ดอกไม้เหล็กใต้เงาเผด็จการ

เมื่อเอ่ยถึงผู้หญิงที่มีบทบาทในพม่า บุคคลที่ คนส่วนใหญ่ นึกถึงเป็นอันดับแรกคงเป็นใครอื่นไม่ได้ นอกเสียจากนางอองซาน ซูจี สัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อ สันติภาพและประชาธิปไตย แต่หากเราติดตามสถานการณ์ พม่าย้อนหลังไปแปดปีจะพบว่า นอกเหนือ จากนางอองซาน ซูจีแล้ว ยังมีชื่อของผู้หญิงคนอื่นๆ ปรากฏให้เห็นตามสื่อต่างๆ ในฐานะบุคคลที่ทำงานเพื่อ ประชาชน ทั้งในประเด็นการเมืองและสิทธิมนุษยชน ซึ่งบ่อยครั้งที่พวกเธอได้กล่าวถึง นางอองซาน ซูจี ผู้ที่จุดประกายและเป็นแรงผลักดัน ให้เธอเหล่านั้นกล้าลุกขึ้นสู้เพื่อความถูกต้อง


หนึ่งในจำนวนนั้นคือ ดร.ซินเทีย หม่อง ผู้ก่อตั้งคลินิกแม่ตาว ที่ให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ป่วยไร้ที่พึ่งบริเวณชายแดนไทย-พม่ามาเป็นเวลากว่า สองทศวรรษ เธอได้รับการขนานนามว่าเป็น “แม่ชีเทเรซ่า” ของผู้ลี้ภัย ชาวกะเหรี่ยง นอกจากนี้ยังเคยได้รับรางวัลด้านสิทธิมนุษยชนร่วมกับ นางอองซาน ซูจีมาแล้วถึง 2 ครั้ง

ดร.ซินเทีย หม่อง หมอของเหยื่อเผด็จการ 

ย้อนกลับไปในอดีต หมอซินเทียเติบโตในครอบครัว ชาวกะเหรี่ยงในเมืองมะละแหล่ง ขณะที่เธอเรียนอยู่มัธยมปลาย นั้น การเมืองในพม่าเริ่มมีปัญหา ขบวนการนักศึกษาต่อต้าน เผด็จการก็เริ่มมีการเคลื่อนไหว ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบ การศึกษาในประเทศ และทำให้หมอซินเทีย ต้องเสียเวลาไป สองปีก่อนที่จะได้เข้าเรียนด้านการแพทย์

เมื่อเรียนจบแล้ว ประสบการณ์จากการเป็นแพทย์ ฝึกหัด รวมทั้งการทำงานที่คลินิกในภาคอิระวดีและรัฐกะเหรี่ยง ทำให้เธอได้สัมผัสชีวิตของคนรากหญ้ามากขึ้น และรู้ซึ้ง ถึงความยาก ลำบากของพวกเขาภายใต้การบริหารของรัฐบาลในขณะนั้น

เธอพบว่า ชาวบ้านบางคนถึงกับต้องขายบ้านหรือวัว ควายเพื่อนำเงินมาเป็นค่ารักษาพยาบาล ขณะที่ประชาชน ในพื้นที่ชนบทที่ขาดแคลนหมอและยารักษาโรค ต้องเผชิญกับ โรคระบาดอย่างวัณโรคและมาลาเรียแถมยังถูกทหารพม่า คุกคาม บังคับเป็นลูกหาบในกองทัพอีกด้วย

ด้วยความหวังที่จะได้เห็นความถูกต้องเกิดขึ้น ในประเทศ หมอซินเทียได้เข้าร่วมกับขบวนการนักศึกษา เพื่อต่อต้านรัฐบาลในปี 2531 และแล้วในวันที่ 19 กันยายน ในปี เดียวกัน รัฐบาลทหารได้เข้ายึดอำนาจและกวาดล้างกลุ่มต่อต้านอย่างหนัก นักเคลื่อนไหวต้องหนีตายเข้าป่า และข้ามมายังประเทศไทยหมอซินเทียก็เป็น หนึ่งในจำนวนนั้น

