การต่อสู้ของผู้หญิงบนลุ่มอิระวดี - สาละวิน

โดย ธันวา สิริเมธี

วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมา เป็นวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 60 ปี ของนางอองซาน ซูจี ผู้นำการเรียกร้องประชาธิปไตย ในพม่า เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพปี พ.ศ. 2533 งานฉลอง “วันแซยิด” ของเธอปีนี้ค่อนข้างแปลกกว่าคนทั่วไป เพราะคนที่ร่วมฉลองให้เธออย่างยิ่งใหญ่ต่างอยู่นอกรั้วบ้านเธอทั้งสิ้น ขณะที่เธอเองซึ่งมีฐานะเป็นคุณแม่ลูกสองที่สูญเสียสามีโดยไม่ได้เห็นหน้าในวินาทีสุดท้าย ต้องฉลองวันเกิดกับเปียโนเก่าๆและโต๊ะกินข้าวซึ่งเป็นทรัพย์สินมีค่าเพียงสองชิ้นที่เหลืออยู่ภายในบ้านใกล้ทะเลสาบอินยาเพียงลำพัง เพราะรัฐบาลพม่ากักขังเธอไว้ในบ้าน เป็นครั้งที่สามในรอบ17 ปี และยังไม่มีวี่แววว่าจะปล่อยตัวแต่อย่างใด

ไม่เพียงแต่ซูจีเท่านั้นที่ถูกกักขังให้ไร้เสรีภาพทางกาย หากยังมีผู้หญิงอีกจำนวนไม่น้อยที่ร่วมเดินบนเส้นทางการเมืองเช่นเดียวกับเธอ ถูกกักขังไร้อิสรภาพอยู่ในคุกอินเส่ง ซึ่งเป็นแหล่งรวมนักโทษการเมือง และห่างไกลออกไปในเขตชนบท ผู้หญิงชนกลุ่มน้อยอีกจำนวนมากเช่นกันที่กำลังต่อสู้เพื่อปลดแอกร่างกายของเธอจากเบี้ยล่างของทหารพม่า


ตลอดเวลาครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา นับตั้งแต่พม่าได้รับเอกราช จากอังกฤษในปี พ.ศ. 2491 ผู้หญิงแห่งลุ่มน้ำอิระวดี-สาละวิน สายน้ำที่ไหลผ่านใจกลางดินแดนชนชาติพม่าและชนกลุ่มน้อย ได้พยายามลุกขึ้นยืนหยัดต่อสู้กับความอยุติธรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับพวกเธออย่างเข้มแข็งหลากหลายรูปแบบ เพื่อประกาศให้โลกภายนอกรับรู้ว่าชะตากรรมของผู้หญิงในพม่าเป็นเช่นไร

การต่อสู้ทางการเมืองการทหาร

ผู้หญิงเริ่มต้นมีบทบาทในการต่อสู้ทางการเมืองในช่วงที่พม่าเริ่มเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษ องค์กรผู้หญิงแห่งแรกก่อตั้ง ขึ้นในปี พ.ศ. 2462 หลังจากนั้นจึงมีองค์กรผู้หญิงเกิดขึ้นตามมาอีกหลายองค์กร ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 บทบาทของผู้หญิงจะเน้นเรื่องการรณรงค์ให้รักชาติ และในช่วงที่มีการเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษ กลุ่มนักศึกษาหญิงได้เข้าร่วมเดินขบวนประท้วงของมหาวิทยาลัยด้วย โดยเรียกกลุ่มตนเองว่า“ตะขิ่นมะ” คู่กับกลุ่มผู้ชายที่เรียกกลุ่มตนเองว่า“ตะขิ่น”

หลังจากพม่าได้รับเอกราชปี พ.ศ. 2491 นางนอบา เมืองเชน นับเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้เข้าร่วมในคณะรัฐมนตรีของพม่า ส่วนนางดอขิ่นจี แม่ของอองซานซูจีได้รับเลือกให้เป็นเอกอัครราชทูตหญิงคนแรกและคนเดียวของพม่าที่เดินทางไปอินเดีย

