รำลึก 17 ปี เหตุการณ์ 8888 บาดแผลในความทรงจำ

โดย ธันวา สิริเมธี

“เราต้องการประชาธิปไตย ไม่ต้องการรัฐบาลเผด็จการ”

นั่นเป็นเสียงตะโกนบนถนนใจกลางกรุงย่างกุ้งเมื่อ 17 ปี ก่อน ที่เตียนหน่าย อดีตนักศึกษามหาวิทยาลัยย่างกุ้งบอกเล่าให้ผู้เข้าร่วมรำลึก 17 ปีเหตุการณ์วันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 1988 (พ.ศ. 2531) ณ สถานที่แห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ได้รับรู้

วันนั้น บนถนนกลางกรุงย่างกุ้งแน่นขนัดไปด้วยประชาชน ทุกเพศทุกวัยที่มาร่วมชุมนุมขับไล่รัฐบาลเผด็จการทหารของนายพลเนวิน ซึ่งปกครองประเทศจนตกต่ำในทุกด้านมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505 บนศีรษะของผู้ร่วมขบวนเกือบทุกคนจะโพกผ้าสีแดงมีลายนกยูงสีทอง สัญลักษณ์ของการเรียกร้องเสรีภาพและประชาธิปไตย บางคนถือภาพนายพลอองซาน บิดาของนางอองซานซูจี ซึ่งนำเอกราชจากอังกฤษมาสู่ประเทศพม่าแต่ต้องถูกลอบสังหารด้วยกลุ่มคนที่หลงอำนาจในชาติเดียวกัน


เมื่อฝูงชนเพิ่มจำนวนมากขึ้น ฝ่ายรัฐบาลทหารจึงเริ่มใช้อาวุธเข้าปราบปรามประชาชนซึ่งมีเพียงสองมือเปล่าอย่างโหดเหี้ยม ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต สูญหาย และติดคุกในฐานะนักโทษการเมืองหลายพันคน

“วันนั้นเสียงปืนรัวที่ยิงกราดใส่ประชาชนที่มาร่วมชุมนุมและเสียงร้องของผู้บาดเจ็บดังโหยหวนอยู่รอบตัวผม ผมวิ่งเข้าไป ช่วยผู้บาดเจ็บบางคนส่งโรงพยาบาลย่างกุ้ง แต่หลายคนต้องเสียชีวิตต่อหน้าต่อตา จนถึงวันนี้เหล่านั้นยังคงดังก้องอยู่ในความทรงจำของผมเหมือนเดิม” อดีตนักศึกษาผู้เข้าร่วมเหตุการณ์นองเลือดบอกเล่าต่อไปด้วยสีหน้าเศร้าหมองราวกับว่าเหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

แม้ว่าการชุมนุมประท้วงครั้งนั้นจะขับไล่นายพลเนวินลงจากตำแหน่งผู้ปกครองประเทศเป็นผลสำเร็จ แต่ชัยชนะก็อยู่กับประชาชนผู้ต้องการประชาธิปไตยได้ไม่นาน

วันที่ 18 กันยายนหรือหนึ่งเดือนต่อมา นายพลซอ หม่อง ได้ทำการรัฐประหาร นำประเทศพม่าเข้าสู่การปกครองภายใต้ระบอบ เผด็จการทหารอีกครั้ง โดยใช้ชื่อว่า สภาฟื้นฟูกฎและระเบียบแห่งรัฐ หรือรู้จักกันดีว่า สลอร์ค (State Law and Order Restoration -SLORC) และในเวลาต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น สภาพัฒนาและสันติภาพแห่งรัฐ (The State Peace and Development Council -SPDC) ซึ่งปกครองประเทศพม่ามาจนถึงทุกวันนี้


