![]() |
www.le- betel.com |
ผู้เขียนรู้สึกแปลกใจที่เห็นเพื่อนวัยเดียวกันมีอาการ “ติดหมาก” คล้ายกับคนรุ่นคุณตาคุณยาย บ่ายวันนั้น ผู้เขียนจึงชวนสหายจากพม่าคุยเรื่องวัฒนธรรม “การเคี้ยวหมาก” หรือที่ในภาษาพม่าเรียกว่า กวินหย่า และพบว่าวัฒนธรรมการเคี้ยวหมากของคนพม่ามีเรื่องราวสนุก ๆ ให้เรียนรู้มากมาย
ต้นกำเนิดวัฒนธรรมการเคี้ยวหมากในพม่า
ในบรรดาชนชาติต่าง ๆ ในพม่า ชาวพม่าแท้ (Burman) เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่นิยมเคี้ยวหมากมากที่สุด สิ่งที่เป็นข้อพิสูจน์ได้ดีก็คือร้านขายหมากที่มีอยู่จำนวนมากในกรุงย่างกุ้งที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวพม่าแท้ เรียกได้ว่าแทบจะมีอยู่หัวซอยท้ายซอย หาได้ง่ายพอๆ กับร้านส้มตำบ้านเรา ขนาดของร้านจะค่อนข้างกะทัดรัด มีอุปกรณ์สำคัญคือโต๊ะเล็กๆ บนโต๊ะมีขวดและกระปุกเครื่องปรุงรสหลากหลายให้เลือกสรร สิ่งที่ขาดไม่ได้คือใบพลูสีเขียวสดวางเรียงเป็นชั้น เมื่อลูกค้ามาสั่งซื้อใบพลูจึงถูกนำมาวางเรียงทีละใบแล้วปรุงรสตามความต้องการของลูกค้า
สหายชาวพม่าพูดล้อเล่นในวงสนทนาว่า ถ้าพบเห็นคราบของเหลวสีแดงเข้มบนพื้นถนนหนทางในพม่า อย่าเพิ่งตกใจคิดว่าเป็นร่องรอยคราบเลือดจากการต่อสู้ระหว่างรัฐบาลกับชนกลุ่มน้อย เพราะจริงๆ แล้วเป็นร่องรอยจากน้ำหมากที่มีคนบ้วนทิ้งไว้นั่นเอง
อันที่จริงความนิยมกินหมากไม่ได้มีเฉพาะพม่าประเทศเดียว แต่ยังแพร่หลายในประเทศแถบเอเชียใต้ด้วยเช่นกัน เช่น อินเดีย ปากีสถาน บังคลาเทศ และตามหมู่เกาะในมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิก รวมไปถึงไทยในสมัยก่อนยุคจอมพล ป. ด้วยเช่นกัน ผู้สืบค้นวัฒนธรรมเคี้ยวหมากในพม่าคาดว่าวัฒนธรรมนี้ มีมาตั้งแต่สมัยก่อนยุคของอาณาจักรพุกามด้วยซ้ำ โดยนักโบราณคดี ได้ค้นพบหลักฐานเกี่ยวกับการเคี้ยวหมากในหลักศิลาจารึกแห่งหนึ่งซึ่งกล่าวว่า ในสมัยนั้นพระนางซอว์ได้นำข้าวเปลือกไปแลกกับผลหมากสำหรับพระสงฆ์ในวัดวาอาราม นอกจากนี้นักประวัติศาสตร์ยังพบหลักฐานอื่น ๆ จำนวนมากที่แสดงให้เห็นว่ามีการเคี้ยวหมากในยุคนั้น ยกตัวอย่างเช่น
การรวมกลุ่มกันเพื่อกินหมากในหมู่ผู้ฟ้องร้องดำเนินคดีที่พอใจกับคำตัดสินลงโทษจำเลย เป็นต้น
ในอดีต เมื่อมีเวลาว่างบรรดาคุณย่าคุณยายมักจะนั่งบนเสื่อทอพร้อมภาชนะบรรจุหมากและส่วนประกอบที่เรียกว่า “เชี่ยนหมาก” บรรจงนำส่วนประกอบต่าง ๆ มาใส่รวมกันบนใบพลู จากนั้นจึงใส่ปากเคี้ยวกันอย่างสบายอารมณ์ เป็นความสุขในยามว่างอย่างหนึ่งของผู้เฒ่าผู้แก่
