2546-- คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่กระทรวงแรงงานเสนอเรื่องการ อนุญาตให้แรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองสัญชาติพม่า ลาวและกัมพูชา อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวและสามารถทำงานได้ต่ออีก 1 ปี รัฐบาลไทยและรัฐบาลพม่าได้ลงนามในข้อตกลงเรื่องการพิสูจน์สัญชาติที่จะทำให้แรงงานข้ามชาติจากพม่าเป็นแรงงานที่ถูกกฎหมาย แต่ กระบวนการดังกล่าวต้องยุติลงกลางคัน เนื่องจากรัฐบาลพม่าต้องการ ให้มีการพิสูจน์สัญชาติต้องดำเนินการในเขตพม่าเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้ ชะงักงันมาจนถึงปี 2551 จนในที่สุดรัฐบาลไทยยินยอมทำตาม ข้อเรียกร้องของรัฐบาลพม่า
Asian Legal Resource Centre (ALRC) ออกแถลงการณ์ระบุ แรงงานข้ามชาติในไทยยังถูกกดขี่ เช่นตัวอย่างเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2546 ที่มีแรงงานจากพม่าจำนวน 6 รายใน อ.แม่สอด จ.ตาก ถูกจับ และถูกฆ่าเสียชีวิต ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อว่า เจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุฆาตกรรมในครั้งนี้ด้วย นอกจากนี้ในแถลงการณ์ ยังระบุว่า แรงงานใน อ.แม่สอด ยังต้องเผชิญกับการฆ่าสังหาร การข่มขืน การทรมาน การถูกลักพาตัวและการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน ในรูปแบบอื่นๆ นอกจากนี้แรงงานยังต้องเผชิญกับการถูกส่งตัวกลับ พม่าได้ตลอดเวลา
2547-- นับว่าเป็นปีที่มีเหตุการณ์เกี่ยวข้องกับแรงงานข้ามชาติเกิดขึ้น มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ ในการจัดการแรงงาน ข้ามชาติของรัฐบาลไทย โดยได้เปิดให้แรงงานที่มีและไม่มีใบอนุญาต ทำงาน รวมทั้งครอบครัวและผู้ติดตาม สามารถมาขึ้นทะเบียนรายงาน ตัวต่อกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้แรงงานที่มีตัวตนอยู่จริงแต่ไม่เคยขึ้น ทะเบียนให้กลายเป็นแรงงานที่ถูกกฎหมาย โดยจะมีขั้นตอนการพิสูจน์ สัญชาติ เพื่อให้ประเทศต้นทางออกเอกสารเดินทางให้ถูกต้อง ในขณะที่ ประเทศลาวและกัมพูชา ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาบริการประชาชนในฝั่งไทย เพื่อความสะดวก แต่รัฐบาลพม่ากลับไม่ต้องการส่งเจ้าหน้าที่เข้ามา ดำเนินการในฝั่งไทย
ส่วนในเดือนมีนาคม แรงงานพม่าที่ไม่มีบัตรอนุญาตทำงานก็ ต้องพบกับการกวาดล้าง โดยในเมืองชายแดนที่ติดกับพม่าอย่าง อ.แม่สอด จ.ตาก ที่มีแรงงานพม่าเกือบหนึ่งแสนคนซึ่งส่วนใหญ่ทำงานในโรงงาน สิ่งทอ ได้มีการติดประกาศให้แรงงานที่เข้าเมืองผิดกฎหมายออกนอกเขต ประเทศไทยก่อนภายในวันที่ 15 มีนาคม ทำให้มีจำนวนผู้เดินทางข้าม แม่น้ำเมย กลับไปยังฝั่งพม่าที่เมืองเมียวดีในวันดังกล่าวถึง 6 พันคน ในจำนวนนั้นมีทั้งผู้ที่สมัครใจและผู้ที่ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมพร้อมส่งตัว กลับไป ซึ่งองค์กรยองชิอูที่ให้การช่วยเหลือแรงงานพม่าในแม่สอดคาด ว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ในจำนวนนั้นจะกลับเข้ามาทำงานในประเทศไทยอีก แน่นอน ในพื้นที่อ.มหาชัย จ.สมุทรสาคร ที่มีแรงงานพม่าจำนวนมาก ในอุตสาหกรรมประมงก็มีการกวาดล้างแรงงานผิดกฎหมายเช่นกัน
