ปลายปี พ.ศ. 2548 ณ ชายแดนรัฐฉาน ประเทศพม่ากับรุ่ยลี่ มณฑลยูนนาน ประเทศจีน ผู้นำหมู่บ้านคนหนึ่งกำลังถูกตั้งคำถามจากคนต่างถิ่น “ในป่าใกล้หมู่บ้านของคุณยังมีสัตว์ป่าเยอะไหม” เขานิ่งคิดก่อนจะตอบว่า“ผมคิดว่าพวกคุณที่อยู่ในเมืองน่าจะมีโอกาสได้เห็นสัตว์ป่ามากกว่าพวกเรานะ เพราะพวกคุณยังมีสวนสัตว์ แต่ป่าของพวกเราว่างเปล่า”
“ป่าที่ว่างเปล่า” คำพูดนี้อาจดูเกินจริงไปหน่อย แต่หากใครได้เห็นจำนวนท่อนซุงที่ถูกขนใส่รถบรรทุกมุ่งหน้าไปยังชายแดนจีนในแต่ละวันและจำนวนสัตว์ป่าที่ถูกส่งไปขายที่ปลายทางเดียวกันแล้ว คำพูดนี้คงเป็นความจริงที่พิสูจน์ได้ในอนาคตอันใกล้อย่างแน่นอน
..................................
“ผมเดินทางจากมัณฑะเลย์ไปยังหมู่เจ้ (ระยะทาง463.3 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางโดยรถยนต์ประมาณ 12 ชั่วโมง) ระหว่างทางพบรถบรรทุกท่อนซุงขนาดใหญ่อย่างน้อย 40 คัน ผมรู้สึกไม่ค่อยดีกับสิ่งที่ได้เห็นเท่าไหร่นัก” มินจ่อโซ นักข่าวจากย่างกุ้งกล่าวถึงการเดินทางไปยังเมืองชายแดนพม่า-จีน

การโยกย้ายพื้นที่ตัดไม้เข้ามาในเขตรัฐคะฉิ่นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกได้ว่า การค้าสัตว์ป่ากำลังจะเกิดขึ้นในเขตนี้ตามไปด้วย คนขับรถบรรทุกและรถประจำทางในหมู่เจ้หลายคนเปิดเผยว่าพวกเขาเคยบรรทุกสัตว์ป่าเพื่อนำไปขายที่ประเทศจีน
สถาบันพฤกษศาสตร์เขตร้อนสิบสองปันนา (Xihuangbanna Tropical Botanical Garden Chinese Academy of Science) สำรวจพบว่า มีสัตว์ถึง 900 ชนิดที่ถูกส่งออกจากประเทศพม่าไปยังมณฑลยูนนาน มีตั้งแต่สัตว์ขนาดเล็กอย่าง เต่า งู และกิ้งก่า ไปจนถึงสัตว์ขนาดใหญ่ เช่น เสือโคร่ง เสือดาว และหมี จากการสำรวจระหว่างปี พ.ศ. 2539-2542 พบว่า ในแต่ละปีมีการส่งออกงูจากพม่าไปยังเมืองรุ่ยลี่ ประเทศจีน ถึง 500 ตัน เพื่อนำไปประกอบอาหารและผลิตยาจีนแผนโบราณ
ตัวเลขของปริมาณการค้าสัตว์ป่าระหว่างประเทศเป็นสิ่งที่ ยังไม่ได้รับการยืนยัน กลุ่มเฝ้าระวังการค้าสัตว์ป่า (TRAFFIC) ได้คาดการณ์ตัวเลขการค้าสัตว์ป่าและไม้สักไว้ที่หนึ่งหมื่นห้าพันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่กลุ่มอนุรักษ์หลายกลุ่มคาดว่าตัวเลขการค้าดังกล่าวในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้น่าจะอยู่ที่ ประมาณ 8-10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี
ธุรกิจค้าสัตว์ป่าระหว่างพม่าและจีนเกิดขึ้นเมื่อหลายปีมาแล้วและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากมีช่องว่างบริเวณแนวตะเข็บชายแดน ประกอบกับความต้องการที่ไม่สิ้นสุดของตลาดในประเทศจีนซึ่งประชาชนนิยมบริโภคและใช้สัตว์ป่าเป็น
