บทความพิเศษ ความเชื่อผิดๆ เก้าประการเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยไทยใหญ่

ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ข่าวเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยไทยใหญ่บริเวณชายแดนด้านอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอนได้ก่อให้เกิดคำถามในแวดวงคนทำงานด้านสิทธิมนุษยชนว่า เพราะเหตุใดประเทศไทยจึงไม่มีค่ายผู้ลี้ภัยให้ชาวไทยใหญ่เช่นเดียวกับชาวกะเหรี่ยงหรือคะยาห์ เนื่องจากชาวไทยใหญ่หนีภัยการสู้รบมาเช่นเดียวกัน


คำตอบนี้ เครือข่ายปฏิบัติงานเพื่อผู้หญิงชาวไทยใหญ่หรือ สวอน ได้เคยตอบไว้ในเอกสารเรื่อง “ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับผู้ลี้ภัยชาวไทยใหญ่ (ฉาน)” เมื่อปี 2546 ว่าเป็นเพราะรัฐไทยมีความเชื่อผิดๆ เก้าประการดังต่อไปนี้

ประการแรก ชาวไทยใหญ่เป็นแรงงานอพยพไม่ใช่ผู้ลี้ภัย ในความเป็นจริง ชาวไทยใหญ่ที่เข้ามาในเมืองไทยหลังจากเดือนมีนาคม พ.ศ. 2539 เป็นผู้หนีภัยการละเมิดสิทธิมนุษยชน จากนโยบายของรัฐบาลทหารพม่าซึ่งบังคับให้ประชาชนย้ายออกจากหมู่บ้าน 1,400 แห่งทางภาคกลางของรัฐฉาน ทำให้ประชาชนมากกว่า 3 แสนคนถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างหนัก ชาวไทยใหญ่จำนวนมากได้อพยพครอบครัว ซึ่งมีทั้งเด็ก ผู้หญิง และคนชรา ที่มิได้อยู่ในวัยแรงงานมาในเมืองไทย

ประการที่สอง คือ ชาวไทยใหญ่เป็น “พี่น้อง” กับคนไทย จึงผสมกลมกลืนเข้ากับสังคมไทยได้โดยง่าย และไม่ต้องการแหล่งพักพิงหรือความช่วยเหลือใดๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ชาวไทยใหญ่ต้องมีชีวิตอยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ ในฐานะคนผิดกฎหมาย นอกจากนี้ เด็ก ผู้หญิง คนชรา และคนพิการ มีความต้องการแหล่งพักพิงที่ปลอดภัยและความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมเป็นอย่างมาก

ประการที่สาม ประเทศไทยไม่ได้ร่วมลงนามในอนุสัญญา สหประชาชาติปี พ.ศ. 2494 ว่าด้วยเรื่องสถานะของผู้ลี้ภัยจึงไม่มีข้อผูกมัดใด ๆ ที่จะต้องให้ความคุ้มครองต่อผู้ลี้ภัยชาวไทยใหญ่ แต่เนื่องจากประเทศไทยมีพันธะผูกพันตามหลักกฎหมายสากลและมาตรฐานทางด้านมนุษยธรรม ซึ่งไม่ควรเลือกปฏิบัติต่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นการเฉพาะ ทว่า ประเทศไทยกลับจัดหาที่พักพิงให้กับผู้ลี้ภัยกลุ่มอื่น ๆ อาทิ กลุ่มกะเหรี่ยง และกลุ่มคะยาห์ โดยละเลยกลุ่มไทยใหญ่

ประการที่สี่ หากมีการรณรงค์ให้มีการปกป้องผู้ลี้ภัยชาวไทยใหญ่ จะทำให้หน่วยงานที่ไม่ต้องการให้มีค่ายผู้ลี้ภัยเกิดความไม่พอใจจนทำให้มีการกวาดล้างชาวไทยใหญ่มากยิ่งขึ้น ความเชื่อนี้ตรงกันข้ามกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เนื่องจากการเรียกร้องให้มีสถานที่พักพิงผู้หนีภัยการสู้รบเมื่อปี 2545 ที่ผ่านมา ทำให้ผู้ลี้ภัยไทยใหญ่ได้รับอนุญาตให้มีที่พักอาศัยชั่วคราว และได้รับความช่วยเหลือมากยิ่งขึ้น