25 มีนาคม เป็นอีกวันหนึ่งที่ประวัติศาสตร์แรงงานพม่า ต้อง จารึกไว้ เมื่อสำนักงานคุ้มครองสิทธิแรงงานใน จ.ตาก ซได้ออกคำสั่งให้ บริษัทนาสวัสดิ์อัพพาเรลซึ่งมีโรงงานอยู่ที่ อ.แม่สอด จ่ายเงินชดเชยแก่ แรงงานชาวพม่า 257 คน เป็นเงินจำนวน 16 ล้านบาท นับเป็นคดี แรงงานข้ามชาติที่มีโจทย์มากที่สุด ก่อนหน้านี้ แรงงานดังกล่าวได้เรียก ร้องให้โรงงานจ่ายค่าแรงตามอัตราค่าแรงขั้นต่ำแต่ถูกไล่ออก นอกจากนี้ บริษัทยังได้แจ้งเจ้าหน้าที่และตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ให้เข้าจับกุม แรงงานดังกล่าวอีกด้วย ซึ่งแรงงานดังกล่าวได้ขอความช่วยเหลือจาก สมาคมยองชิอูจนได้รับชัยชนะในที่สุด
นอกจากนี้ ในเดือนสิงหาคมก็มีคดีความที่แรงงานพม่า เป็น ผู้เสียหายและชนะคดีอีกครั้งหนึ่ง โดยครั้งนี้แรงงานจำนวน 18 คนได้ ฟ้องร้องบริษัทนัทสิ่งทอใน อ.แม่สอด ข้อหาบังคับให้ใช้แรงงานหนักเกิน กว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน ตามที่กฎหมายกำหนด และจ่ายค่าแรงเพียงครึ่งหนึ่ง ของค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2545 ก่อนที่ท้ายที่สุด บริษัทดังกล่าว ต้องจ่ายเงินชดเชยแก่แรงงานเป็นจำนวน 1,170,000 บาท โดยมีสมาคมยองชิอู มูลนิธิสุขภาพและแรงงานกลุ่มชาติพันธุ์ สภาทนายความ และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนให้การช่วยเหลือทางกฎหมาย และ ที่พักแก่แรงงานที่ถูกกดขี่
ในช่วงปลายปี สมาคมยองชิอูได้รับรางวัล Justice and Peace จากมูลนิธิ Tji Hak-soon Justice & Peace ของประเทศเกาหลีใต้ประจำปี 2547 ในฐานะต่อสู้เพื่อสิทธิของแรงงานข้ามชาติ ซึ่งเป็นงานที่เสี่ยงอันตรายต่อสวัสดิภาพของตัวเอง
แต่หลังจากข่าวดีเพียงไม่กี่สัปดาห์ ก็เกิดเหตุภัยธรรมชาติที่สร้าง ความสูญเสียให้กับผู้คนเป็นจำนวนมาก ในช่วงสายของวันที่ 26 ธันวาคม คลื่นยักษ์สึนามิได้พัดเข้าถล่มรอบมหาสมุทรอินเดีย และชายฝั่ง อันดามันของประเทศไทย ส่วนหนึ่งในบรรดาของผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บและ ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ดังกล่าว คือ แรงงานพม่าที่เข้ามา ทำงานในอุตสาหกรรมประมงในพื้นที่ ซึ่งตัวเลขแรงงานพม่าที่ขึ้นทะเบียน ใน 6 จังหวัดภาคใต้ ซึ่งมีถึง 6 หมื่นคน โดยในจังหวัดพังงาเพียงแห่งเดียว มีแรงงานพม่าเสียชีวิตถึง 854 คน ซึ่งมีการคาดว่าอาจมีแรงงานพม่า เสียชีวิตรวมทั้งหมดจากโศกนาฏกรรมครั้งนี้ถึง 2,500 ราย ชะตากรรม ของพวกเขากลับถูกกลบด้วยการนำเสนอข่าวด้านลบจากอคติของสื่อ มวลชนที่ตราหน้าแรงงานพม่าเหล่านั้นว่าอยู่ในฐานะ “โจรใจโหด” ที่เข้าไปลักขโมยของผู้ประสบภัย ทำให้แรงงานพม่าไม่ได้รับความ ช่วยเหลืออย่างเท่าเทียมกับเหยื่อของภัยพิบัติในเหตุการณ์เดียวกัน