แม้ว่าเป้าหมายในการเดินทางครั้งนี้คือการหนีเพื่อเอาชีวิตรอด แต่ ระหว่างทางซึ่งต้องผ่านหมู่บ้านในชนบทห่างไกล หมอซินเทียก็พยายามใช้ ความรู้และอุปกรณ์ที่พอมีอยู่ ช่วยรักษาชาวบ้านที่เจ็บป่วยซึ่งพวกเขาเหล่านั้น ไม่รู้จักหมอและไม่เคยไปโรงพยาบาลมาก่อนในชีวิต หมอซินเทียออกจาก หมู่บ้านเหล่านั้นและเดินทางต่อเพื่อข้ามมายังฝั่งไทย โดยที่ไม่คาดคิดว่าใน อนาคตเธอจะมีโอกาสช่วยเหลือชาวบ้านจากพม่าอีกนับไม่ถ้วนบนแผ่นดินไทย  

เมื่อเดินทางมาถึงค่ายผู้ลี้ภัยแม่หละฝั่งประเทศไทย หมอซินเทียได้ ช่วยเหลือ ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บซึ่งหนีมาจากการกวาดล้างกลุ่มต่อต้านรัฐบาล เช่นเดียวกับเธอและหลังจากนั้นเธอได้จัดตั้งศูนย์เพื่อช่วยเหลือนักศึกษาที่ ต่อต้านรัฐบาลที่เจ็บป่วยขึ้นในอำเภอแม่สอด เพื่อส่งต่อไปรักษายังโรงพยาบาลประจำอำเภอ

จากนั้นในปี 2532 หมอซินเทียได้รับบริจาคอาคารไม้เก่าๆ หลังหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่นอกตัวอำเภอแม่สอดเพื่อใช้เป็นสถานที่รักษาพยาบาลแก่ผู้เจ็บป่วยโดย ไม่คิดค่ารักษา ในตอนนั้น เธอคิดว่าอีกหกเดือนก็คงจะกลับพม่าได้แล้ว แต่จนถึง ขณะนี้ เวลาผ่านไป 22 ปีแล้ว อาคารหลังเล็กๆ ได้รับการขยายพื้นที่เป็นแผนกต่างๆ รวมทั้งบุคคลากรที่เพิ่มขึ้น แต่เธอก็ยังไม่มีโอกาสได้กลับบ้านอย่างที่เคยตั้งใจไว้ ในขณะที่ผู้ป่วยจากฝั่งพม่ายังคงหลั่งไหลมาขอความช่วยเหลือจาก แม่ตาวคลินิกแห่งนี้อย่างไม่ขาดสาย

ความทุ่มเทของเธอ ทำให้ในปี 2542 เธอได้รับรางวัลด้านมนุษยธรรม จากนานาชาติถึง 3 รางวัล ซึ่งได้แก่ รางวัล Jonathan Mann Award for Global Health and Human Right  รางวัล American Medical Women’ s Association President’s Recognition และรางวัล John Humphrey Freedom ที่ได้รับ ร่วมกับนางอองซาน ซูจี และในปีต่อๆ มาเธอได้รับรางวัลเพิ่มอีกนับสิบรางวัล จนถึงปัจจุบัน โดยในปี 2551 หมอซินเทียก็ได้รับรางวัลร่วมกับนางซูจีอีกครั้ง จาก  Spanish Catalonia International Prize

ในขณะที่บางประเทศ เปิดโอกาสให้ผู้ลี้ภัยเดินทางไปตั้งรกรากใหม่ และเจ้าหน้าที่ในคลินิคแม่ตาวจำนวนไม่น้อยเลือกหยิบฉวยโอกาสนี้ เพื่อ หวังว่าจะมีชีวิตที่ดีกว่า แต่สำหรับหมอซินเทียไม่คิดอย่างนั้น “พวกเขา สุขสบายหรือเปล่า ฉันไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ ถ้าตัดสินใจไปแล้ว สิ่งแรกก็คือ คุณจะ ไม่สามารถช่วยเหลือประชาชนของเราได้ ซึ่งตอนนี้ฉันมีความสุขกับสิ่งที่ ฉันทำอยู่”

ปัจจุบัน หมอซินเทีย สามีและลูกทั้งสองอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ ใน อำเภอแม่สอดและคอยเยียวยาผู้ป่วยของแม่ตาวคลินิกมาจนถึงทุกวันนี้     

