น จะต้องเดินทางโดยเครื่องบิน ซึ่งการจองตั๋วเครื่องบิน สำหรับเดินทางในประเทศพม่าไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ดังที่หนังสือ “คู่มือท่องเที่ยวพม่า” ของสำนักพิมพ์หน้าต่างสู่โลกกว้าง หน้า 336 กล่าวถึงลำดับขั้นของผู้มีสิทธิจองตั๋วเครื่องบินว่า
“รัฐบาลทหารพม่ามีอภิสิทธิ์ในการโดยสารเครื่องบิน ถึงจะ ไม่มีกฎตราออกมาอย่างเป็นทางการ แต่ก็สามารถทำให้บัญชีรายชื่อผู้โดยสารต้องเปลี่ยนแปลงไปในนาทีสุดท้ายได้เสมอ บุคคลสำคัญของพม่าก็มีอภิสิทธิ์ ถัดจากพวกเขาลงมาถึงจะเป็นกรุ๊ปทัวร์ นักท่องเที่ยวต่างชาติที่มากันเอง ชาวพม่าที่ไปตั้งรกรากอยู่ในต่างประเทศ และคนพม่าที่อาศัยอยู่ในประเทศตามลำดับ”
นับตั้งแต่พม่าเปิดรับนักท่องเที่ยว สัดส่วนของนักท่องเที่ยว ที่เดินทางมากับบริษัททัวร์จะมากกว่านักท่องเที่ยวแบกเป้ เพราะบริษัททัวร์ช่วยแก้ปัญหาความยุ่งยากในเรื่องพาหนะ ที่พัก และการขออนุญาตพิเศษ และเนื่องจากรัฐบาลพม่ากำหนดให้โรงแรมบางแห่งเท่านั้น ที่ได้รับอนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าพัก โรงแรมเหล่านี้จะขึ้นทะเบียน พิเศษและต้องเสียภาษีให้รัฐมากกว่าโรงแรมสำหรับคนท้องถิ่น ดังนั้น ทางเลือกของนักท่องเที่ยวแบกเป้ในการพักโรงแรมราคาถูกจึงมีน้อยลง นอกจากนี้ โรงแรมหลายแห่งยังมีคุณภาพไม่สมราคา แต่นักท่องเที่ยวแบกเป้จะต้องจำใจพักเพราะไม่มีทางเลือกอื่น เช่น ราคาโรงแรมต่ำสุดที่เมืองเมาะละแหม่งสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติคือคืนละ 30 เหรียญ หรือ 1,200 บาท สำหรับพัก 3 คน ขณะที่สภาพห้องเทียบเท่ากับคืนละ 300 บาทในเมืองไทย เป็นต้น
นอกจากปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายจะสวนทางกับเป้าหมายของนักท่องเที่ยวแบกเป้แล้ว สิ่งที่สร้างความลำบากใจให้กับ นักท่องเที่ยวประเภทนี้อีกอย่างหนึ่ง คือ เสรีภาพในการสัมผัสชีวิตผู้คนทั้งการถ่ายรูป พูดคุย และการติดต่อสื่อสารทั้งกับคนในประเทศและโลกภายนอก ซึ่งแตกต่างจากการเดินทางในประเทศไทย และประเทศในโลกเสรีอย่างลิบลับ
เสรีภาพที่หายไป
แม้ว่ารัฐบาลทหารจะตัดสินใจยอมเปิดประเทศเพื่อดึงเงินจากกระเป๋านักท่องเที่ยวและนักลงทุน แต่ดูเหมือนจะยังทำใจไม่ได้ กับการเปิดเสรีภาพให้นักท่องเที่ยวได้พูดคุยกับประชาชนท้องถิ่นและถ่ายรูปสภาพความเป็นจริงของพม่าในทุกๆ ด้าน เพราะนั่นหมายความว่าเรื่องราวความทุกข์ยากอันเกิดจากการปกครองอันผิดพลาดของรัฐบาลทหารจะต้องเผยแพร่สู่สายตาชาวโลก ดังนั้น หากนักท่องเที่ยวจะพูดคุยหรือถ่ายรูปประชาชนที่ยากจน เช่น ขอทานหรือชาวบ้านตามสลัมกลางกรุง นักท่องเที่ยวคนนั้นจะถูกจ้องมองจากชาวบ้านในละแวกนั้นเป็นพิเศษ