2548-- ความหวังในการศึกษาของเด็กลูกแรงงานต่างด้าว จากที่เคย เลือนรางเริ่มมีประกายความหวังมากขึ้น เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2548 คณะรัฐมนตรี มีมติให้กระทรวงศึกษาธิการออกระเบียบการรับนักเรียน เข้าศึกษาในสถานศึกษาใหม่ โดยระบุว่า “ทุกคนที่อาศัยอยู่ในประเทศ ไทยสามารถเข้าเรียนได้ โดยไม่จำกัดระดับประเภท หรือพื้นที่การศึกษา ทั้งการรับเข้าเรียน ลงทะเบียนนักเรียน นักศึกษา และการออกหลักฐาน การศึกษาเมื่อสำเร็จการศึกษาแต่ละระดับ” โดยกระทรวงมหาดไทย จะเป็นผู้จัดทำฐานข้อมูล เลขประจำตัว 13 หลัก เกี่ยวกับบุคคลที่ไม่มีหลัก ฐานทะเบียนราษฎร หรือไม่มีสัญชาติไทย สอดคล้องกับพันธะสัญญาที่ ประเทศไทยในฐานะสมาชิกของสหประชาชาติ และเป็นไปตามหลักการของการศึกษาเพื่อปวงชน (Education for All) โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ได้กล่าวถึงการศึกษาของเด็กที่ไม่มีสถานะไว้เมื่อปี 2545 ว่า เด็กๆ เหล่านี้ จะเติบโตขึ้นทุกวัน จึงไม่มีเวลารอผลการตรวจสอบหลักฐานว่า อยู่ใน ประเภทที่ถูกกฎหมายหรือไม่
หลายฝ่ายหวังว่า การศึกษาจะทำให้เด็กๆ เหล่านี้เสี่ยงต่อการ ตกเป็นเหยื่อขบวนการค้ามนุษย์น้อยลง ซึ่งโรงเรียนหลายแห่งให้ความ ร่วมมือเป็นอย่างดี แต่บางพื้นที่ยังไม่ได้นำกฎระเบียบใหม่ดังกล่าว ไปปรับใช้ นอกจากนี้ ยังพบว่ามีเด็กอีกจำนวนมากที่ไม่สามารถคว้าโอกาส นั้นได้เนื่องจากต้องทำงานหาเงินเพื่อช่วยครอบครัว
2549 --ต้นปีในเดือนมีนาคม โรงเรียนที่เปิดสอนเด็กลูกแรงงานอพยพ จำนวน 5 แห่งในอำเภอพบพระ จังหวัดตาก ถูกเจ้าหน้าที่ในพื้นที่สั่งปิด โดยอ้างว่า เปิดสอนโดยไม่ได้รับอนุญาต อาจมีบางวิชาที่ส่งผลกระทบ ด้านความมั่นคงของประเทศจึงต้องสั่งปิด ด้านนายจอน อึ้งภากร สมาชิกวุฒิสภา กล่าวว่า ในขณะที่รัฐบาลกำลังพยายามเปิดโอกาสทางการศึกษาให้เท่าเทียมกันในสังคม การสั่งปิดโรงเรียนทั้ง 5 แห่งจึงเป็น เรื่องที่ไร้เหตุผล ทั้งนี้ คณะกรรมการด้านการศึกษาแรงงานข้ามชาติที่ เป็นผู้ดูแลโรงเรียนดังกล่าวเปิดเผยว่า ได้ส่งเรื่องขออนุญาตไปยังทางการ ก่อนหน้านี้แล้ว แต่ยังไม่ได้รับคำตอบ ในช่วงกลางปี ธนาคารกรุงเทพเปิดโอกาสให้แรงงานข้ามชาติเป็นเจ้าของบัตรเอทีเอ็มและบัตรวีซ่าเป็นครั้งแรก เนื่องในปีครบรอบการ ครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครบ 60 ปี ทั้งนี้แรงงาน ต่างด้าวต้องเป็นผู้ที่ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยสามารถ เปิดใช้ได้ตามปกติ ทั้งนี้บริการดังกล่าวอาจไม่เป็นที่รู้จักในหมู่แรงงาน มากนักแต่ เจ้าหน้าที่มูลนิธิเพื่อสุขภาพและการเรียนรู้ของแรงงานกลุ่ม ชาติพันธุ์ (MAP Foundation) กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ดี เพราะโดยปกติแล้ว แรงงานต่างด้าวจะเก็บสะสมเป็นเงินสด หรือนำไปซื้อทองคำเก็บไว้ ซึ่ง เสี่ยงต่อการสูญหายและไม่ปลอดภัยอย่างยิ่ง
2550-- แรงงานพม่าในจังหวัดภูเก็ต ระนอง และพังงา ก็ต้องพบกับ อุปสรรคครั้งใหม่ เมื่อผู้ว่าราชการของทั้งสามจังหวัดที่กล่าวมา ได้ออก กฎระเบียบใหม่ เช่น ห้ามออกนอกสถานที่ทำงานหรือสถานที่พักอาศัยโดยไม่มีเหตุจำเป็นหลังสองทุ่ม ห้ามขับขี่รถจักรยานยนต์หรือรถยนต์ รวมไปถึงห้ามใช้โทรศัพท์มือถือ หากมีความจำเป็นต้องให้นายจ้างส่ง ข้อมูลรายละเอียดทั้งหมดให้จังหวัด ไม่ว่าจะเป็นชื่อแรงงานผู้ใช้โทรศัพท์ หมายเลขโทรศัพท์ ชื่อเจ้าของเครื่องและซิมการ์ด เป็นต้น นอกจากนี้ ยังห้ามแรงงานชุมนุมนอกที่พักเกินกว่า 5 คน อีกด้วย ซึ่งองค์กรด้านแรงงงาน ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ได้ออกมาเรียกร้องให้ยกเลิก เนื่อง จากเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน นอกจากนี้ ยังอาจเป็นการเพิ่ม ช่องทางให้แรงงานเหล่านั้น ถูกเจ้าหน้าที่รัฐใช้ประโยชน์ในทางมิชอบมากขึ้น