ส่วนประกอบในการทำยารักษาโรค
อย่างไรก็ตาม ประชาชนในประเทศจีนก็มิได้เพิกเฉยต่อปัญหาการค้าสัตว์ป่าและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมแต่อย่างใด กลุ่มนักวิชาการจากสถาบันพฤกษศาสตร์เขตร้อนสิบสองปันนาได้กล่าวถึงปัญหาที่น่ากังวลใจว่า “การนำเข้าสัตว์ป่าจากประเทศเพื่อนบ้านสู่มณฑลยูนนานของจีนจะก่อให้เกิดปัญหาการเข้ามาของสัตว์สายพันธุ์จากต่างถิ่น ซึ่งอาจเป็นพาหะนำโรคและทำให้เกิดโรคระบาดในมณฑลยูนนานได้ ซึ่งจะเป็นการทำลายสัตว์ท้องถิ่นสายพันธุ์ดั้งเดิมและส่งผลกระทบถึงระบบนิเวศน์วิทยาในประเทศจีนได้”
ความยากจน ปัจจัยผลักดันผู้ล่า
“ความยากจนเป็นแรงผลักดันให้ชาวบ้านต้องหันไปพึ่งพารายได้จากการขายทรัพยากรธรรมชาติจากป่าไม้มากขึ้น สำหรับคนจนแล้ว การทำลายธรรมชาติเป็นสิ่งที่พวกเขาทำเพื่อความอยู่รอดเท่านั้น พวกเขามีความผิดด้วยหรือ?” จี วิน ครูจากรัฐคะฉิ่นกล่าว
พระสงฆ์รูปหนึ่งจากหมู่บ้านจ่าเยบริเวณเทือกเขายะไข่ ประเทศพม่า แสดงความคิดเห็นว่า ปัจจุบัน ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านในหมู่บ้านไม่ได้เรียบง่ายเหมือนเมื่อก่อน
“พวกเขาไม่ใช่ชาวบ้านที่จริงใจต่อผืนป่าอีกต่อไปแล้ว เมื่อก่อนชาวบ้านเข้าป่าก็เพื่อไปหาฟืนเท่านั้น จะไม่ทำอันตรายสัตว์ป่า ไม่ว่าสัตว์เล็กหรือสัตว์ใหญ่ก็ตาม แต่ตอนนี้ เมื่อเข้าป่าไปแล้ว พวกเขาจะไม่ยอมละทิ้งสิ่งที่สามารถนำมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินทองได้ไว้กับผืนป่าอีกแล้ว พวกเขาทำเพื่อเงิน” ท่านกล่าวด้วยท่าทางที่จริงจัง
ด้วยเหตุนี้ การล่าสัตว์ที่โหดเหี้ยมทารุณจึงเกิดขึ้นในพื้นที่ชนบทบางแห่งในประเทศพม่า อย่างเช่น บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำอิระวดีมีการล่าเต่าโดยใช้วิธีการจุดไฟเผาทุ่งอ้ออย่างน้อย 1 เอเคอร์ เพื่อให้เต่าหนีออกมาจากที่อยู่โดยไม่ต้องเปลืองแรงในการจับ
ในระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ถนนที่เชื่อมต่อระหว่างประเทศจีนกับพม่าได้ถูกปรับปรุงให้มีสภาพดีขึ้น โดยเฉพาะเส้นทาง สายหลักจากมัณฑะเลย์ ล่าเสี้ยวและหมู่เจ้ บริเวณชายแดนพม่า-จีน ส่งผลให้ทางหลวงที่สะดวกสบายได้กลายมาเป็นเส้นทางการค้าสายหลักระหว่างพม่าและมณฑลยูนนานในปัจจุบัน
การคมนาคมและการสื่อสารที่สะดวกขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อประชาชนและสัตว์เป็นอย่างมาก ปัจจุบันชาวบ้านที่ยากจน และนักล่าสัตว์ได้พัฒนาเล่ห์เหลี่ยมในการค้าขายมากขึ้น อาทิ พวกเขา เรียนรู้ในเวลาไม่นานว่าตัวกินมดจะขายได้ราคาดีในจีน และพวกเขาก็จะออกตามล่าสัตว์ชนิดนี้ ทำให้ปัจจุบันตัวกินมดและเสือได้สูญพันธุ์ไปจากพื้นที่ป่าส่วนใหญ่ของประเทศพม่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนสัตว์จำพวกเต่าและนากก็กำลังจะค่อย ๆ สูญหายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน
ครั้งหนึ่ง เคยมีผู้สันนิษฐานไว้ว่า ประเทศพม่ามีประชากรเสือมากเป็นอันดับสองรองจากประเทศอินเดีย แต่จากรายงานของสมาคมอนุรักษ์สัตว์ป่า (Wildlife Conservation Society) ระบุว่า ปัจจุบันประเทศพม่ามีประชากรเสือหลงเหลืออยู่ไม่เกินหนึ่งร้อยตัวเท่านั้น
นักล่าสัตว์ชาวลีซูเปิดเผยว่า ซากเสือที่ตายแล้วสามารถทำรายได้ถึงประมาณตัวละ 1,500,000 จั๊ต (1,500 ดอลลาร์สหรัฐ)
ยาวี นักล่าสัตว์วัย 45 ปี ผู้ซึ่งเคยฆ่าเสือมาแล้วกว่า 20 ตัว จากหมู่บ้านแห่งหนึ่งใกล้กับเมืองล่าเสี้ยวในเขตรัฐฉานภาคเหนือ บอกเล่าถึงวิธีการค้าขายของเขาว่า
“คุณไม่จำเป็นต้องเอาไปขายให้เสียเวลา เพราะเมื่อคุณฆ่าเสือเสร็จเรียบร้อยเพียงไม่นานนัก พ่อค้าจะมาหาคุณเองพร้อมกับเงินก้อนโต”
เมียววิน พ่อค้าจากลุ่มน้ำอิระวดีกล่าวถึงต้นตอของปัญหาการล่าสัตว์ป่าในพม่าจนใกล้จะสูญพันธุ์ว่า
“เมื่อพืชและสัตว์ชนิดใดเป็นที่ต้องการในประเทศจีน มันก็มักจะสูญหายไปจากที่นี่ในอีกไม่ช้า เมื่อก่อนนี้ที่ปากแม่น้ำอิระวดีมีเต่าน้ำจืดอยู่มากมาย แต่ตอนนี้ลูกสาววัย 10 ขวบของผมยังไม่เคยเห็นเต่าเป็น ๆ แม้แต่ครั้งเดียว”
แม้หลายคนจะมองเห็นว่าความยากจนข้นแค้นของประชาชนในพม่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สัตว์ป่าและทรัพยากรธรรมชาติลดน้อยลง แต่ทว่า จีเลียน ครูสอนภาษาอังกฤษในย่างกุ้งซึ่งรู้สึกสลดใจทุกครั้งที่ได้เห็นภาพพ่อค้านำนกพันธุ์หายากมาขายตามถนนหนทางในกรุงย่างกุ้งกลับมองต่างมุมออกไป
“ฉันคิดว่ามันอาจจะมีปัจจัยอื่น ๆ อีก นอกจากความยากจน ฉันคิดว่านายพรานทั้งหลายน่าจะสามารถหาอาชีพอื่นทำได้นอกจากการล่าสัตว์”
พ่อค้านกใกล้สูญพันธุ์คนหนึ่งตั้งคำถามกับคนที่ไม่พอใจในอาชีพของพวกเขาว่า
“คนในเมืองมีเงินมากพอที่จะสงสารนกไม่อยากให้อยู่ในกรงเหล็ก แล้วใครบ้างจะสงสารพวกเรา”
ด้วยเหตุนี้ ข้อถกเถียงที่ว่า “ระหว่างคนกับสิ่งแวดล้อมสิ่งใดสำคัญกว่า” และ “คนจนหรือคนรวย ใครควรรับผิดชอบปัญหา” จึงยังไม่สามารถหาข้อยุติได้
การลักลอบค้าสัตว์ป่า
สถานีโทรทัศน์ส่วนกลางของจีนหรือ CCTV รายงานว่า นกเค้าแมวเป็นสัตว์อีกประเภทหนึ่งที่นำเข้าจากพม่ามายังมณฑลยูนนาน มีราคาตัวละ 1.6 หยวน (0.20 ดอลลาร์สหรัฐ) แต่ราคาจะพุ่งขึ้นไปถึง 1,500 หยวน (180 ดอลลาร์สหรัฐ) ในพื้นที่หมู่เกาะทางตอนใต้และตะวันออกของประเทศจีน จากกำไรที่งดงามเช่นนี้ ทำให้พ่อค้าและผู้ลักลอบนำเข้าสัตว์ป่ามีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว
ติ่นทาน นักวิชาการจากกองทุนสัตว์ป่าโลกประจำ ประเทศไทย (WWF Thailand) ซึ่งทำการสำรวจเรื่องการค้าสัตว์ป่า ตามแนวชายแดนประเทศพม่ากล่าวว่า “พ่อค้าชาวพม่าบางรายไม่ได้ค้าขายเฉพาะสินค้าทั่วไปเท่านั้น แต่พวกเขาจะทำการขนส่งและค้าขายทุกอย่างที่ได้กำไร เพราะฉะนั้นบางครั้งพวกเขาก็จะค้าสัตว์ป่าด้วย”
พ่อค้าสัตว์ป่าส่วนใหญ่จะไม่ชอบกล่าวถึงขั้นตอนการขนส่งสินค้ามาสู่ตลาดเท่าไหร่นัก และเมื่อถูกถามว่าใช้ยาสลบปริมาณเท่าไหร่ในการล่าหมีตัวหนึ่ง พ่อค้าสัตว์ป่าคนหนึ่งให้คำตอบว่า “ผมจะใช้ยาสลบจนกว่ามันจะไม่ขยับตัว” เรื่องที่น่าเศร้าใจก็คือ สัตว์จำนวนมากเสียชีวิตในกรงขังระหว่างการขนย้าย
ผู้ลักลอบค้าสัตว์ป่าจะใช้ทั้งวิธีการแบบธรรมดาไปจนถึงการสร้างช่องทางที่ซับซ้อนเพื่อให้สามารถผ่านจุดตรวจไปได้
พ่อค้าสัตว์ป่าคนหนึ่งบอกว่า เขาเคยขนซากหมีที่ตายแล้วไปหมู่เจ้ โดยซ่อนไว้ในเสื้อคลุม เขากล่าวว่า “ถึงจะใส่เสื้อคลุมตัวยาวก็ไม่มีใครสงสัยเพราะอากาศหนาว และเจ้าหน้าที่ก็ไม่ค่อยมาตรวจร่างกายคนเดินทางซักเท่าไหร่” เขาจะลักลอบขนหมีครั้งละหนึ่งตัวเท่านั้น โดยขนมาแล้วสิบกว่าครั้งบางครั้งคนลักลอบค้าสัตว์ป่าจะใช้เส้นทางที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักในการขนสัตว์ป่าไปยังชายแดนประเทศจีน แต่ก็ต้องติดสินบน เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ป่าไม้อยู่บ่อยครั้ง ส่วนเรื่องการลักลอบข้ามชายแดนนั้นทำได้ไม่ยาก
ตานเท อดีตพ่อค้าสัตว์ป่าจากย่างกุ้งเปิดเผยว่า
“การลักลอบข้ามชายแดนจากหมู่เจ้ไปยังประเทศจีนทำได้โดยนั่งเรือข้ามแม่น้ำ ขนอะไรมาก็ได้เพราะไม่มีใครมาตรวจ นอกจาก ทางเรือแล้วก็มีทางภูเขาอีกทางหนึ่ง ซึ่งจะใช้ขนสินค้าจำนวนไม่มาก”
พ่อค้าสัตว์ป่าชาวจีนไม่เพียงแต่รอซื้อสินค้าที่หมู่เจ้ ชายแดนพม่า หรือรุ่ยลี่ ชายแดนจีนเท่านั้น บางครั้งพวกเขาก็เดินทางเข้าไปยังมัณฑะเลย์และให้เงินกับพ่อค้าในท้องถิ่นพร้อมกับเครื่องมือในการจับสัตว์ด้วยเช่นกัน อาทิ ในปี พ.ศ. 2547 พ่อค้าสัตว์ป่าชาวจีนได้นำกับดักชนิดพิเศษไปให้กับคนล่าสัตว์ป่าในท้องถิ่นเนื่องจากหนังสัตว์มีราคาสูง
ตานเท กล่าวถึงเหตุผลที่ต้องเลิกค้าสัตว์ป่าซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงวิกฤติการณ์ของสัตว์ป่าในพม่าว่า
“ตอนนี้สัตว์ป่าหายากเต็มทีแล้ว และอีกไม่นานก็จะสูญหายไปอย่างสิ้นเชิง ผมคิดว่าผมต้องหางานอื่นทำแล้ว”
ผู้บริโภค
ค่านิยมในการบริโภคและนำสัตว์ป่าไปเป็นส่วนประกอบของยาจีนแผนโบราณเป็นวัฒนธรรมที่ฝั่งแน่นอยู่ในสังคมและยึดถือปฏิบัติสืบต่อกันมาช้านานในประเทศจีน