ไกด์พม่าท่านหนึ่งบอกกับผู้เขียนว่า หลักสูตรที่เธอเรียนเพื่อเป็นไกด์ในสถาบันของรัฐบาลจะสอนให้ไกด์ทุกคนบอกนักท่องเที่ยวว่า“ห้ามถ่ายรูปความเสื่อมโทรมของประเทศพม่า” หากเห็นนักท่องเที่ยวถ่ายภาพเหล่านี้ ไกด์จะต้องบอกให้เลิกถ่าย ไม่เช่นนั้น ไกด์คนนั้นจะถูกถอนใบอนุญาตซึ่งกว่าจะได้มาสุดยากเย็น
ไม่เพียงความเสื่อมโทรมจะถูกกำหนดเป็น“ภาพต้องห้าม” แล้ว ภาพต้องห้ามอีกประเภทหนึ่งคือสถานที่ราชการต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่ป้ายหน้ามหาวิทยาลัย ผู้เขียนไม่ค่อยเข้าใจถึงเหตุผลการห้ามถ่ายภาพป้ายมหาวิทยาลัยสักเท่าไหร่ เพราะสถานที่นี้เป็นสิ่งที่จะช่วยให้ประเทศพม่าดูดีในสายตาโลกภายนอกมากกว่าจะเป็นความเสื่อมโทรม เนื่องจากไม่มีป้ายห้ามถ่ายรูปติดไว้หน้ามหาวิทยาลัยหรือไม่มีคู่มือท่องเที่ยวเล่มไหนระบุไว้ ผู้เขียนจึงเผลอกดชัตเตอร์ไปแล้วหนึ่งภาพ แต่ระหว่างที่กำลังจะกดภาพถัดไปก็เห็นลุงแก่ๆ คนหนึ่งในชุดเครื่องแบบยามขี่จักรยานหน้าตาตื่นออกมาจากประตูรั้วมหาวิทยาลัยทำท่าโบกไม้โบกมือเข้ามาขวางอยู่ในช่องมองภาพพร้อมกับสั่นกระดิ่งเป็นสัญญาณเตือนให้ผู้เขียนหยุดถ่าย ลุงท่านนี้พูดกับล่ามภาษาพม่าที่มากับผู้เขียนว่า ห้ามถ่ายรูปและถ้าถ่ายไปแล้วให้ลบออกด้วย เพราะไม่อย่างนั้น แกจะต้องถูกไล่ออกแน่ ๆ !
ปัญหาเรื่องถ่ายภาพในพม่านับเป็นเรื่องซับซ้อนอย่างหนึ่งที่นักท่องเที่ยวยากจะทำความเข้าใจ เพราะนอกจากห้ามถ่ายภาพในสถานที่ที่ไม่ได้เตรียมไว้ให้นักท่องเที่ยวแล้ว ในสถานที่ซึ่งต้อนรับ นักท่องเที่ยวด้วยค่าธรรมเนียมอย่างต่ำ 5 ดอลลาร์บางแห่งกลับไม่อนุญาตให้นำกล้องถ่ายรูปเข้าไป อย่างเช่นพิพิธภัณฑ์แห่งชาติย่างกุ้ง นักท่องเที่ยวต้องฝากกล้องไว้ในล็อคเกอร์ด้านหน้าก่อนเข้าชม ส่วนสถานที่ที่อนุญาตให้นำเข้าไปก็คิดค่ากล้องถ่ายรูปต่างหากอีก 3 เหรียญ รวมเป็น 8 เหรียญ หรือ 320 บาทต่อการเข้าชมหนึ่งครั้ง