จ๋ามตอง ความหวังของชาว ไทใหญ่


 ปลายเดือนตุลาคม 2548 ทั่วโลกได้ให้ความสนใจปัญหาในพม่าอีกครั้ง เมื่อหญิงสาว ไทยใหญ่คนหนึ่งได้รับเชิญจากประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช ให้เข้าพบเป็นเวลาถึงหนึ่งชั่วโมง เพื่อพูดคุยถึงสถานการณ์ในพม่า หลายคนสงสัยว่า หญิงสาวไทยใหญ่นิรนาม ผู้นี้เป็นใครมาจากไหน และเพราะเหตุใดจึงได้รับเกียรติ์จากผู้นำประเทศมหาอำนาจมาก กว่ารัฐมนตรีของไทยด้วยซ้ำ  

“จ๋ามตอง” คือชื่อของหญิงสาววัย 28 ปีผู้นี้ เธอเกิดในรัฐฉาน ประเทศพม่า แต่ สงครามกลางเมืองได้ทำให้แม่ของเธอต้องพาเธอมาฝากไว้ที่บ้านเด็กกำพร้าในหมู่บ้าน เปียงหลวง ชายแดนไทยพม่า ตั้งแต่เธออายุได้ 6 ปี เธออาศัยอยู่ร่วมกับเพื่อนๆ อีกกว่า 30 ชีวิต ที่ต้องกลายเป็นเด็กกำพร้าเพราะการ สู้รบ

แม้จะต้องพลัดพรากจากครอบครัว แต่ การอยู่ที่บ้านเด็กกำพร้าก็ปลอดภัยและทำให้ เธอมีโอกาสได้เรียนหนังสือ ทั้งภาษาไทย ภาษาจีน ภาษาอังกฤษ และภาษาไทยใหญ่ ขณะที่เด็กๆ อีกนับล้านคนในชายแดนหรือในประเทศพม่าไม่เคยได้รับโอกาสอย่างเธอ

  เมื่อเรียนจบชั้นม.3 ในโรงเรียนเปียงหลวง จ๋ามตองได้เข้าฝึกงานในสำนักข่าวชาน (S.H.A.N.) และองค์กรสิทธิมนุษยชนแห่งรัฐฉาน(Shan Human Right Foundation หรือ S.H.R.F) ที่เข้าไปเก็บรวบรวมข้อมูลสถานการณ์ผู้ลี้ภัยชาวไทยใหญ่ที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนตามแนว ชายแดน ซึ่งในระหว่างนั้น เธอได้เดินทางไปอบรมกับกลุ่มรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชนและ ประชาธิปไตยในพม่า (Alternative Asian Network on Burma)  ที่กรุงเทพฯ ซึ่งเธอได้เรียนรู้ทั้งทักษะ ในการทำงานและเรียนรู้ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นในบ้านเกิดของเธอที่ไม่เคย ได้รับการเปิดเผย หลังจากนั้นเธอได้พยายามผลักดันเรื่องราวดังกล่าวให้ปรากฏต่อ สาธารณะชน ให้มากที่สุดเพื่อนำไปสู้การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น  

 ในเวลานั้น เธอยังมีโอกาสช่วยงานมูลนิธิผู้หญิงอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งทำให้เธอพบปัญหาที่ หญิงไทยใหญ่ต้องเผชิญด้วย ในปี พ.ศ. 2542 จ๋ามตองได้ร่วมกับผู้หญิงไทยใหญ่หลายคน จัดตั้งเครือข่ายปฏิบัติการผู้หญิงไทยใหญ่ หรือ สวอน (Shan Woman’s Action Network: SWAN) ซึ่งเน้นประเด็นผู้หญิงกับการช่วยเหลือผู้ลี้ภัยชาวไทยใหญ่ ทั้งเรื่องของสิทธิมนุษยชน การศึกษา สุขภาพ ความรุนแรงทางเพศ โดยมีการระดมทุนการศึกษาให้กับเด็กๆ ตามแนวชายแดน การ รณรงค์และให้ความรู้เกี่ยวกับเอดส์ โครงการให้ความช่วยเหลือผู้หญิงที่ถูกกระทำทารุณทาง เพศ และการเพิ่มพูนความรู้ให้กับผู้หญิงในด้านต่างๆ