ประการที่ห้า ผู้ลี้ภัยไทยใหญ่ขนยาเสพติด ก่อ อาชญากรรม และนำโรคติดต่อมาสู่ประเทศไทย ผู้ลี้ภัยไทยใหญ่ นับเป็นจำนวนน้อยที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการค้ายาเสพติด โดยส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพราะไม่มีทางเลือกในอาชีพอื่นและต้องการดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดของครอบครัวที่อพยพมาทั้งหมด การจัดที่พักพิงและให้ความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมจะเป็นหลักประกันพื้นฐานที่ทำให้ผู้ลี้ภัยไม่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการ ยาเสพติดเพื่อความอยู่รอด และสามารถควบคุมปัญหาโรคภัยไข้เจ็บและการก่ออาชญากรรมได้มากขึ้น

ประการที่หก การให้การรับรองสถานะผู้ลี้ภัยแก่ชาวไทยใหญ่จะเท่ากับเป็นการเปิดประตูให้ผู้ลี้ภัยจากรัฐฉานหลั่งไหลเข้ามาเป็นจำนวนมาก เนื่องจากปัญหาผู้ลี้ภัยไทยใหญ่เกิดจากปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในพม่า การแก้ปัญหาการหลั่งไหลของผู้ลี้ภัย คือ การกดดันให้รัฐบาลทหารพม่ายุติการละเมิดสิทธิมนุษยชนทุกรูปแบบ การจัดหาค่ายให้ผู้ลี้ภัยไทยใหญ่จะทำให้รัฐบาลไทยสามารถควบคุมปัญหาต่าง ๆ ได้ดีกว่าการปล่อยให้ผู้ลี้ภัยไหลทะลักเข้ามาและอยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ และเมื่อประเทศพม่าได้รับสันติภาพ การส่งตัวกลับจะทำได้ง่ายกว่าการปล่อยให้ผู้ลี้ภัยอาศัยอยู่อย่างกระจัดกระจาย

ประการที่เจ็ด ประเทศไทยต้องเป็นผู้แบกรับภาระค่าใช้จ่ายในการสร้างค่ายและการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ชาวไทยใหญ่ เนื่องจากค่าใช้จ่ายสำหรับค่ายผู้ลี้ภัยต่างๆ ที่อยู่ในประเทศไทยเกือบทั้งหมดเป็นเงินบริจาคจากองค์กรระหว่างประเทศทั้งสิ้น สิ่งที่ประเทศไทยต้องรับภาระมีเพียงค่าจ้างบุคลากรเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ประการที่แปด ผู้ลี้ภัยเป็นผู้ทำลายสภาพแวดล้อม หลักฐานที่ผ่านมาปรากฏชัดเจนว่า ผู้ลี้ภัยเป็นเพียงแพะรับบาปของนายทุนไทยรายใหญ่เท่านั้น และชาวบ้านในค่ายผู้ลี้ภัยถูกควบคุมเรื่องการใช้ทรัพยากรอย่างเข้มงวดมาโดยตลอด

ประการสุดท้าย ค่ายจะถูกนำไปใช้เป็นที่ซ่องสุมกำลังของกลุ่มต่อต้านเพื่อเข้าไปใช้กำลังต่อสู้ในประเทศพม่า เนื่องจากสงครามกลางเมืองในรัฐฉานเกิดจากความขัดแย้งภายใน พม่า การมีค่ายผู้ลี้ภัยไทยใหญ่จึงไม่ใช่ตัวชี้วัดการดำรงอยู่ของความขัดแย้งดังกล่าว ในทางกลับกัน การขาดแหล่งลี้ภัยและความช่วยเหลือต่าง ๆ กลับจะทำให้ชาวไทยใหญ่ไม่มีทางเลือกอื่น และหันกลับไปจับอาวุธปืนต่อสู้กับรัฐบาลทหารมากยิ่งขึ้น ซึ่งนั่นทำให้วงจรความรุนแรงในรัฐฉานยังคงดำเนินต่อไป และทำให้มีชาวไทยใหญ่ไหลทะลักมาในเมืองไทยมากยิ่งขึ้น

จากข้อมูลที่สรุปมาข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่า ปัญหาของผู้ลี้ภัยไทยใหญ่เป็นเรื่องสลับซับซ้อนมากเกินกว่าที่เราจะนำมาตรวัดอันเดียวมาตัดสิน แต่เราคงจำเป็นต้องชั่ง ตวง วัด น้ำหนักของสิ่งต่าง ๆ อย่างสมดุล โดยเฉพาะน้ำหนักระหว่าง “มนุษยธรรม” กับ “ความมั่นคง” บนเส้นเขตแดนที่มนุษย์เพิ่งกำหนดขึ้นมาภายหลัง