ไม่เพียงแต่การเก็บเงินค่ากล้องถ่ายรูปในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมบางแห่ง รัฐบาลทหารยังตั้งกฎเกณฑ์ที่ทำให้นักท่องเที่ยวไม่เข้าใจ เช่น การเดินทางไปไหว้พระธาตุอินทร์แขวนที่รัฐมอญ นักท่องเที่ยวต่างชาติทุกคนที่เดินทางมาถึงเชิงเขาทางขึ้นพระธาตุจะต้องเปลี่ยนมาขึ้นรถโดยสารคันเดียวกับชาวบ้าน โดยนักท่องเที่ยวจะต้องจ่ายราคาค่าโดยสารตลอดสายเดียวกับชาวบ้าน คือ 1,500 จั๊ต หรือ 60 บาท แต่ถูก “บังคับ” ให้ลงครึ่งทางแล้วเดินขึ้นเขาสูงชันหลายกิโลเมตรขึ้นไปเอง มีคนบอกว่าเพราะรัฐบาลต้องการให้นักท่องเที่ยวใช้บริการเสลี่ยงแบกขึ้นไปถึงด้านบน โดยราคาล่าสุดเมื่อเดือนกรกฎาคมปีนี้ 10,000 - 15,000 จั๊ต หรือ 400 - 500 บาท แต่เนื่องจากรัฐบาลไม่ได้บังคับให้นักท่องเที่ยว ต้องใช้บริการลูกหาบ คนที่ต้องการประหยัดเงินอย่างผู้เขียนจึงใช้สองเท้าของตัวเองค่อย ๆ ไต่เขาสูงชันขึ้นไปถึงยอดดอยด้วยอาการเหนื่อยหอบ ซึ่งเมื่อคิดทบทวนดูแล้ว หากรัฐบาลทหารต้องการ ให้เกิดการจ้างงานอย่างแท้จริง ก็น่าจะกำหนดให้นักท่องเที่ยวทุกคนใช้บริการเสลี่ยงด้วยราคามาตรฐาน รวมทั้งกระจายการจ้างงานให้ทั่วถึง ไม่ใช่การบังคับให้ลงระหว่างทางแล้วปล่อยให้นักท่องเที่ยวต่อรองราคาเสลี่ยงซึ่งขึ้นลงตามใจชอบเอาเอง
สิ่งที่นักท่องเที่ยวแบกเป้จะต้องอึดอัดอีกอย่างหนึ่งคือ การจับตามองเป็นพิเศษของเจ้าหน้าที่โรงแรม ซึ่งหากมีพฤติกรรมผิดปกติจะถูกรายงานไปยังหน่วยงานด้านความมั่นคงทันที โดยทางโรงแรมจะต้องส่งสำเนาหนังสือเดินทางและรายละเอียดการเดินทางของนักท่องเที่ยว เช่น เดินทางมาจากเมืองไหนและจะไปเมืองไหนต่อไป ทั้งหมด 14 ชุดส่งให้หน่วยงานด้านความมั่นคง ทุกหน่วย ผู้เขียนได้ทราบเรื่องนี้จากประสบการณ์ตรงของเพื่อนร่วมเดินทางซึ่งกรอกรายละเอียดในเอกสารของโรงแรมผิดไปหนึ่งแห่ง โดยทางโรงแรมเพิ่งตรวจพบหลังจากทำสำเนา 14 ชุด จึงนำเอกสาร ทั้งหมดมาให้แก้ไข รวมทั้งจากประสบการณ์ตรงของตนเองเมื่อถูกเจ้าหน้าที่รัฐติดตามไปตรวจสอบระหว่างผู้เขียนพูดคุยกับชาวบ้าน ท้องถิ่นเกี่ยวกับการรักษาวัฒนธรรมประเพณี ชาวบ้านท่านนั้นต้องถูกเจ้าหน้าที่สอบสวนเกี่ยวกับข้อมูลต่าง ๆ ที่พูดคุยกับผู้เขียน เนื่องจากเรื่องราวที่พูดคุยไม่ได้กระทบต่อรัฐบาล ชาวบ้านท่านนั้น จึงไม่ได้ถูกลงโทษแต่อย่างใด ดังนั้น นักท่องเที่ยวแบกเป้จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษหากต้องการพูดคุยกับชาวบ้านท้องถิ่น สำหรับนักท่องเที่ยวแบบกรุ๊ปทัวร์จะไม่พบกับปัญหานี้เพราะเส้นทาง ท่องเที่ยวถูกกำหนดไว้แล้วและบริษัททัวร์จะเป็นผู้รวบรวมข้อมูลนักท่องเที่ยวให้รัฐบาล หากเกิดปัญหาบริษัท ทัวร์จะต้องรับผิดชอบ ซึ่งที่ผ่านมามีบริษัททัวร์ถูกสั่งปิดบริการไปแล้วไม่น้อยกว่า135 บริษัทจาก 600 แห่ง เนื่องจากรัฐบาลตรวจพบว่าประกอบกิจกรรมที่ไม่ได้รับอนุญาต (ข้อมูลจาก www.irrawaddy.org)