ในปีแรกของการก่อตั้งสวอน จ๋ามตองได้ปรากฏตัวในเวทีระดับนานาชาติครั้งแรกๆ ใน การประชุมขององค์การสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ซึ่งเธอได้เปิดเผยข้อมูลการคุกคาม ประชาชนของรัฐบาลพม่าในรัฐฉาน ซึ่งมีเจ้าหน้าที่จากรัฐบาลหารพม่าเป็นหนึ่งในผู้ร่วมฟังใน ครั้งนั้นด้วย

  ต่อมาในปี พ.ศ.2545 สวอนได้ร่วมกับองค์กรสิทธิมนุษยชนแห่งรัฐฉานในการจัดทำ รายงานเรื่องใบอนุญาตข่มขืน หรือ “License to rape” ที่เปิดเผยกรณีทหารพม่าข่มขืนผู้หญิง ไทยใหญ่กว่า 173 กรณี เหยื่อของการใช้การข่มขืนเป็นเครื่องมือเป็นอาวุธทางทหารในพม่า ระหว่างปี พ.ศ.2539 - 2544 รายงานฉบับนี้ได้รับความสนใจจากนานาชาติเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะองค์การสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ซึ่งจ๋ามตองเป็นตัวแทนองค์กร เดินทางไปร่วมการประชุมเกี่ยวกับเรื่องสิทธิมนุษยชนในประเทศต่างๆ เพื่อคอยเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวให้กับนานาชาติได้รับรู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้น

การปิดกั้นข้อมูลข่าวสารในปะเทศสู่โลกภายนอกทำเธอถูกตั้งคำถามจากชาวต่างชาติ อยู่บ่อยครั้งว่าข้อมูลในรายงานเป็นเรื่องจริงหรือไม่ “ถ้าทหารพม่าทำกับอองซานซูจีที่ทั่วโลก ยกย่องได้ นับประสาอะไรกับผู้หญิงที่อยู่ในหมู่บ้าน อยู่ในสวนและก็ทำงานทุกวัน” นี่คือคำตอบ  

ในปี 2546 จ๋ามตองได้รับรางวัล Woman of the World จากนิตยสาร Marie Claire และในปี 2548 เธอได้รับรางวัล Reebok’s Human Right Award จากการทำงานเพื่อต่อสู้และพิทักษ์สิทธิของผู้อพยพสตรี ซึ่งเธอก็ได้มอบเงินรางวัลให้กับองค์กรเพื่อนำไปใช้เป็นประโยชน์ แก่ส่วนรวมต่อไป นอกจากนี้ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ที่อองซาน ซูจีได้รับเมื่อปี 2534 อีกด้วย

ในเดือนตุลาคม 2548 เธอได้รับเชิญจากประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช ให้เข้าพบในทำเนียบขาวเป็นเวลาถึงหนึ่งชั่วโมงในฐานะแขกของรัฐบาลสหรัฐ เธอได้พูดคุยกับผู้นำสหรัฐเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนและอนาคตของ ประเทศพม่า ซึ่งการพบกันครั้งนี้มีการเผยแพร่ ทั้งในสื่อพม่านอกประเทศทุกสำนัก รวมทั้งสื่อนานาชาติและสื่อไทยด้วย

โอกาสที่เธอได้รับในทำเนียบขาวอาจเป็นความฝันของใครหลายคนแต่ สำหรับเธอ  “การที่ประชาชนได้กลับบ้าน ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัว มีที่ทำกิน อยู่อย่างสงบสุข” ต่างหาก ที่เธออยากอยากเห็น หาใช่ “ทำเนียบขาว” ไม่

ซูซูนวย - นีละเต่ง - ผิ่วผิ่วติ่น ดอกไม้ในกรงเหล็ก


เดือนมีนาคม 2551 องค์กร People In Need ซึ่งเป็นองค์กรที่ทำงานเพื่อสิทธิมนุษยชนซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในสาธารณรัฐเช็ก ได้มอบรางวัล Homo Homini เพื่อเชิดชูเกียรติ์ให้แก่สตรีชาวพม่า 3 ท่าน ซึ่งได้แก่ ซูซูนวย นีละเต่ง และ ผิ่วผิ่วติ่น ในฐานะที่อุทิศตนต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนอย่างกล้าหาญ