แม้ว่ารัฐบาลของนายพลซอหม่อง ซึ่งกระทำรัฐประหารยึดอำนาจคืนจากประชาชนที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ 8888 จะทำตาม พันธะสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน คือ เปิดโอกาสให้มีการเลือกตั้ง ทั่วไปในปี พ.ศ. 2533 ซึ่งพรรคเอ็นแอลดีของนางอองซาน ซูจี ได้รับคะแนนเสียงท่วมท้น แต่บรรดาผู้นำทหารก็ไม่ยอมถ่ายโอนอำนาจให้นางซูจี และพรรคการเมืองอื่น ๆ ซึ่งมีสิทธิอันชอบธรรม การบริหารประเทศ ซ้ำร้าย ผู้นำทหารกลับเพิ่มดีกรีเผด็จการกับกลุ่มผู้รักประชาธิปไตยมากขึ้นเรื่อยๆ อาทิ การสั่งปิด ๆ เปิด ๆ มหาวิทยาลัยแบบไม่มีกำหนดที่แน่นอน ทำให้นักศึกษาหลายคน ต้องเลิกเรียนกลางคันเพื่อไปหางานทำและกลายเป็นนักศึกษาค้างชั้นปีมาจนถึงทุกวันนี้ การสั่งจับกุมผู้แสดงความคิดเห็นทางการเมืองเข้าคุกอินเส่งจนคุกไม่มีที่ว่าง รวมไปถึงการควบคุมสิทธิเสรีภาพในการติดต่อสื่อสารอื่น ๆ อีกมากมาย

เหตุการณ์ที่ยืนยันต่อชาวโลกว่าประชาธิปไตยในพม่ายังคง อยู่ห่างไกลความจริงและเผด็จการทหารยังคงเข้มข้นและทวีความรุนแรงมากขึ้น คือ การกักขังนางอองซาน ซูจี ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2546 และจนถึงวันนี้ รัฐบาลทหารก็ยังไม่มีท่าทีจะหยิบยื่นเสรีภาพให้กับเธอ ท่ามกลางเสียงประณามจากทั่วโลก

ผลจากแรงกดดันที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้นักศึกษาและประชาชนที่ต้องการสิทธิเสรีภาพเริ่มเดินทางออกนอกประเทศ ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน และอีกส่วนหนึ่งขอลี้ภัยไปประเทศโลกที่สาม หลายคนต้องเผชิญกับการพลัดพรากกับพ่อแม่อันเป็นที่รักและไม่มีโอกาสได้กลับไปให้เห็นหน้าจนกระทั่งพวกท่านจากโลกนี้ไป เพราะหากกลับไปภายใต้ระบอบการปกครองเดิม หนุ่มสาวเหล่านี้จะต้องถูกจับขังคุกอินเส่งไปตลอดชีวิตหรืออาจถูกสั่งประหารชีวิต

มินมินซาน หนึ่งในผู้นำนักศึกษาสาวซึ่งเคยร่วมเหตุการณ์นองเลือดครั้งนี้และต้องพลัดพรากจากครอบครัวอันเป็นที่รักเพื่อความปลอดภัยของชีวิต สรุปประสบการณ์ในช่วงเวลากว่าทศวรรษที่ผ่านมาว่า

“ฉันได้เรียนรู้ทุกรสชาติของชีวิตในช่วงเวลาที่ผ่านมา ฉันต้องเจ็บปวดที่เห็นภาพเพื่อนผู้เรียกร้องประชาธิปไตยบาดเจ็บและเสียชีวิตไปต่อหน้าต่อตา ตัวฉันเองก็ต้องระหกระเหินหนีตายมายังชายแดนไทย ก่อนจะลี้ภัยไปประเทศที่สาม การออกมาพบกับผู้คนในโลกภายนอกทำให้เรียนรู้ว่าฉันควรจะรักประเทศของตนเองอย่างไร และฉันรู้ว่า ภาระของพวกเรายังไม่สิ้นสุด เพราะเรายังไม่ได้ประชาธิปไตยอย่างที่เราหวัง”

ค่ำวันนั้น ผู้เข้าร่วมรำลึก 17 ปีเหตุการณ์ 8888 กว่าหนึ่งร้อยคนร่วมกันจุดเทียนไว้อาลัยให้กับผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้น รวมทั้งร่วมส่งกำลังใจไปให้นักโทษการเมืองอีกจำนวนมาก อดทนรอคอยวันที่เสรีภาพเดินทางมาถึง และสิ่งสุดท้ายที่ผู้เข้าร่วมงานทุกคนต่างเฝ้าหวังก็คือ แสงสว่างแห่งประชาธิปไตยที่จะส่องประกายทั่วแผ่นดินพม่าในเร็ววัน เพราะหากถึงวันนั้น เราคงได้เดินทางไปร่วมจัดงานรำลึกถึงผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์นี้บนถนนใจกลางกรุงย่างกุ้งที่พวกเขาจากไป