มีอะไรในหมากหนึ่งคำ
หลังจากคุยเฟื่องเรื่องหมากกับเพื่อนชาวพม่าจนออกรส ผู้เขียนก็ชักอยากรู้ว่า หมากหนึ่งคำมีอะไรซ่อนอยู่ในนั้นบ้าง และรสชาติจะเป็นอย่างไร จึงลองเอ่ยปากขอหมากที่สหายปากแดงพกมาหนึ่งคำ เมื่อแกะห่อใบพลู ใบไม้รูปหัวใจ ซึ่งในภาษาพม่าเรียกว่า กวินยเวต ออกดูจึงพบว่า หมากหนึ่งคำ ไม่ได้มีเพียงผลหมากเท่านั้น แต่ยังมีส่วนผสมอย่างอื่นเพื่อเพิ่มรสชาติและกลิ่นหอมด้วย อาทิ สีเสียด เม็ดผักชียี่หร่า ชะเอมหั่นชิ้นเล็กๆ ปูนขาว ยาสูบ ซึ่งเครื่องปรุงต่างๆ เหล่านี้ถือเป็นพืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณทางยาทั้งสิ้น
ผลจากการพิสูจน์ส่วนประกอบของหมากด้วยวิธีวิทยาศาสตร์พบว่า ผลหมากประกอบไปด้วยสารอัลคาลอยด์หลายชนิด ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า “ติดหมาก” สารตัวนี้ถือว่าเป็นสารเสพติดชนิดอ่อนๆ ซึ่งกระตุ้นประสาทส่วนกลาง คล้ายๆ กับสารนิโคตินในบุหรี่ อย่างไรก็ตาม ผลหรือเมล็ดหมากก็มีสรรพคุณในทางการแพทย์อยู่ไม่น้อยไม่ว่าจะเป็นช่วยเพิ่มการเคลื่อนไหวของลำไส้เล็ก ช่วยย่อย ขับปัสสาวะ ขับพยาธิตัวตืด ลดอัตราการเต้นของหัวใจ ลดความดันโลหิต เป็นยาฝาดสมาน กระตุ้นการหลั่งน้ำลาย และกรดจากกระเพาะ เป็นต้น
หมากมีทั้งชนิดที่เรียกว่า “หมากหวาน” และ “หมากเมา” ฟังชื่อก็บ่งบอกอยู่แล้วว่าหมากหวานจะมีรสหวานและไม่ใส่ใบยาสูบ ซึ่งเป็นส่วนผสมสำคัญของ “หมากเมา” อาการเมาส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับคนที่เพิ่งทดลองกินหมากครั้งแรก ผู้เขียนได้พิสูจน์ด้วยตนเองมาแล้ว ! ตอนแรกก็ไม่เชื่อว่าเจ้าหมากคำใหญ่กว่าหัวแม่มือ หน่อยเดียวจะทำให้เกิดอาการ“เมาหมาก”ได้ง่าย ๆ วินาทีแรกหยิบหมากเข้าปากจมูกก็เริ่มรับรสกลิ่นฉุนของส่วนผสมข้างในใบพลู เมื่อเคี้ยวไปเรื่อย ๆ ความรู้สึกเผ็ดซ่าที่ลิ้นก็เพิ่มขึ้น หลังจากนั้นจึงเริ่มบ้วนน้ำหมากออกเป็นระยะ ๆ ห้านาทีผ่านไป ผู้เขียนเริ่มรับรู้ได้ถึงอาการมึนเมาในร่างกาย และเตือนตัวเองว่า คราวหน้าคราวหลังหากไม่เชื่อก็จงอย่าลบหลู่หมากคำเล็ก ๆ อีกเป็นอันขาด อย่างไรก็ตาม อาการเมาหมากอาจไม่ได้เกิดขึ้นกับนักกินหมากหัดใหม่ทุกคน เพราะบางคนอาจคอแข็งกว่าผู้เขียนซึ่งมีประสบการณ์ในแวดวงของมึนเมาไม่มากนัก
หมากและภูมิปัญญาของคนโบราณ