“เนื้อสัตว์ป่าไม่ว่าจะนำมาใช้ปรุงยาหรือประกอบอาหารจะทำให้สุขภาพดีและแข็งแรง ลองบอกชื่อสัตว์ป่าอะไรมาก็ได้ แล้วผมจะบอกคุณว่ามันมีสรรพคุณในการรักษาโรคอย่างไร” เจ้าของร้านขายยาจีนแผนโบราณแห่งหนึ่งในหมู่บ้านบริเวณชายแดนจีนกล่าว
สำหรับคนที่มีความเชื่อในเรื่องยาแผนโบราณแล้ว สรรพคุณทางยาของสัตว์ป่ามีมากมาย ยกตัวอย่างเช่น อวัยวะเพศ ของเสือมีสรรพคุณเป็นยาโป๊ กระดูกเสือใช้รักษาข้อต่ออักเสบ ส่วนเนื้อของตัวกินมดใช้บำรุงร่างกาย(บำรุงกำลัง) และเกล็ดจะใช้รักษาโรคติดเชื้อทางผิวหนัง นางอายใช้รักษาบาดแผล เป็นต้น หากแต่ สรรพคุณทั้งหลายที่กล่าวมานั้น ส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่ารักษาโรคได้จริงหรือไม่ นักอนุรักษ์เชื่อว่าผู้บริโภคมีบทบาทสำคัญในการลดปริมาณการค้าสัตว์ป่า โดยกล่าวว่า หากผู้บริโภคเลิกซื้อ คนล่าสัตว์ก็จะเลิกล่าด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นคำถามก็คือ จะมีวิธีการใดที่ทำให้คนเลิกซื้อและเลิกกินเนื้อสัตว์ป่าได้
ผู้ปกป้อง
ระหว่างการเก็บข้อมูลเรื่องนี้ ผมได้ลองถามคนขับแท็กซี่ในรุ่ยลี่ว่ามีร้านอาหารที่มีเนื้อสัตว์ป่าจำหน่ายที่ไหนบ้าง เขากลับส่ายหัวและตอบว่า “ร้านพวกนี้ถูกเจ้าหน้าที่สั่งปิดและย้ายไปที่อื่นกันหมดแล้ว”
ก่อนหน้านี้ ร้านอาหารป่านี้เคยมีอยู่ทั่วเมืองและเพิ่งปิดตัวลงเมื่อไม่นานมานี้ แต่บางแห่งก็ยังคงแอบเปิดอย่างลับๆ เนื่องจากถูกเจ้าหน้าที่กดดัน
“การบังคับใช้กฎหมายเป็นวิธีการที่แน่นอนในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคและหยุดยั้งการค้าสัตว์ป่า ผมคิดว่าคนที่ต้องการท้าทายกฎหมายเพราะอยากบริโภคเนื้อสัตว์ป่าจะลดลง” เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำชายแดนในหมู่บ้านวานดิง (Wanding) กล่าว
บริเวณด่านตรวจวานดิงจะมีป้ายเตือนขนาดใหญ่เป็นภาษาจีนและภาษาพม่าระบุว่า การนำสัตว์สี่เท้าข้ามชายแดนเป็นสิ่งผิดกฎมาย แต่อีกนัยหนึ่งก็เป็นช่องว่างทางกฎหมายให้สัตว์ประเภทนกและงูสามารถนำข้ามชายแดนได้
เจ้าหน้าที่ของจีนเพิ่งเริ่มควบคุมการลักลอบค้าสัตว์ป่าอย่างจริงจังเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะหลังการระบาดของโรคซาร์สในปี พ.ศ. 2546 รัฐบาลเข้ามาจัดการกับปัญหาการค้าสัตว์ป่า มากขึ้นเพราะนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเชื้อไวรัสโรคซาร์สพบครั้งแรกจากตัวชะมดในตลาดซื้อขายสัตว์ป่าทางตอนใต้ของมณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน เอกสารของกลุ่ม TRAFFIC กล่าวว่า เพื่อจัดการกับปัญหาโรคซาร์สในปี พ.ศ. 2546 เจ้าหน้าที่ทางการจีน จึงทำการยึดสัตว์ในตลาดค้าสัตว์ป่าได้กว่า 800,000 ตัว และจากการรายงานข่าวเศรษฐกิจของจีนในปี พ.ศ. 2547 หรือหนึ่งปี