หลังจากปี พ.ศ. 2505 นายพลเนวินได้ยึดอำนาจและปกครองประเทศด้วยระบอบสังคมนิยมวิถีพม่าเป็นเวลายาวนานถึง 26 ปี ในช่วงเวลานั้น บทบาทผู้หญิงได้ห่างหายไปจากเวทีผู้นำการเมืองพม่าโดยสิ้นเชิง

จนกระทั่งปี พ.ศ. 2531 นายพลเนวินลงจากอำนาจ อองซาน ซูจี เริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญในการต่อสู้เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยในพม่า และเป็นผู้นำคนสำคัญของพรรคสันนิบาต เพื่อประชาธิปไตยหรือเอ็นแอลดี ที่ได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นจากการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2533 ซึ่งครั้งนี้มีส.ส.หญิงได้รับการเลือกตั้งจำนวน 15 คน แต่ทั้งหมดถูกสลอร์ค(ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นเอสพีดีซี)หรือสภาทหารฯ จับขังคุกในเวลาต่อมา พวกเธอถูกทรมานระหว่างถูกกักขัง (อ่านสภาพชีวิตนักโทษหญิงในคุกอินเส่งในล้อมกรอบ) ปัจจุบัน ส.ส. หญิงจำนวน 4 คนเสียชีวิตไปแล้ว โดยครอบครัวของพวกเธอได้รับการข่มขู่คุกคามหลากหลายรูปแบบด้วยเช่นกัน

สาเหตุที่ผู้หญิงสามารถก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญทางการเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะภาพของจิตสำนึกอันบริสุทธิ์ที่ปราศจากการทุจริตคดโกง และภาพความกระหายอำนาจทางการเมืองที่มีน้อยกว่าผู้ชาย แม้ผู้หญิงมักถูกมองว่าเป็นเพศที่อ่อนแอโดยเฉพาะในโลกการเมือง แต่นั่นกลับทำให้ผู้หญิงได้รับความเห็นอกเห็นใจหรือคะแนนความสงสารจากประชาชนได้มากกว่าเพศชายเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ ผู้หญิงที่ตัดสินใจก้าวขึ้นมาสู่เวทีการเมืองในพม่าจึงได้รับการยอมรับอย่างอบอุ่นจากประชาชน

ในกรณีผู้หญิงกลุ่มชาติพันธุ์ที่มิใช่พม่า หรือผู้หญิงชนกลุ่มน้อย การต่อสู้ทางการเมืองไม่เพียงมุ่งหวังให้เกิดประชาธิปไตยในพม่าเท่านั้น แต่ยังมุ่งหวังไปถึงเสรีภาพและความเท่าเทียมกับชนชาติพม่าซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หลักของประเทศด้วยเช่นกัน ผู้หญิงชนกลุ่มน้อยจำนวนมากตัดสินใจเข้าร่วมเป็นทหารหญิงในกองทัพชนชาติของตนเอง โดยมุ่งหวังให้การต่อสู้ทางการทหารนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

หนึ่งในผู้หญิงชนกลุ่มน้อยที่มีบทบาทสำคัญคือ มหาเทวีเฮือนคำ มเหสีของเจ้าฟ้าส่วยไต เจ้าฟ้าเมืองหยองห้วยของชาวไทยใหญ่ ซึ่งเป็นประธานาธิบดีคนแรกของสหภาพพม่า มหาเทวีเฮือนคำเป็นผู้หญิงไทยใหญ่เพียงคนเดียวที่สามารถรวบรวมกองกำลังกู้ชาติไทยใหญ่ที่แตกออกเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยให้มารวมเป็นกลุ่มเดียวกันได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

นอกจากนี้ ยังมีผู้หญิงจำนวนมากที่สมัครเข้ามาเป็นทหารในกองทัพชนกลุ่มน้อยเพราะทนถูกกดขี่จากระบอบการปกครองแบบเผด็จการของรัฐบาลทหารพม่าไม่ได้