ซูซูนวย วัย 39 ปี เป็นเด็กกำพร้าในหมู่บ้านทันมะหน่ายในย่างกุ้ง เธอเข้าร่วมเป็นสมาชิกของพรรคเอ็นแอลดี และเป็นคนแรกที่กล้าลุกขึ้นต่อสู้ในการ ฟ้องร้องหน่วยงานท้องถิ่น หลังจากเธอและชาวบ้านกลุ่มหนึ่งถูกบังคับใช้แรงงานในโครงการสร้างถนนของรัฐโดยไม่ได้สมัครใจ ซึ่งได้รับการช่วยเหลือจากทีมนัก กฎหมายของพรรคเอ็นแอลดีและชนะคดีในที่สุด

แต่หลังจากชัยชนะในครั้งนั้นไม่นาน ซูซูนวยก็ถูกผู้นำหมู่บ้านกล่าวหาว่า คุกคามและหมิ่นประมาท ทำให้ต้องติดคุกเป็นเวลา 18 เดือนในเรือนจำอินเส่ง ซึ่งต่อมาในปี 2549 รัฐบาลพม่ายอมปล่อยตัวนาง ซูซูนวย หลังจากรัฐบาลสหรัฐ องค์การแรงงานสากล (ILO) สหประชาชาติ และองค์กรเอ็นจีโอนานาชาติ ได้ร่วมกันกดดันจนเป็นผลสำเร็จ

ทว่า อิสรภาพในครั้งนั้นอยู่กับเธอเพียงข้ามปี เพราะเธอถูกจับกุมอีกครั้งหลังจากเข้าร่วมในการประท้วงของพระสงฆ์และประชาชนครั้งใหญ่ในปี 2550  ส่งผลให้เธอต้องอยู่ในเรือนจำคำติ ในย่างกุ้งอีกครั้ง เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2008 โดยมีระยะเวลา 8 ปี

ก่อนหน้านี้ ซูซูนวยเคยได้รับรางวัลเชิดชู เกียรติ์มาแล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อปี2548จากพรรค เอ็นแอลดี ครั้งที่สองคือรางวัล John Humphrey Freedom Award ในปี  2549  (ซึ่งเป็นรางวัลเดียว กันที่นางอองซาน ซูจีและหมอซินเทียเคยได้รับเมื่อปี 2542)

ขณะที่ผิ่วผิ่วติ่น วัย 39 ปี ซึ่งเป็นสมาชิกพรรค เอ็นแอลดีตั้งแต่ปี 2531 เช่นเดียวกับซูซูนวย เธอมี ความห่วงใยในสถานการณ์ของเอชไอวี/เอดส์ในพม่าที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นขณะที่รัฐบาลไม่ได้มา ดูแล ขณะที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อมากขึ้นเรื่อยๆ เธอมี บทบาทสำคัญในการจัดตั้งคลินิกในย่างกุ้งใน ปี 2545  เพื่อช่วยเหลือผู้ติดเชื้อเหล่านั้น ซึ่งสังคมพม่ายังขาดความรู้และมีความเชื่อที่ผิดๆ เกี่ยวกับโรคดังกล่าว โดยได้รับการสนับสนุนจากเอ็นจีโอด้านสุขภาพจาก ต่างชาติ

ในปี 2550 เธอถูกเจ้าหน้าที่จับกุมหลังจากร่วมเดินขบวนเรียกร้องให้มีการปล่อย ตัวนางอองซาน ซูจี ซึ่งการจับกุมครั้งนั้นได้บั่นทอนกำลังใจของผู้ป่วยที่นับถือผิ่วผิ่วติ่น เหมือนแม่พระ ทำให้คนไข้บางคนเสียชีวิตไม่นานหลังเหตุการณ์ดังกล่าว ด้วยเหตุนี้ ผู้ติดเชื้อ จากคลินิกของเธอจำนวน 11 คนตัดสินใจได้เดินขบวนเรียกร้องรัฐบาลขออิสรภาพคืนให้ ผิ่วผิ่วติ่น ทั้งๆ ที่ตัวเองอยู่ในสภาพย่ำแย่จากโรคร้ายที่รุมเร้า พวกเขาถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวไว้ที่โรงพยาบาลเวบาจีในย่างกุ้งและได้รับการปล่อยตัวในเวลาต่อมา