ต่อมาระบุว่า เจ้าหน้าที่ป่าไม้ของมณฑลยูนนานสามารถยึดสัตว์ป่า และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ป่าเป็นมูลค่าทั้งหมดประมาณ 10 ล้านหยวน (1.3 ล้านดอลล่าสหรัฐ)
ด้วยเหตุนี้ ในการประชุมนานาชาติว่าด้วยเรื่องการค้าสัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์ (Convention on International Trade in Endangered Species - CITES) ประเทศจีนจึงแทบไม่ได้รับการยกย่องจากนักอนุรักษ์ธรรมชาติระหว่างประเทศกลุ่มใดเลย
อย่างไรก็ตาม การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดในประเทศจีนนับว่าเป็นข่าวดีต่อสถานการณ์สัตว์ป่าในประเทศพม่า
ซอว์ลิน พ่อค้าสัตว์ป่าจากมัณฑะเลย์กล่าวว่า “เราเคยส่งออกงูจำนวนมากไปยังยูนนาน แต่เมื่อกลางปี พ.ศ. 2547 ลูกค้าเลิกสั่งสินค้ากะทันหัน ทำให้สูญเสียตลาดส่งออกงูไป แต่คิดว่าคงเป็นระยะเวลาชั่วคราวเท่านั้น”
เนย์เมียว เจ้าหน้าที่จากองค์กรพัฒนาเอกชนด้านสิ่งแวดล้อมแห่งหนึ่งในย่างกุ้ง ซึ่งติดต่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้อยู่บ่อยครั้งกล่าวถึงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในพม่าว่า กรมป่าไม้มีส่วนสำคัญในการจัดการสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ เขาชี้ให้เห็นว่า กรมป่าไม้ได้พยายามจัดตั้งศูนย์ดูแลสัตว์ป่าที่ได้รับการช่วยเหลือจากการถูกล่าในหลายท้องที่ของประเทศพม่า ซึ่งปัจจุบันมีพื้นที่ที่ได้รับการคุ้มครอง 45 แห่ง (คิดเป็น 5.4 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ทั้งหมด) ส่วนมณฑลยูนนานมีป่าสงวน105 แห่ง (คิดเป็น 5 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ทั้งหมด) ถึงกระนั้น เสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความล้มเหลวของกรมป่าไม้ในการแก้ปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
จายลู นักศึกษาด้านสัตวศาสตร์ในรัฐฉานแสดงความคิดเห็นว่า “เราไม่สามารถคาดหวังอะไรมากจากการจัดตั้งศูนย์พิทักษ์สัตว์ป่าในขณะที่การตัดไม้ยังคงมีอยู่ดาษดื่น”
สำหรับการให้ความช่วยเหลือจากองค์กรพัฒนาเอกชนระหว่างประเทศและผู้บริจาคเงินช่วยเหลือสำหรับการอนุรักษ์ป่าในพม่านั้นยังเป็นเรื่องที่ยาก เนื่องจากปัญหาการคว่ำบาตรทางการเมือง แต่ทว่า ยังมีองค์กรพัฒนาเอกชนบางองค์กรที่เสี่ยงเข้าไป ทำงานในพม่าจนประสบความสำเร็จเช่นกัน คือสมาคมอนุรักษ์สัตว์ป่า(WCS) ซึ่งมีสำนักงานอยู่ในกรุงนิวยอร์ก มีบทบาทสำคัญในการจัดตั้งศูนย์คุมครองสัตว์ป่าขนาดใหญ่ 2 แห่ง บริเวณทางตอนเหนือของประเทศพม่าในช่วงปี พ.ศ. 2541 - 2544 ที่ผ่านมา โดยการริเริ่มส่วนหนึ่งมาจากความร่วมมือกับประชาชนในท้องถิ่นที่ต้องการหยุดยั้งการลักลอบล่าสัตว์ป่า
