ชาวพม่าเชื้อสายอินเดีย : ความเป็นอื่นที่ถูกลืม

โดย เสมา ณ ท่าวัง

ท่ามกลางการต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิและเสรีภาพทางการเมืองที่ดำเนินมายาวนานกว่าครึ่งศตวรรษในสหภาพพม่า คนทั่วโลกอาจรู้จักการต่อสู้เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยของนางอองซานซูจี ผู้นำพรรคเอ็นแอลดี และการต่อสู้เพื่อเรียกร้องเอกราชของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ แต่ในอีกมุมหนึ่งบนผืนแผ่นดินแห่งนี้ยังมีกลุ่มชนที่ต้องการสิทธิและเสรีภาพไม่แตกต่างจากชนชาติพม่าและกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ เช่นกัน ทว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยมีใครหยิบยกปัญหาของคนกลุ่มนี้มาพูดถึงอย่างจริงจัง เพราะพวกเขามักถูกมองว่าเป็น “คนอื่น” ในขบวนการต่อสู้เหล่านี้อยู่เสมอ พวกเขาคือชาวพม่าเชื้อสายอินเดีย กลุ่มประชากรที่เจ้าอาณานิคมอังกฤษทิ้งไว้ให้พร้อมกับปัญหาเรื้อรังมากมายในพม่า


ย้อนกลับไปในยุคอาณานิคม ประเทศพม่าถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของเครือจักรภพอังกฤษและถูกลดทอนความสำคัญเป็นเพียงเขตการปกครองหนึ่งของอินเดียเท่านั้น อังกฤษได้อพยพคนอินเดียจำนวนหนึ่งเข้ามาอยู่ในพม่าเพื่อให้ช่วยขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจและควบคุมการบริหารงานราชการ ชุมชนชาวอินเดียในพม่าจึงเริ่มถือกำเนิดขึ้นในประเทศพม่าในช่วงเวลานี้โดยมีสถานะเป็นคนในบังคับของอาณานิคมอังกฤษเช่นเดียวกับคนพม่า อาชีพของชาวอินเดียในพม่ายุคอาณานิคมจะค่อนข้างหลากหลายและมีฐานะทางสังคมและเศรษฐกิจที่ดีกว่าประชาชนชาวพม่า อาทิ เป็นทหารในกองทัพอังกฤษ เป็นนายทุนเงินกู้ หรือเป็นนายทุนที่ดิน คือ ลงทุนซื้อที่ดินจำนวนมากเพื่อผลิตข้าวส่งออก ทำให้คนกลุ่มนี้สามารถถือครองที่นาเป็นจำนวนมากและเป็นกลุ่มคนที่มีส่วนช่วยให้พม่าส่งออกข้าวได้เป็นจำนวนมากที่สุดในเอเชีย

มรสุมแห่งการเปลี่ยนแปลงเริ่มพัดกระหน่ำเข้าสู่ชุมชนชาวอินเดียในพม่านับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา ญี่ปุ่นต้องการเคลื่อนทัพเข้าสู่พม่าเพื่อใช้เป็นเส้นทางโจมตีอินเดียซึ่งในเวลานั้นอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษอีกทอดหนึ่ง ญี่ปุ่นให้คำสัญญาว่าจะให้ “เอกราช” กับพม่า หากชาวพม่าช่วยญี่ปุ่นขับไล่อังกฤษออกจากพม่าสำเร็จ บรรดาเด็กหนุ่มชาวพม่าจำนวนมากจึงเข้าร่วมศึกครั้งนี้ สงครามโลกในระยะเริ่มต้นจึงเป็นเสมือนโรงเรียนฝึกหัดการกู้ชาติให้กับขบวนการชาตินิยมพม่าเป็นอย่างดี เพราะหลังจากญี่ปุ่น “หักหลัง” ไม่ปฏิบัติตามสัญญา ชาวพม่าจึงหันกลับไปช่วยเหลืออังกฤษขับไล่ญี่ปุ่นออกไปจากพม่าและมุ่งหวังขอเอกราชจากอังกฤษเป็นการตอบแทน

ในช่วงเวลาดังกล่าว ชาวอินเดียได้ถูกขับไล่ให้ออกไปจากประเทศพม่า เนื่องจากถูกมองว่าเป็นคนในบังคับของอังกฤษและเป็นสัญลักษณ์ของการกดขี่ข่มเหงจากเจ้าอาณานิคม ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่น่า พึงปรารถนาของนักชาตินิยมพม่าที่กำลังเริ่มมีบทบาททางการเมือง มากยิ่งขึ้นในขณะนั้น นอกจากนี้ยังถูกมองว่าเป็นนายทุนผู้ขูดรีดกำไร จากดอกเบี้ยเงินกู้และค่าเช่าที่นาจากประชาชนพม่ามาโดยตลอด