ระหว่างที่อยู่ในคุก ผิ่วผิ่วติ่นได้อดอาหารประท้วงรัฐบาลที่ไร้ความยุติธรรม ขณะที่พ่อแม่ของเธอได้ไปแจ้งความคนหายกับตำรวจ เพราะไม่ทราบว่าผิ่วผิ่วติ่นถูกเจ้าหน้าที่จับตัวไป แม้ว่าในเวลาต่อมาเธอจะได้รับการปล่อยตัว แต่ก็ต้องถูกเจ้าหน้าที่ตามล่าอีกครั้ง หลังจากร่วมการประท้วงของพระสงฆ์และประชาชนไม่กี่เดือนหลังจากนั้นและต้อง หลบซ่อนตัวมาจนถึงขณะนี้

เช่นเดียวกับนีละเต่ง ที่ถูกรัฐบาลพม่าตามล่าและต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ หลังร่วมประท้วงในเหตุการณ์เดียวกัน

นีละเต่ง เข้าร่วมกับองค์กรนักศึกษาต่อต้านเผด็จการพม่ามาตั้งแต่ ปี 2531 และเป็น หนึ่งในผู้นำการประท้วงใหญ่ในปีดังกล่าวด้วย เธอเคยถูกจำคุกเป็นเวลานานานถึง 8 ปี นอกจากนี้ การทำงานบนเส้นทางสายนี้เธอต้องพบกับความสูญเสีย และการพลัดพราก หลายต่อหลายครั้ง โดยล่าสุดเมื่อปี 2550 หลังการประท้วงของพระสงฆ์ ในเวลานั้น เธอต้อง ทิ้งลูกสาวที่เพิ่งอายุได้เพียง 9 เดือนไว้กับครอบครัวของเธอ ขณะที่สามีก็เป็นนักเคลื่อนไหว ทางการเมืองเช่นกันไม่สามารถดูแลลูกได้เนื่องจากถูกกักขังอยู่ในเรือนจำอินเส่ง อย่างไรก็ตาม เธอเชื่อว่าเมื่อโตขึ้นลูกจะเข้าใจว่าทำไมเธอจึงต้องทำเช่นนี้

ค่ำคืนของวันที่ 5 มีนาคม 2551 ชื่อของผู้หญิงทั้งสามถูกประกาศในพิธีมอบ รางวัลอย่างเป็นทางการ ทว่า ท่ามกลางแสงไฟที่สาดส่องบนเวทีและเสียงปรบมือที่ กึกก้อง แต่น่าเศร้าที่ผู้หญิงทั้งสามกลับต้องอยู่ในเงามืดของเผด็จการ มีเพียงตัวแทนเท่านั้น ที่เดินขึ้นไปรับรางวัลแทนพวกเธอ

“ประชาชนพม่าได้แสดงความต้องการที่แท้จริงโดยการแผ่เมตตาในการประท้วง เมื่อเดือนกันยายน 2550 ฉันอยากบอกประชาชนว่า เราจะสู้ต่อไปเพื่อสิทธิของเรา”

“ไม่ว่ารัฐบาลจะดำเนินการอยู่ฝ่ายเดียวเหมือนที่เคยเป็นมา เราจะร่วมมือกับ ประชาชนจนกว่าจะได้มาซึ่งประชาธิปไตยและอิสรภาพของประชาชนในพม่า”

นี่คือเสียงของนีละเต่งและผิ่วผิ่วติ่นที่ส่งถึงประชาชนจากที่ไหนสักแห่งในพม่า ซึ่ง อาจเป็นสิ่งเดียวกับนางซูซูนวยที่อยู่ในคุกต้องการบอกชาวพม่าเช่นกัน



โซยะ พาน ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น


นับเป็นอีกครั้งที่ชื่อของกลุ่มชาติพันธุ์ในพม่าปรากฏบนเวทีนานาชาติ เมื่อล่าสุด โซยะ พาน สาวชาวกะเหรี่ยง วัย 28 ปี ได้รับคัดเลือกจาก World Economic Forum ให้เป็นหนึ่งใน “เยาวชนผู้นำโลก” หรือ “Young Global Leader” ในเดือนมีนาคม 2553 ซึ่งคณะกรรมการได้คัดเลือกจากทั้งหมดกว่า 5 พัน คน ให้เหลือเพียง 200 คน โดยพิจารณาจากประวัติการทำงานเพื่อสังคมที่ส่งผลต่ออนาคตของโลก