นักเขียนด้านสิ่งแวดล้อมท่านหนึ่งจากย่างกุ้งกล่าวว่า “ขณะนี้เจ้าหน้าที่ทางการของจีนและพม่าได้หันมาใส่ใจเรื่องปัญหาการค้าสัตว์ป่ามากขึ้น รวมทั้งองค์กรพัฒนาเอกชนหลายองค์กรก็กำลังใช้ความพยายามอย่างหนักเพื่อทำให้การอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติมีความลงตัวและหวังว่าเราจะหันมาใส่ใจข่าวสารเรื่องราวของตัวเองเสียที”
เสียงเพรียกจากอนาคต
“เราได้รับสืบทอดโลกมาจากคนรุ่นก่อนและเราก็ควรจะส่งต่อไปให้คนรุ่นต่อไป ซึ่งไม่ควรจะน้อยกว่าที่เราได้รับมา” นี่คือข้อคิดจากพระสงฆ์รูปหนึ่งในเทือกเขายะไข่ ขณะที่ครูชาวบ้านท่านหนึ่งจากรัฐคะฉิ่นแย้งว่า “คำพูดเกี่ยวกับการอนุรักษ์นั้นฟังดูดี แต่ไม่เพียงพอสำหรับชาวบ้านที่กำลัง หิวโหย” ส่วนเจ้าของร้านยาแผนโบราณในรุ่ยลี่ให้ความเห็นว่า “ทำไมผมต้องเลิกใช้วิธีการดั้งเดิมในการรักษาชีวิตมนุษย์เพียงเพื่อรักษาชีวิตสัตว์ไว้ด้วย ?” ขณะเดียวกันพ่อค้าสัตว์ป่าจากมัณฑะเลย์ กล่าวว่า “การค้าสัตว์ป่าก็เพื่อผลกำไรทางธุรกิจเท่านั้น”
การจะทำให้เกิดความสมดุลกันระหว่างการอนุรักษ์กับความต้องการของมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่ยาก แต่อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์และนักอนุรักษ์จะยังคงพยายามมอบสิ่งที่ยั่งยืนที่สุดให้แก่มนุษย์ต่อไป
อลัน ราบีโนวิซ ผู้อำนวยการโครงการวิทยาศาสตร์และการสำรวจแห่งองค์กรอนุรักษ์สัตว์ป่ากล่าวไว้ว่า “สิ่งมีชีวิตในแต่ละสายพันธุ์ล้วนแล้วแต่มีบทบาทในสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติในโลกนี้ที่เชื่อมโยงเกี่ยวพันกันอยู่ หากส่วนใดส่วนหนึ่งถูกทำลายไปก็เหมือนกับภาพจิ๊กซอว์ที่ไม่สมบูรณ์ และจะก่อให้เกิดความไม่สมดุลขึ้น”
ตินติน นักเขียนเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมกล่าวว่า เธอจะไม่ล้มเลิกความพยายามในการสื่อสารเกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน “เพราะทรัพยากรธรรมชาติในแต่ละประเทศมีอยู่อย่างจำกัด เราจึงจำเป็นต้องตระหนักถึงความเป็นจริงดังกล่าวก่อนที่ป่าไม้และสัตว์ป่าจะหมดไปจากโลกนี้”
*บทความนี้แปลจากตั้นฉบับภาษาอังกฤษเรื่อง "Silence in the wild" เป็นหนึ่งในบทความภายใต้โครงการ "Our Mekong : A Vision amid Globalsation" fellowship programme ดำเนินงานโดย Inter Press Service Asia Pacific ภายใต้การสนับสนุนของมูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ (Rockefeller Foundation)
**มินท์ซอว์ เป็นนักเขียนชาวพม่าประจำนิตยสาร Living Colour มีสำนักงานที่กรุงย่างกุ้ง ประเทศพม่า