ปัญหาสุดท้ายที่นักท่องเที่ยวแบกเป้ต้องพบ คือ การติดต่อ สื่อสารเพื่อจองห้องพักและการติดต่อกลับบ้านในต่างประเทศ เนื่องจากระบบคู่สายโทรศัพท์ในพม่ามีน้อยมาก ทำให้การโทรจอง ห้องพักล่วงหน้าเสียเวลาเป็นชั่วโมง อาทิ คู่สายโทรศัพท์ที่ตัวเมืองไจ้ก์โถ่ ที่ตั้งพระธาตุอินทร์แขวน ซึ่งเป็นเขตท่องเที่ยวชื่อดังของรัฐมอญมีเพียงคู่สายเดียว เมื่อต้องการโทรศัพท์ไปยังเมืองอื่น ๆ จะต้องโทรเข้าศูนย์เพื่อต่อสายออกไปเมืองอื่นๆ ซึ่งถ้าหากมีคนหนึ่งกำลังใช้สาย คนอื่นก็จะติดต่อมายังเมืองนี้ไม่ได้ ผู้เขียนต้องรอสายโทรศัพท์นานกว่าหนึ่งชั่วโมงเพื่อโทรจองห้องพักที่นี่ ส่วนการโทรศัพท์ต่างประเทศหาได้ยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวที่อยู่ห่างไกล
สำหรับการสื่อสารทางอีเมลล์สาธารณะอย่าง hotmail หรือ yahoo ยังคงเป็นสิ่งต้องห้ามเพราะเป็นการสื่อสารที่รัฐบาลควบคุมเนื้อหาไม่ได้ อีเมลล์ที่ได้รับอนุญาตให้ใช้คืออีเมลล์ของบริษัทที่ขึ้นทะเบียนกับรัฐบาล ซึ่งหมายความว่าสามารถตรวจเช็คข้อความได้ทุกข้อความ หากนักท่องเที่ยวต้องการใช้อีเมลล์ติดต่อทางบ้านจะต้องไปใช้ username ของร้านอินเตอร์เน็ตที่ขึ้นทะเบียนกับรัฐบาล ซึ่งอีเมลล์ทุกฉบับจะถูกตรวจสอบก่อนส่งออกทั้งโดยเจ้าของร้านและเจ้าหน้าที่ความมั่นคง เมื่อสามปีก่อน ผู้เขียนเคยใช้บริการอีเมลล์ของร้านอินเตอร์เน็ตแห่งหนึ่ง ทางร้านจะคิดราคาเป็นหน้ากระดาษ หากเขียนยาวเท่าไหร่ก็จะต้องจ่ายแพงเท่านั้น ซึ่งเป็นผลให้นักท่องเที่ยวไม่ค่อยอยากบอกเล่าเรื่องราวอะไรกับเพื่อนฝูงในช่วงเดินทางไปพม่าสักเท่าไหร่
ความอึดอัดเหล่านี้ทำให้ทุกครั้งที่เดินทางกลับจากพม่า วินาทีแรกที่เครื่องบินแตะรันเวย์สนามบินดอนเมือง ผู้เขียนมีความรู้สึกว่าเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตยมันช่างหอมหวานเหลือเกิน และนึกเห็นใจคนในพม่าที่ยังไม่เคยสัมผัสความรู้สึกนี้
โปรดระวัง ! คู่มือท่องเที่ยว