อดีตทหารหญิงไทยใหญ่คนหนึ่งบอกถึงเหตุผลที่สมัครเป็นทหารในกองทัพกู้ชาติไทยใหญ่ตั้งแต่อายุ 18 ปีว่า

“เรารู้สึกว่า 18 ปีที่ผ่านมา เราไม่ได้รับความเป็นธรรมและไม่ได้ทำอะไรอย่างที่ต้องการ เวลาไปโรงเรียน ครูทั้งหมดเป็นคนพม่า ภาษาของเราก็ไม่ให้เรียน ไม่ให้พูด บังคับให้เรียนแต่ภาษาพม่าอย่างเดียว ถ้าใครพูดภาษาไทยใหญ่ในโรงเรียนจะต้องถูกปรับเงิน พวกเราอยากเรียนภาษาไทยใหญ่กันมาก เลยจับกลุ่มกันไปเรียนกับครูชาวไทยใหญ่ที่วัดในหมู่บ้าน แต่เรียนได้แค่อาทิตย์เดียว ครูของเราก็ถูกจับไปติดคุก แล้วเจ้าหน้าที่พม่าก็บังคับให้นักเรียนทุกคนเซ็นชื่อรับรองว่าจะไม่เรียนภาษาไทยใหญ่อีก พวกเราจำเป็นต้องเซ็น เพราะถ้าไม่เซ็นเขาก็ไม่ยอมปล่อยครูออกมาจากคุก เหตุการณ์นี้ทำให้เราโกรธมาก และตัดสินใจ หนีออกจากบ้านมาตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2524 กับเพื่อนอีกสองคน”

ทุกวันนี้ แม้ว่าพวกเธอจะเลิกจับอาวุธปืนแล้ว แต่ภารกิจต่อสู้เพื่อคนไทยใหญ่ดูเหมือนจะยังไม่สิ้นสุด อดีตทหารหญิงไทยใหญ่หลายคนได้หันมาทำหน้าที่เป็นครูสอนภาษาไทยใหญ่และทำงานอื่น ๆ เพื่อช่วยเหลือคนเชื้อชาติเดียวกันแทน ด้วยเหตุผลที่ว่า “การกู้ชาติไม่ใช่การถืออาวุธอย่างเดียว การสอนหนังสือไทยใหญ่ ก็เป็นการกู้ชาติเหมือนกัน เพราะถ้าไม่สอน เด็กก็ไม่รู้ว่าเรามีภาษา เชื้อชาติ แผ่นดิน และประวัติศาสตร์ของเราเอง”

ไม่เพียงแต่กองทัพไทยใหญ่เท่านั้น กองทัพชนชาติอื่นๆ ในพม่าทุกกลุ่มต่างก็มีทหารหญิงหรือเจ้าหน้าที่ผู้หญิงซึ่งทำงานให้กองทัพชนชาติของตนเช่นกัน เพราะผู้หญิงเหล่านี้เชื่อว่าการทำงานรับใช้กองทัพของตนเองเป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยสืบทอดรักษาความเป็นชาติพันธุ์ของตนเองเอาไว้ได้

การต่อสู้เพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชน

ประเทศพม่าประกอบไปด้วยกลุ่มชาติพันธุ์มากกว่า 135 กลุ่ม กลุ่มชาติพันธุ์ที่มิใช่พม่าหรือชนกลุ่มน้อย จะอาศัยอยู่ในเขตรัฐชายแดนทั้ง 7 รัฐ คือ รัฐฉาน รัฐคะยาห์ รัฐกะเหรี่ยง รัฐมอญ รัฐคะฉิ่น รัฐชิน และรัฐยะไข่ (อาระกัน)