แม้ว่าหลังสงครามสิ้นสุดลงพร้อมกับการประกาศเอกราชของพม่า ชาวอินเดียสามารถกลับเข้ามาพำนักอยู่ในพม่าและได้รับการยอมรับว่าเป็นประชาชนชาวพม่ามากขึ้น หากแต่มาตรการ “รุกไล่” ชาวพม่าเชื้อสายอินเดียก็ยังคงดำเนินอยู่ต่อไป โดยเฉพาะในยุคของนายพลเนวิน เผด็จการทหารซึ่งปกครองพม่ายาวนานถึง 26 ปี รัฐบาลชุดนี้ได้ประกาศยึดที่ดินและทรัพย์สินต่างๆ ของเอกชนให้เป็นของรัฐ (nationalization) โดยมีเป้าหมายหลักที่ชาวพม่าเชื้อสายอินเดียซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ถือครองที่ดินมากที่สุด

นอกจากนี้ มาตรการทางเศรษฐกิจซึ่งรัฐบาลเนวินนำมาใช้เพื่อควบคุมกลุ่มชาติพันธุ์ได้ส่งผลกระทบทางอ้อมต่อชาวพม่าเชื้อสายอินเดียเช่นเดียวกัน อาทิ มาตรการยกเลิกเงินจั๊ตเมื่อปี พ.ศ.2530 รัฐบาลสั่งยกเลิกธนบัตรใบละ 25 ,35 และ 75 เพื่อทำลายเศรษฐกิจของกลุ่มชาติพันธุ์ (อ้างอิงจากงานของสมโชค สวัสดิรักษ์ เรื่อง “ความสัมพันธ์ไทย-พม่า-กะเหรี่ยง”) และการค้า ในตลาดมืด โดยรัฐบาลมีความเชื่อว่า หากยกเลิกค่าเงินดังกล่าว แล้วจะสามารถทำให้เงินหมดราคาไปในทันที แต่สถานการณ์กลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆไม่นิยมเก็บเงินจั๊ตไว้แต่แลกเปลี่ยนเป็นวัตถุสิ่งของมีค่าอื่นๆ มากกว่า ผู้ที่ได้รับผลกระทบจึงกลายเป็นชาวพม่าและนายทุนในระบบเศรษฐกิจนั่นก็คือชาวพม่าเชื้อสายอินเดียนั่นเอง

ในปัจจุบัน แม้ว่ารูปแบบการยึดทรัพย์และการกีดกันโดยใช้มาตรการทางด้านเศรษฐกิจต่างๆ อาจไม่ปรากฏภาพเด่นชัด เหมือนในอดีต แต่ชาวพม่าเชื้อสายอินเดียก็ยังคงถูกเลือกปฏิบัติ ในฐานะของ “ความเป็นอื่น” จากรัฐและสังคมพม่าอยู่อีกเช่นเดิม ชาวพม่าเชื้อสายอินเดียคนหนึ่งให้ข้อมูลว่า กฎหมายของพม่าในปัจจุบันยังคงไม่เปิดโอกาสให้พวกตนประกอบอาชีพรับราชการได้ โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศ ซึ่งนั่นก็ย่อมหมายถึงการรับราชการเกือบทุกประเภท ดังนั้นทุกวันนี้ สองฟากฝั่งถนนภายในตัวเมืองย่างกุ้งโดยเฉพาะย่านสุเลพะยาหรือเจดีย์สุเลจึงมีชาวพม่าเชื้อสายอินเดียจำนวนมากดำรงชีพอยู่กับการค้าขายทั้งที่ถูกกฎหมายและธุรกิจมืด นับตั้งแต่การวางของขายบนริมทางเท้า การเปิดร้านอาหารขนาดใหญ่ไปจนถึงการเป็นผู้นำในธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตราอย่างผิดกฎหมาย ดังนั้น หากกล่าวในภาษาทางการเมืองแล้ว คนกลุ่มนี้จึงกลายเป็นทั้งศัตรูของอุดมการณ์ชาตินิยมและกากเดนทางประวัติศาสตร์ของอุดมการณ์สังคมนิยมภายในเวลาเดียวกัน

อาจกล่าวได้ว่า ปัญหาของชาวพม่าเชื้อสายอินเดียเป็นปัญหาที่คนภายนอก “มองไม่เห็น” ว่าเป็นปัญหา เพราะในสายตา ของคนพม่าทั่วไปก็มักจะมองคนกลุ่มนี้ว่ามีฐานะดีและสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ และหากมองผ่านนโยบายซึ่งรัฐบาลทหารพม่ามักจะประกาศให้โลกภายนอกรับรู้ว่า ประเทศพม่าเปิดโอกาสให้คนหลากหลายเชื้อชาติสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ คนกลุ่มนี้ ก็ดูจะไม่น่ามีปัญหาอะไร เพราะหากคนต่างถิ่นเดินทางไปท่องเที่ยวกรุงย่างกุ้งก็ยังสามารถพบเห็นวัฒนธรรมประเพณีที่แสดงให้เห็นถึง “ความเป็นฮินดู” ปรากฏอยู่ทั่วไป อาทิ การนุ่งห่ม ส่าหรี โบสถ์ของเทพเจ้าต่างๆ ตามความเชื่อของชาวฮินดู เช่น เจ้าแม่กาลี เป็นต้น