สิ่งที่นักท่องเที่ยวพึงระวังในการใช้คู่มือท่องเที่ยวประเทศพม่าคือคำแนะนำเรื่องสถานที่และการเดินทางซึ่งมักโรแมนติกหรือสร้างภาพที่ดีเกินจริงจนหลงลืมอันตรายที่อาจเกิดระหว่างการเดินทาง ผู้เขียนเคยเผชิญกับสถานการณ์เสี่ยงตายอันเกิดจากการใช้คู่มือท่องเที่ยว Lonely Planet เมื่อครั้งนั่งรถไฟจากมัณฑะเลย์ไปยังรัฐฉานภาคเหนือ หนังสือคู่มือท่องเที่ยวเล่มนี้บรรยายว่าเส้นทางรถไฟสายนี้สวยงามมาก โดยเฉพาะเส้นทางผ่านสะพานเหล็กข้ามหุบเขาที่สร้างตั้งแต่สมัยอาณานิคมอังกฤษ ผู้เขียนหลงเชื่อคำบรรยายอันแสนโรแมนติกในนั้นและตัดสินใจซื้อตั๋วรถไฟเพื่อชื่นชมความงดงามดังวาดฝัน แต่ปรากฏว่ารถไฟเกิดตกรางจนทำให้เสียเวลาไม่น้อยกว่า 4 ชั่วโมง โชคดีที่รถเริ่มเบรกทันในช่วงที่ล้อเริ่มตกรางเพียงเล็กน้อย ผู้คนในรถหวีดร้องด้วยความตกใจ ในแวบแรกผู้เขียนคิดว่ามีการสู้รบระหว่างกองกำลัง รัฐบาลกับชนกลุ่มน้อยในละแวกนั้น แต่พอรถจอดสนิทแล้วผู้คน วิ่งลงไปดูที่ล้อจึงรู้ความจริงว่ารถไฟตกราง และโชคยังดีที่รถเบรกได้ทันก่อนจะพลิกคว่ำ
ระหว่างรอรถไฟกลับคืนสู่ราง บรรยากาศเริ่มเข้าสู่ความมืดมิด ชาวบ้านหยิบเทียนไขมาจุดราวกับรู้ตัวว่ารถไฟจะตกราง และไม่นานนักก็เริ่มมีแม่ค้านำใบพลูห่อหมากมาเดินขายผู้โดยสารชาวพม่าราวกับเหตุการณ์นี้เป็นเรื่องปกติ หลังจากสอบถามชาวบ้านที่นั่งข้าง ๆ จึงพบว่า “รถไฟตกรางบ่อยมาก นี่ยังดีนะที่ไม่ตกช่วงผ่านหุบเขา” !
วินาทีนั้นฉันนึกถึงคำบรรยายสวยงามในคู่มือท่องเที่ยว พร้อมกับสบถคำหยาบออกมาด้วยความโมโหตัวเองที่ตกเป็นเหยื่ออุตสาหกรรมคู่มือท่องเที่ยวด้วยตัวหนังสือเพียงไม่กี่ประโยค
ปัญหาของการใช้คู่มือท่องเที่ยวพม่าอีกอย่างหนึ่งคือ ข้อมูลไม่ทันเหตุการณ์ เพราะรัฐบาลทหารเปลี่ยนกฎเกณฑ์สำหรับนักท่องเที่ยวตลอดเวลา รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่พักและค่าเดินทางที่ระบุในหนังสือท่องเที่ยวมักไม่ตรงกับความเป็นจริง ทำให้ยากแก่การจัดสรรงบประมาณ และหากเกิดปัญหาเงินไม่พอในพม่า ความยุ่งยากที่ตามมาก็คือ คุณไม่สามารถกดเอทีเอ็มหรือใช้บัตรเครดิตได้เลย นักท่องเที่ยวแบกเป้จึงอาจต้องลดวันเดินทางลงกะทันหันเพราะไม่สามารถจ่ายค่าที่พักที่แตกต่างจากที่ระบุไว้ในหนังสือหลายเท่าตัว นอกจากนี้ คู่มือบางเล่มยังระบุถึงข้อห้ามที่ไม่ตรงกับสถานการณ์จริง เช่น ห้ามนำฟิล์มถ่ายภาพเกิน 3 ม้วน (ปัจจุบันนักท่องเที่ยวใช้กล้องดิจิตอล) ซึ่งความเป็นจริง ปัจจุบันนักท่องเที่ยวสามารถนำฟิล์มเข้าไปได้มากกว่านั้น เป็นต้น