ชื่อของเธออาจไม่คุ้นหู แต่ถ้าเอ่ยถึงพะโด ม่านชา บิดาของเธอแล้วล่ะก็ หลายคนต้องร้องอ๋อ เพราะท่านคือเลขาธิการสหชนชาติกะเหรี่ยง หรือ เคเอ็นยู ที่ชาวกะเหรี่ยงให้ความเคารพนับถือ

โซยะ พาน ลืมตาขึ้นมาดูโลกกลางป่าและเติบโตในอยู่ค่ายผู้ลี้ภัยชายแดนไทย-พม่า โดยได้ขอลี้ภัยไปอยู่ในสหราชอาณาจักรเมื่อปี 2547 เธอได้ใช้ความรู้ที่เธอมีโอกาสได้ร่ำเรียนขณะที่ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทย เพื่อรณรงค์ให้เกิดประชาธิปไตยในพม่าในฐานะตำแหน่งผู้ประสานงานระหว่างประเทศขององค์กร Burma Campaign UK ในอังกฤษ ซึ่งต่อมาชื่อของเธอก็เริ่มปรากฏในสื่อต่างประเทศเมื่อมีข่าวเกี่ยวกับประเทศพม่า ก่อนที่จะได้รับรางวัล Young Global Leader ในครั้งนี้

“ฉันรู้สึกดีใจ ที่ได้รับรางวัลเพราะการทำงานของฉันเกี่ยวข้องการเคลื่อนไหวทางการเมือง เพื่อประชาชนทุกคนในพม่าและกลุ่มชาติพันธุ์ทุกกลุ่ม ถึงฉันอยู่ที่อังกฤษ เพราะไม่สามารถทำงานเช่นนี้ในพม่าได้ แต่ฉันจะไม่มีวันลืมประเทศของตัวเอง ฉันคิดว่า การที่มีโอกาสได้ทำงานกับคนจากทั่วทุกมุมโลกจะมีประสิทธิภาพมากกว่า”

ก่อนหน้านี้ในเดือนเมษายน 2552 เธอได้ถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตของเธอในหนังสือชื่อ “Little Daughter” ซึ่งเป็นการเผยให้โลกรับรู้เห็นชะตากรรมของผู้ลี้ภัยชาวกะเหรี่ยงที่ต้องพลัดถิ่นฐานบ้านเกิดเพราะสงครามกลางเมือง นอกจากนี้ เธอและพี่ๆน้อง ๆ ทั้ง 4 คน ยังได้ร่วมกันก่อตั้ง มูลนิธิพาน (The Phan Foundation) ขึ้น เพื่อช่วยเหลือ ชาวบ้านในรัฐกะเหรี่ยงที่ยากจน สนับสนุน ด้านการศึกษา สุขภาพ สืบสานวัฒนธรรมกะเหรี่ยง และส่งเสริมความเป็นอยู่และสิทธิมนุษยชน ไม่เพียงเท่านั้น โซยะ พานยังทำหน้าที่เป็นเลขาธิการสมาคมชาวกะเหรี่ยงในอังกฤษอีกด้วย

แม้ว่าพ่อของเธอจะจากโลกนี้ไปก่อนที่จะได้เห็นผลงานของลูกสาว แต่หากวิญญาณ ของพ่อสามารถรับรู้ได้ คงภูมิในตัวเธอมาก เช่นเดียวกับที่ประชาชนชาวกะเหรี่ยงภาคภูมิใจในตัวทายาทของผู้นำที่พวกเขาเคารพในเวลานี้

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของผู้หญิงจากพม่าที่กล้าลุกขึ้นต่อสู้เพื่อความถูกต้อง ซึ่งหากนับรางวัลที่ได้รับรวมแล้วกว่ายี่สิบรางวัล แม้จะทำให้มีกำลังใจในการทำงาน แต่นั่นก็ไม่ใช่จุดประสงค์หลัก เพราะหากถามถึงความต้องการที่แท้จริงแล้ว เชื่อว่าทุกคนจะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “ความสงบสุขในประเทศต่างหากที่เราต้องการ”






ข้อมูลอ้างอิง
http://seattletimes.nwsource.com/special/burma/cythia.html
http://www.maetaoclinic.org/
http://www.burmacampaign.org.uk/
www.mizzima.com