หมาก ไม่ได้เป็นเพียงแค่เป็นสารเสพติดอ่อนๆ สำหรับเคี้ยวเล่นในยามว่างเท่านั้น แต่ยังถือเป็นภูมิปัญญาของคนโบราณในยุคที่ยาสีฟันสมัยใหม่ยังไม่มีการผลิตคิดค้นขึ้น การเคี้ยวหมากจึงเป็นวิธีดูแลสุขภาพในช่องปากของคนในสมัยนั้น ซึ่งการเคี้ยวหมากถือเป็นการขัดฟันและเคลือบฟันและยังทำให้ลมปากหอมสดชื่นไม่มีกลิ่นปากอีกด้วย (ข้อเท็จจริงดังกล่าวผู้เขียนไม่ได้พิสูจน์จากสหายแต่อย่างใด)
แต่เดี๋ยวก่อน ! สรรพคุณของหมากยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ขณะที่สาวๆ สมัยนี้อาจสวยด้วยเครื่องสำอางภาษาฝรั่งนานาชนิด แต่สาวพม่าในสมัยก่อนล้วนแล้วแต่พึ่งทรัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่น ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าของสาวพม่าซึ่งเนียนสวยด้วยแป้งตะนาคา(เปลือกไม้จันทน์ฝนกับน้ำบนแผ่นหิน) ซึ่งยังคงนิยมกันอยู่ จนถึงปัจจุบัน ส่วนปากแดง ๆ ก็ได้มาจากหมากที่เคี้ยวกันอยู่นี่เอง
ขิ่นเมี้ยวชิด นักประพันธ์ชาวพม่าเล่าถึงชีวิตวัยเด็กในหนังสือ Colourful Myanmar ของเธอไว้ว่า ในสมัยที่เธอเป็นเด็ก เวลาสาว ๆ จะแต่งตัวออกงานแต่ละที พวกผู้ใหญ่จะให้เด็กสาวเคี้ยวหมากก่อนออกงานเพื่อทำให้ริมฝีปากมีสีแดงสวยงามดูโดดเด่น
ในสมัยก่อน คนพม่ามีวัฒนธรรมในการต้อนรับแขกผู้มาเยือนด้วยสิ่งของสามสิ่ง คือ ยาสูบ เมี่ยง และหมาก ซึ่งหากเป็นบ้านของผู้มีอันจะกินก็จะมีครบสามอย่างในภาชนะที่สวยงาม ส่วนบ้านที่ยากจนที่มักจะมีของไม่ครบทั้งสามอย่าง อย่างน้อยก็ต้องมีเชี่ยนหมากเตรียมไว้ติดบ้านเพื่อรับแขก
วัฒนธรรมการเคี้ยวหมากไม่เพียงแต่เป็นกิจกรรมยามว่างของชาวพม่าเท่านั้น แต่ยังก่อให้เกิดงานประดิษฐ์ที่ทรงคุณค่าสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน นั่นคือการทำภาชนะบรรจุหมากและส่วนประกอบ
ต่าง ๆ หรือที่เราเรียกว่า “เชี่ยนหมาก” หรือ “กูนโอ้ก” ในภาษาพม่า เชี่ยนหมากทำจากวัสดุแตกต่างกันไปตามแต่ฐานะของผู้ครอบครอง เชี่ยนหมากที่ใช้สำหรับกษัตริย์จะทำจากทองคำบริสุทธิ์ นอกจากนั้นก็จะเป็นไม้เคลือบแล็คเกอร์หรือทองแดง ลดหลั่นกันไป ในสมัยก่อนเชี่ยนหมากเป็นของสำคัญในเครื่องราชูปโภคของกษัตริย์พม่า และเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกลำดับชั้นของข้าราชการ หากกษัตริย์ทรงโปรดปรานข้าราชบริพารคนใดก็จะมอบเชี่ยนหมากที่มีลวดลายสวยงามให้แก่ผู้นั้น ยิ่งมีลวดลายสวยงามมากเท่าไหร่ก็แสดงว่าทรงโปรดปรานผู้นั้นมากเท่านั้น