ตัวอย่างกฎเกณฑ์ที่รัฐบาลเปลี่ยนแปลงมาตลอดคือการแลกเงินดอลลาร์พม่า นับตั้งแต่ปีแรกที่รัฐบาลทหารเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยว รัฐบาลได้ผลิตธนบัตรพิเศษที่มีชื่อว่า Foreign Exchange Certificates หรือ FEC มีทั้งหมด 4 ราคา คือ 1, 5, 10 และ 20 โดยแต่ละราคามีค่าเทียบเท่ากับดอลลาร์สหรัฐ ธนบัตรพิเศษชนิดนี้เป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวหวาดกลัวที่จะได้ครอบครอง กันมาก เพราะเมื่อมีอยู่ในมือแล้วจะไม่สามารถแลกเปลี่ยนกลับเป็นสกุลเงินดอลลาร์เดิมอีกต่อไป รวมทั้งไม่สามารถนำไปใช้ที่ประเทศอื่นใดในโลกนี้ได้อีก สกุลเงินที่แลกได้มีเพียงเงินจั๊ตซึ่งเป็นสกุลเงินท้องถิ่นของพม่าเท่านั้น สถานที่ใช้เงินดอลลาร์ชนิดนี้ในพม่าคือโรงแรม สถานที่ท่องเที่ยว และร้านขายของที่ระลึก หากต้องการซื้อของตามท้องตลาดจะต้องแลกเปลี่ยนเป็นเงินจั๊ตก่อน ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ มูลค่าแลกเปลี่ยนเป็นเงินจั๊ตจะน้อยกว่านำเงินดอลลาร์สหรัฐมาแลก ดังนั้น ขนาดประชาชนพม่าเองยังไม่ค่อยอยากจะรับดอลลาร์ชนิดนี้สักเท่าไหร่
รัฐบาลพม่าได้กำหนดให้นักท่องเที่ยวนำเงินดอลลาร์สหรัฐมาแลกเป็นดอลลาร์พม่า โดยลดเพดานขั้นต่ำของการแลกเงินลดลงมาเรื่อยๆ จาก 300 ดอลลาร์ เป็น 200 ดอลลาร์ และหลังจากปี พ.ศ. 2545 ไม่ได้บังคับให้แลก แต่ยังคงใช้แบงค์ชนิดนี้ ทอนเงินให้กับนักท่องเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวของรัฐบาล เนื่องจากไม่มีนักท่องเที่ยวคนไหนอยากถือแบงค์พิเศษชนิดนี้ ดังนั้น ในช่วงที่รัฐบาลบังคับให้แลกเงิน 200 หรือ 300 ดอลลาร์ บรรดานักท่องเที่ยวจึงมีส่วนทำให้ปัญหาการติดสินบนขยายตัว และผู้เขียนเองก็เป็นหนึ่งในนักท่องเที่ยวเหล่านี้
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2545 ขณะนั้นรัฐบาลกำหนดเพดานแลกเงินที่ 200 ดอลลาร์ หลังจากนักท่องเที่ยวผ่านเคาน์เตอร์ตรวจคนเข้าเมือง ทุกคนจะถูกต้อนเข้าแถวแลกเงินที่เคาน์เตอร์ FEC ถ้าใครไม่รู้และเดินเลยไปก็จะถูกเจ้าหน้าที่ไปตามเรียกตัวกลับมา ระหว่างรอคิวผู้เขียนต้องพยายามทำใจกับการต้องเปลี่ยนเงิน 200 ดอลลาร์สหรัฐเป็นดอลลาร์พม่าซึ่งจะมีมูลค่าน้อยกว่ากระดาษเปล่าทันทีหากถือเงินนี้กลับเมืองไทย ทว่า เมื่อถึงคิวของผู้เขียน สิ่งที่หวาดกลัวก็แปรเปลี่ยนเป็นความแปลกใจ
“คุณอยากแลกเท่าไหร่ แล้วจะให้รางวัลพิเศษผมเท่าไหร่”