หลังจากพม่าได้รับเอกราช กองกำลังชนกลุ่มน้อยได้พยายามเรียกร้องต่อสู้เพื่อเอกราชของชนชาติตนเองมาโดยตลอด พื้นที่รัฐต่างๆ เหล่านี้จึงกลายเป็นเขตสงครามการเมือง ซึ่งผู้หญิงชนกลุ่มน้อยได้กลายเป็นเหยื่อของสงครามมาโดยตลอด โดยผู้หญิงจะถูกมองว่าเป็นสมบัติของศัตรู การข่มขืนผู้หญิงกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกับศัตรูจึงเป็นยุทธศาสตร์หนึ่งของการทำลายฝ่าย ตรงข้าม การข่มขืนจึงเป็นเสมือนอาวุธสงครามที่ทหารพม่าใช้ต่อสู้กับทหารชนกลุ่มน้อย

นอกจากนี้ ผู้หญิงยังตกเป็นเหยื่อผลพวงจากปัญหาการเมืองในพม่า ซึ่งนำไปสู่ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้หญิงสาวต้องถูกล่อลวงไปขายประเวณีหรือขายแรงงานในประเทศเพื่อนบ้าน ปัญหาเหล่านี้ได้รับการเปิดเผยมากขึ้นเรื่อยๆ โดยผู้หญิงแต่ละกลุ่มชาติพันธุ์ได้ลุกขึ้นมาจัดตั้งองค์กรผู้หญิงของตนเอง มีการเก็บข้อมูลปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อผู้หญิงในรูปแบบต่างๆ เผยแพร่สู่โลกภายนอกอย่างต่อเนื่อง เช่น ในปี พ.ศ. 2545 กลุ่มผู้หญิงไทยใหญ่(SWAN) ได้จัดทำรายงาน “License to Rape” เปิดเผยให้เห็นถึงการข่มขืนผู้หญิงไทยใหญ่โดยทหารจากกองทัพพม่า รายงานฉบับนี้ส่งผลสะเทือนไปในระดับสากล ทำให้ชะตากรรม ของชาวไทยใหญ่ได้รับความสนใจจากโลกภายนอกมากขึ้น และส่งผลให้กลุ่มผู้หญิงชาติพันธ์อื่นๆ มีกำลังใจเปิดเผย ความเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับตนเองให้โลกภายนอกได้รับรู้มากขึ้น โดยในปี พ.ศ. 2547 กลุ่มผู้หญิงกะเหรี่ยง(KWO) ได้จัดทำ รายงาน “Shattering Silence” เปิดเผยให้เห็นถึงการข่มขืนผู้หญิงกะเหรี่ยงโดยกองทัพพม่า ซึ่งนับเป็นรายงานฉบับแรกที่ผู้หญิงกะเหรี่ยงเก็บข้อมูลด้วยตนเองและยอมเปิดเผยความจริงที่ถูกเก็บงำมานาน(ปัจจุบันได้รับการแปลเป็นภาษาไทยในชื่อ “ข่มขืน -ขื่นขม ในความเงียบ”) ล่าสุดปี พ.ศ. 2548 กลุ่มผู้หญิงคะฉิ่น (KWAT) จัดทำรายงานเรื่อง “Driven Away - Trafficking of Kachin Women on the China-Burma Border” เปิดเผยให้เห็นถึงกระบวนการค้าผู้หญิงคะฉิ่นจากประเทศพม่าสู่ประเทศจีน ซึ่งเป็นการสะท้อนปัญหาความรุนแรงรูปแบบอื่นที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงในรัฐคะฉิ่นซึ่งแม้จะเป็นเขตเจรจาหยุดยิงมาเป็นเวลานานนับสิบปี แต่ความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงก็แทบไม่ต่างกับผู้หญิงในเขตสู้รบ

รายงานเหล่านี้เก็บข้อมูลโดยผู้หญิงกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกัน ทำให้เกิดความเข้าใจในปัญหาของชนชาติและเพศเดียวกันอย่างลึกซึ้ง เป็นรูปแบบการต่อสู้ที่ไม่ใช้ความรุนแรง แต่นำไปสู่ความเข้าใจ ในวงกว้าง ทำให้คนทั่วโลกได้เข้าใจปัญหาความรุนแรงต่อผู้หญิงชนกลุ่มน้อยในประเทศพม่ามากยิ่งขึ้น