การมองภาพชาวพม่าเชื้อสายอินเดียดังกล่าวกลับกลายเป็นการ “ปิดกั้น/กีดกัน” การรับรู้ความทุกข์ยากด้านอื่นออกไป โดยเฉพาะ “การปราศจากความมีตัวตนในทางการเมือง” ซึ่งกล่าวได้ว่า หากชาวพม่าถูกกีดกันสิทธิทางการเมืองมากเท่าใด คนพม่าเชื้อสายอินเดียก็จะถูกกีดกันมากเป็นสองเท่า โดยเฉพาะสิทธิที่พลเมืองควรจะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมจากรัฐ ทั้งนี้ยังมิต้องพูดถึงความคึกคักทางการเมืองในปัจจุบันซึ่งกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ที่เป็นพันธมิตรกับรัฐบาลต่างได้รับเชิญเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ชาวพม่า เชื้อสายอินเดียก็ยังคงไม่ได้รับความสำคัญอย่างเพียงพอในการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างอนาคตของประเทศเหมือนดังเช่นกลุ่มอื่น ๆ

สมมติฐานที่หลายคนมองว่าการมีฐานะทางเศรษฐกิจที่ดีหรือมีความสามารถในการหาเลี้ยงชีพอย่างอิ่มท้องจะนำมาซึ่งความสุขในทุกมิติของการดำเนินชีวิตจึงอาจเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาที่เกิดขึ้นกับชาวพม่าเชื้อสายอินเดีย เพราะไม่เพียงพวกเขา จะขาดโอกาสทางการเมือง แต่พวกเขายังคงขาดโอกาสในการประกอบอาชีพที่สังคมโดยทั่วไปถือว่ามีเกียรติ ธุรกิจที่พวกเขาดำเนินอยู่ทุกวันนี้ส่วนใหญ่จึงล้วนเป็นงานที่อยู่ในธุรกิจมืดซึ่งถูกขูดรีดจากเจ้าหน้าที่รัฐอยู่ตลอดเวลา

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ชาวพม่าเชื้อสายอินเดียจึงมิได้แตกต่างไปจากกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ที่ตกอยู่ในวังวนของการกีดกันทางเชื้อชาติและวาทกรรมของการเป็น “พม่าแท้” (ชุดความรู้หนึ่งที่นักชาตินิยมสร้างขึ้นเพื่อสร้างความรู้สึกร่วมว่าเป็นพวกเดียวกันอันเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างเอกลักษณ์แห่งชาติของประเทศพม่า)ซึ่งนักชาตินิยมและสังคมพม่าผลิตขึ้นตั้งแต่สมัยอาณานิคม

โดยพวกเขาถูกจัดวางในฐานะของความเป็นอื่นหรือศัตรูแห่งชาติในคราบนายทุนของอดีตเจ้าอาณานิคมเดิมตลอดกาล ไม่สามารถ กล่าวอ้างความชอบธรรมทางประวัติศาสตร์ใดๆ เหนือดินแดนแห่งนี้ได้ หรืออีกนัยหนึ่งหากถามว่าพวกเขาเป็นสมาชิกกลุ่มของสังคมพม่าหรือไม่นั้น ก็สามารถตอบได้ทันทีว่า “เป็น” หากแต่ถามต่อไปอีกว่าพวกเขาได้รับ “การตรวจนับหรือตีตรา” ว่าเป็นพลเมืองของรัฐดังเช่นชาวพม่าทั่วไปหรือไม่ คำตอบก็คงจะมีแค่เพียงความว่างเปล่าเท่านั้น

การเป็นชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่ในเมืองจึงเป็นเสมือนการตกอยู่ในสถานภาพของคนชายขอบภายในศูนย์กลางรัฐ ความทุกข์ยากของพวกเขาเหล่านี้จึงกลายเป็นสิ่งที่น่าขบคิดสำหรับการพัฒนาประชาธิปไตยในพม่าต่อไปในอนาคตว่า พวกเขาจะได้รับการปฏิบัติเช่นใด หรือแม้กระทั่งการตั้งคำถามกับผู้ที่ต่อสู้ในทางการเมืองกับรัฐชาติพม่าว่า ถึงเวลาหรือยังที่พวกเขาจะถูกนับรวมว่าเป็นส่วนหนึ่งของ “แนวร่วมที่ถูกลืม”

การเป็นนายทุนในอดีตของบรรพบุรุษพวกเขามิได้เป็นความชั่วร้ายจากพวกเขาเอง เพราะชนทุกกลุ่มในพม่าก็ล้วนแต่ เป็นสิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์กันอย่างถ้วนหน้า อนาคตจึงเป็น สิ่งที่ควรจะสร้างร่วมกัน หากต้องการลบล้างความเจ็บช้ำในอดีตให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินพุกามที่เคยมีอดีตอันรุ่งเรืองแห่งนี้