ฉันฟังแล้วไม่เชื่อหู เพราะถูกเสนอให้ติดสินบน แต่ด้วยเพราะไม่อยากมีเงินนี้ในกระเป๋ามากเกินไป จึงเสนอว่าอยากแลก 100 ดอลลาร์และให้เงินพิเศษ 10 ดอลลาร์ พนักงานคนนั้นตอบตกลง ซึ่งพอฉันเหลือบมองนักท่องเที่ยวในช่องแลกเงินติดกันก็ทำแบบเดียวกับฉัน เมื่อลองคำนวณเงินค่าสินบนที่นักท่องเที่ยวจ่ายในแต่ละวันแล้วนับเป็นตัวเลขที่สูงจนน่าตกใจทีเดียว เพราะหากวันหนึ่งมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าพม่า 1,000 คน โดยแต่ละคนติดสินบนเจ้าหน้าที่คนละ 10 ดอลลาร์ นั่นหมายความว่าวันหนึ่งจะมีเงินค่าสินบน 10,000 ดอลลาร์ หรือ 400,000 บาท เดือนหนึ่งจะมีเงิน 12,00,000บาท ตัวเลขนี้หากรวมกับเงินดอลลาร์ที่แลกเป็น FEC คนละประมาณ 100 ดอลลาร์ แลก 1,000 คน เป็นเงิน 100,000 ดอลลาร์ หรือ 4,000,000 บาท นั่นหมายความว่า รัฐบาลพม่าสามารถผลิตกระดาษมีลวดลายมาแลกเงินดอลลาร์ได้วันละหลายล้านบาท ถือเป็นธุรกิจที่ดีไม่น้อยทีเดียว เพราะเงิน เหล่านี้จะไม่มีวันได้คืนกลับสู่กระเป๋านักท่องเที่ยวอีกแน่นอน
หากใครลองพลิกเปิดคู่มือท่องเที่ยวพม่าแต่ละบริษัทอาจระบุถึงอัตราแลกเงิน FEC ต่างกันไป ขึ้นอยู่กับการปรับข้อมูลให้ทันสมัยในครั้งที่พิมพ์ซ้ำ ซึ่งหากบริษัทไม่ได้แก้ไข เมื่อนักท่องเที่ยวไปถึงสนามบินอาจเผลอเดินไปเคาน์เตอร์แลกเงิน FEC ที่ยังคงตั้งตระหง่านอยู่ที่เดินรอนักท่องเที่ยวหลงผิดเดินเข้าไปแลกก็ได้ ดังนั้น ไม่ว่าจะใช้คู่มือท่องเที่ยวฉบับใด ก่อนเดินทางไปพม่า นักท่องเที่ยวแบกเป้ทุกคนควรตรวจสอบข้อมูลการเดินทางทุกครั้ง เพื่อไม่ให้ต้องเจอกับปัญหาที่ไม่คาดคิดและมานั่งบ่นคู่มือท่องเที่ยวย้อนหลังเหมือนกับผู้เขียน
ปลายทางของดอลลาร์
คำถามที่หลายคนสงสัยจนอาจกลายเป็นสาเหตุของการตัดสินใจไม่ไปเที่ยวพม่าก็คือ ปลายทางของเงินดอลลาร์ไปอยู่ที่ไหน? เพราะสิ่งที่หวาดกลัวก็คือ หากปลายทางไปสิ้นสุดที่กระทรวงกลาโหม เพื่อจัดซื้ออาวุธมาควบคุมเข่นฆ่าประชาชน นักท่องเที่ยวก็จะกลาย เป็นผู้มีส่วนทำร้ายประชาชนชาวพม่าโดยไม่ได้ตั้งใจ แน่นอนว่า เงินจำนวนหนึ่งของนักท่องเที่ยวย่อมไปสู่กระเป๋าของคนยากจนที่มาทำงานตามโรงแรมหรือสถานที่ท่องเที่ยว แต่เงินจำนวนนี้นับว่า เป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับเงินที่ผ่านเข้าสู่กระเป๋ารัฐบาล