นอกจากการจัดทำรายงานเปิดเผยปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนแล้ว ผู้หญิงก็ยังเข้าไปมีบทบาทในการทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชนเพื่อช่วยเหลือผู้หญิงด้วยกันอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นองค์กรที่ให้ความช่วยเหลือด้านแรงงาน ด้านสุขภาพ และด้านการศึกษา จึงนับได้ว่าผู้หญิงเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงด้วยกัน

ผู้หญิงกับการต่อสู้เพื่อครอบครัว

สภาพเศรษฐกิจตกต่ำที่เกิดขึ้นมาเป็นเวลายาวนานในประเทศพม่า ส่งผลให้ผู้หญิงไม่เพียงทำหน้าที่ลูกสาว ภรรยา หรือแม่บ้านเท่านั้น หากยังต้องออกไปหาเงินมาจุนเจือครอบครัวด้วยเช่นกัน เนื่องจากผู้หญิงส่วนใหญ่มีโอกาสเรียนหนังสือน้อยกว่าเด็กผู้ชาย ทางเลือกในการหารายได้มาจุนเจือครอบครัวจึงมีจำกัด เด็กผู้หญิงจำนวนมากต้องเข้าสู่อาชีพขายบริการและขายแรงงานในประเทศเพื่อนบ้าน

เด็กผู้หญิงหลายคนไม่มีโอกาสกลับไปให้พ่อแม่เห็นหน้าตลอดชีวิต เนื่องจากเสียชีวิตระหว่างการเดินทางข้ามชายแดน หรือกลับไปในสภาพพิกลพิการ หลายคนติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์เนื่องจากขาดความรู้ในการป้องกัน หลายคนถูกนายจ้างทำร้าย แต่ถึงกระนั้น ในแต่ละปี ยังคงมีเด็กผู้หญิงจำนวนมากเข้าสู่กระบวนการขายแรงงานและขายบริการทางเพศด้วยเพราะพวกเธอไม่มีทางเลือก

ในกรณีของผู้หญิงที่มีการศึกษา พวกเธอต้องรับภาระที่หนักเช่นกัน พวกเธอไม่สามารถทำหน้าที่เป็นแม่บ้านเพียงอย่างเดียวหลังจากออกเรือน เนื่องจากรายได้ของสามีเพียงคนเดียวไม่เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในครอบครัว พวกเธอจึงต้องรับภาระทั้งงานนอกบ้านและในบ้าน โดยทุกๆเช้าจะต้องรีบตื่นก่อนสามีและลูกเพื่อจ่ายตลาดและทำอาหารเช้าสำหรับสมาชิกทุกคนในครอบครัว ช่วงเวลากลางวันต้องออกไปทำงาน หลังจากเลิกงานต้องรีบกลับมาเตรียมอาหารเย็น และดูแลงานบ้านทุกอย่าง การต่อสู้ของผู้หญิงเพื่อครอบครัวจึงเป็นภาระหนักที่ผู้หญิงทุกคนต้องแบกรับไว้

บทสรุป

การต่อสู้ของผู้หญิงในประเทศพม่าที่กล่าวมาข้างต้นได้สะท้อนให้เห็นถึงพลังเงียบที่มีอยู่ในตัวของผู้หญิงทุกคนและพร้อมจะแสดงออกมาให้โลกภายนอกได้รับรู้เมื่อถึงเวลาที่ปัญหาต่าง ๆ เริ่มสุกงอม การต่อสู้ที่เกิดขึ้นในรูปแบบที่หลากหลายได้นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองในพม่าทีละน้อย เป็นเสมือนคลื่นใต้น้ำที่เป็นตัวขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่จะมาถึงในวันข้างหน้า