หมากกับความเสน่หา
ในสมัยก่อนการหยิบยื่นหมากให้แก่กันแสดงถึงความพึงพอใจ ส่วนใหญ่จะเป็นการเกี้ยวพาราสีกันระหว่างหนุ่มสาว หากหญิงสาวถูกใจชายหนุ่มคนใดก็จะบรรจงจีบหมากอย่างประณีตมอบให้แก่ชายผู้นั้นคล้ายจะบอกเป็นนัยว่ามีใจชอบพออยู่ กระนั้นการมอบหมากสมัยนั้นใช่ว่าหญิงสาวจะเที่ยวแจกชายหนุ่มที่ผ่านไปมาอย่างโจ่งแจ้งตามอำเภอใจ บ้านของคนในสมัยก่อนจะมีสถานที่สำหรับให้หนุ่มสาวพูดคุยกันโดยเฉพาะ ไม่ใช่อื่นไกลแต่เป็นห้องโถงในบ้านนั่นแหละ
หนุ่มๆ เมื่อเสร็จจากภาระหน้าที่การงานแล้วก็ได้เวลาออกไปคุยกับสาว ๆ ที่บ้าน โดยจะพากันไป เป็นกลุ่ม ไม่มีการฉายเดี่ยวแต่อย่างใด แต่ถ้าหนุ่มคนใดเกิดเข้าตากรรมการ สาวเจ้าก็จะบรรจงจีบหมากส่งให้กับชายหนุ่มผู้โชคดีคนนั้น เป็นการส่งสัญญาณให้พรรคพวกที่มาด้วยกันรู้ว่าหมดสิทธิ์แล้วและหลบไปบ้านอื่นแทน
มีเรื่องตลกเล่าว่า ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 พ่อค้าชาวอังกฤษคนหนึ่งนำของกำนัลมาเข้าเฝ้านางสนม เขาได้รับมอบหมากเป็นการขอบคุณ หลังจากรับหมากที่นางสนมคนนั้นหยิบออกมาจากเชี่ยนหมากแล้วเขากลับนำไปเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกง การกระทำดังกล่าวจึงเป็นที่ขบขันของพวกนางกำนัลกันที่ได้เห็นฝรั่งไม่รู้ธรรมเนียมและความหมายของการมอบหมากของคนพม่า
คำสั่งห้ามขายหมากต้อนรับปีท่องเที่ยวพม่า
วัฒนธรรมการเคี้ยวหมากของชาวพม่าจากยุคโบราณดำเนินมาจนถึงสมัยปัจจุบัน เรียกได้ว่าเป็นวิถีชีวิตส่วนหนึ่งชนิดที่ขาดไม่ได้ สมัยก่อนจะเตรียมเครื่องหมากและจีบหมากสำหรับเคี้ยวเองที่บ้าน จากนั้นเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป วิถีชีวิตคนเริ่มทำงานนอกบ้านมากขึ้น การที่จะพกเชี่ยนหมากติดตัวไปด้วย ทุกที่หรือห่อมากินเองในที่ทำงานก็คงไม่สะดวก ครั้นจะให้เลิกไปก็ไม่สามารถทำได้ ประกอบกับคนพม่าเคี้ยวหมากได้ทั้งวันมีเวลากำหนด แผงขายหมากขนาดย่อม มีทั้งที่ห่อไว้แล้วและห่อให้เดี๋ยวนั้น (อารมณ์เดียวกับร้านอาหารจานด่วน แต่นี่เป็น “หมากด่วน”) เราจึงพบ “ร้านหมากด่วน” อยู่ทุกตารางเมตรในเมืองต่าง ๆ ใครอยากจะเคี้ยวเมื่อไหร่ แค่เหลียวซ้ายแลขวาก็เจอ
ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2538 รัฐบาลพม่าได้ออกคำสั่งสะเทือน วงการหมากในเมืองหลวงเป็นอย่างมาก โดยห้ามจำหน่ายหมากในกรุงย่างกุ้งเพื่อต้อนรับปีการท่องเที่ยวพม่าหรือ “Visit Burma Year in 1996” เนื่องจาก “การบ้วนน้ำหมากลงบนพื้นนั้นเป็นสิ่งที่ ไม่น่าพิสมัยในสายตานักท่องเที่ยว จึงขอสั่งให้งดจำหน่ายในเขตเมืองหลวงเพื่อรักษาภาพพจน์ที่ดีของประเทศ หากพบเห็นการซื้อขายจะดำเนินการปรับทันที” ด้วยเหตุนี้ แผงหมากที่เคยมีเกลื่อนเมืองมานมนานจึงกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมายไปในบัดดล แต่เนื่องจากหมากมีฤทธิ์เป็นสารเสพติดอ่อน ๆ หากใครเคี้ยวเป็นกิจวัตรแล้วก็ยากที่จะหยุดยั้งได้ คำสั่งห้ามดังกล่าวจึงทำให้พ่อค้าขายหมากต้องลักลอบดำเนินธุรกิจแบบใต้ดิน และแน่นอนว่าราคาของหมากต้องสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว
และผลที่ตามมาก็คือ ปริมาณหมากที่เคี้ยวในแต่ละวันน้อยลง เพราะคนซื้อไม่มีเงินมากพอ เช่น คนที่อาจจะเคยเคี้ยววันละ 30-40 อันก็ลดลงมาเหลือเพียง 10 อัน เพราะราคาแพง
ชาวพม่าคนหนึ่งแสดงความคิดเห็นกับเรื่องดังกล่าวว่า เขารู้สึกเสียใจที่นักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศไม่อยากเห็นภาพถนน ที่เต็มไปด้วยคราบน้ำหมากสีแดง แต่สิ่งเหล่านี้ก็เป็นวัฒนธรรม ของชาวพม่ามาแต่นมนานแล้ว ปู่ของปู่ของปู่มาจนถึงพ่อและตัวเขาเองก็ปฏิบัติเช่นนี้มาโดยที่ไม่มีปัญหาอะไร ความสุขที่มีอยู่เพียงหยิบมือของคนในประเทศนี้ก็ถูกห้ามไปเสียอย่างหนึ่ง
บทความชิ้นหนึ่งในหนังสือพิมพ์ Asiaweek กล่าวเสียดสี นโยบายห้ามขายหมากดังกล่าวได้อย่างเจ็บแสบว่า ถ้ารัฐบาลพม่าต้องการที่จะสร้างภาพพจน์ของประเทศให้ดีขึ้นควรจะใช้วิธีอื่นมากกว่า อย่างเช่น ปล่อยตัวนางอองซานซูจีเป็นไง ?!
ผู้เขียนไม่แน่ใจว่า นโยบายดังกล่าวเลิกบังคับใช้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่จากการเดินทางเข้าไปในกรุงย่างกุ้งเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ผู้เขียนยังคงได้พบร้านขายหมากอยู่ดาษดื่นและยังเห็นคนเคี้ยวหมากกันอย่างน่าชื่นตาบาน จึงคาดว่านโยบายดังกล่าวน่าจะเลิกบังคับใช้ไปแล้ว
............................
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป เหล่าสหายผู้มาเยือนขอตัวกลับก่อน คงเหลือแต่เพียงผู้เขียนที่ยังคงนั่งมึนเพราะฤทธิ์หมากต่อไป ใครที่ไม่เคยเคี้ยวหมากแต่อยากลองดูก็ขอเตือนให้ระวังอย่าขับรถหลังเคี้ยวหมาก เพื่อป้องกันอุบัติเหตุและปฏิบัติตามนโยบายเมาไม่ขับ
สุดท้ายนี้ขอบอกว่า หมาก..ไม่มีคำเตือนบนฉลาก แต่โปรดฟังคำเตือนของเพื่อน ๆ ก่อนหยิบเข้าปาก