ข้อมูลตัวเลขเงินลงทุนธุรกิจท่องเที่ยวในพม่าเมื่อปี ค.ศ. 1999 จาก www.irrawaddy.org ระบุว่า ธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยวมีเงินลงทุนเป็นอันดับสามของกลุ่มธุรกิจต่างชาติ โดยมีมูลค่า 1,042 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือมากกว่า 40,000 ล้านบาท รองจากธุรกิจน้ำมันและแก๊สและธุรกิจเครื่องอุปโภคบริโภค โดยรัฐบาลทหารได้เงินจากธุรกิจท่องเที่ยวทั้งทางตรงจากนักท่องเที่ยวซึ่งเข้าไปชมสถานที่ท่องเที่ยวคนละ 5 ดอลลาร์ และภาษีจากธุรกิจโรงแรม ซึ่งเรียกเก็บเป็นเงินที่สูงมากจนธุรกิจโรงแรมหลายแห่ง ต้องปิดกิจการหรือกำลังถูกรัฐบาลฟ้องร้องให้จ่ายอยู่ในขณะนี้ ดังเช่นข่าวล่าสุดเมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา รัฐบาลพม่ากำลังฟ้องร้องโรงแรม 20 แห่งให้จ่ายภาษีรวมทั้งหมด 36 ล้านดอลลาร์ โรงแรมเหล่านี้ลงทุนไปแล้วราว 560 ล้านดอลลาร์ แต่ได้รับผลตอบแทนยังไม่คุ้มทุนเพราะมีนักท่องเที่ยวน้อย
การเดินทางในพม่าแม้เพียงไม่กี่วันก็ทำให้เราเริ่มได้คำตอบ ที่ชัดเจนมากขึ้นว่า เงินดอลลาร์ที่พวกเราจ่ายให้กับรัฐบาล ปลายทาง ของมันยังคงอยู่ห่างไกลจากการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนเหลือเกิน โดยเฉพาะคุณภาพทางการศึกษาของเด็กวัยประถมซึ่งเด็กทุกคนควรได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียมกันจากรัฐ ไม่ใช่ต้องแบกรับภาระแม้กระทั่งค่ากระดาษสอบซ่อม !
เด็กชายวัย 11 ปีคนหนึ่งกำลังเรียนอยู่ชั้นประถม 6 ที่มารับจ้างพวกเราแบกเป้ลงดอยพระธาตุอินทร์แขวนเล่าถึงภาระทางการศึกษาที่นักเรียนตัวน้อยต้องแบกรับแทนรัฐบาลให้ฟังว่า
“ค่าเล่าเรียนแต่ละปีแพงอยู่แล้ว และถ้าใครสอบตกต้องจ่ายค่ากระดาษสอบซ่อม ผมไม่อยากหาเงินมาจ่ายค่ากระดาษสอบซ่อมเลยตั้งใจเรียนและไม่เคยสอบตกเลย แต่ปัญหาของการขึ้นชั้น ป. 6 ก็คือมีหนังสือเรียนที่ต้องซื้อมากกว่าชั้น ป. 5 หลายวิชา ผมเลยต้องหาเงินมากกว่าเดิมอีก”
วันนั้นเราให้เงินเด็กชายเป็นค่าแบกของ แม้จะเป็นเงินไม่มากนักแต่เราก็รู้ว่าเงินนี้จะกลายเป็นค่าขนมไปได้อีกหลายวัน ก่อนกลับเมืองไทย เราเกิดคำถามขึ้นมาในใจว่า นักท่องเที่ยวจะมีทางเลือกที่สามในการเที่ยวพม่าบ้างหรือไม่ พวกเราจะมีสิทธิกำหนดได้ไหมว่าเงินของพวกเราจะต้องนำไปใช้เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนเท่านั้น หากทำได้จริง กระแสต่อต้านการท่องเที่ยวพม่าก็คงจะน้อยลง เพราะอย่างน้อยเงินเหล่านี้ก็ได้หลั่งไหลเข้าไปแก้ปัญหาความยากจนของประชาชนอย่างแท้จริง หากวันนั้นมาถึง การเดินทางในพม่าก็คงจะเป็นการเดินทางเพื่อชมความงดงามอย่างหมดจดปราศจากม่านน้ำตาความทุกข์ของผู้คนมาบดบังเหมือนเช่นทุกวันนี้