2551 --เริ่มต้นฤดูร้อนกับความตายในห้องเย็น ข่าวรถบรรทุกตู้ห้อง เย็นลักลอบขนแรงงานต่างด้าวชาวพม่าทั้งชายและหญิงจำนวน 121 คน พร้อมกระเป๋าสัมภาระอัดแน่นมาเต็มคันรถ เดินทางมาจากแพปลาแห่ง หนึ่งย่านสะพานปลา อ.เมือง จ.ระนอง โดยที่เพิ่งข้ามฝั่งมาจากเกาะสอง ประเทศพม่า เพื่อเดินทางต่อไปยัง จ.พังงา และภูเก็ต ในช่วงค่ำวันเดียวกัน เคราะห์ร้ายเมื่อเครื่องทำความเย็นเสีย ชาวพม่าจำนวน 54 คน ค่อยๆ เสียชีวิตไปทีละคนเนื่องจากขาดอากาศหายใจ กินเวลาอยู่นานกว่า คนขับรถจะจอดรถมาไขกุญแจประตูรถที่ปิดล็อคจากด้านนอก เหตุการณ์ นี้ สร้างความหดหู่และสะเทือนใจให้กับสังคม และส่งผลให้เกิดการตื่นตัว ตระหนักถึงปัญหาการค้ามนุษย์ในประเทศไทย นอกจากนั้นแล้ว ยังพบว่าในรอบปี 2551 ที่ผ่านมา ยังมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นจากการเดินทางเพื่อย้ายถิ่นของแรงงานทั้งที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมายในลักษณะที่ ใกล้เคียงเช่นนี้อย่างน้อยอีก 6 ครั้ง
ศักราชกลางปี วันที่ 5 มิถุนายน รัฐบาลไทย คลอด พรบ.ป้องกัน และปราบปรามการค้ามนุษย์ ให้มีผลบังคับใช้ ซึ่งมีความครบถ้วนสมบูรณ์ ครอบคลุมการค้ามนุษย์ทุกรูปแบบ มีการระบุโทษหนักและเป็นโทษที่ เทียบเท่ากับอาชญากรรมร้ายแรงอื่นๆ เช่น การข่มขืน แต่ในวันต่อต้าน การค้าแรงงานมนุษย์ ปี 2553 ที่ผ่านมา มูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพ ชีวิตแรงงาน (Labour Rights Promotion Network) ได้ระบุว่า แรงงานชาวพม่า ตกเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์ในประเทศไทยมากที่สุดแม้ว่าการออก พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 ที่มีผล บังคับใช้มากว่า 2 ปี ยังคงเกิดปัญหาการตีความของผู้บังคับใช้กฎหมาย ในเรื่องของคำว่า ผู้เสียหายและองค์ประกอบของการกระทำความผิด จนทำให้ผู้เสียหายหลายรายไม่ได้รับความเป็นธรรม ทั้งนี้ สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป (EU) กำลังออกกฎหมายคว่ำบาตรสินค้าที่เกี่ยวข้อง กับการค้ามนุษย์ กฎหมายดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อสินค้าอาหารทะเล จากประเทศไทย ขณะที่การป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ ได้ถูกกำหนดเป็นวาระแห่งชาติ ที่ต้องแก้ไขและป้องกันอย่างเร่งด่วนแล้ว
ส่งท้ายปลายปี ในเดือนตุลาคมมูลนิธิรักษ์ไทยเปิดเผยว่า แรงงาน หญิงข้ามชาติจากพม่าที่ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมในมหาชัย จ.สมุทรสาคร มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกแก๊งวัยรุ่นชายข่มขืน และถูก ละเมิดทางเพศ เพียงช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ มีแรงงานหญิงชาวพม่า จำนวน 30 คนในพื้นที่มหาชัยถูกข่มขืน เช่นเดียวกับเครือข่ายส่งเสริม คุณภาพชีวิตแรงงานที่ระบุเช่นเดียวกันว่า ในขณะนี้ทางเครือข่ายฯ เอง ก็ได้ดำเนินการสอบสวนผู้ที่ถูกกล่าวหาจำนวน 6 ราย ที่ถูกกล่าวหาว่า มีส่วนร่วมในการข่มขืนแรงงานหญิงพม่า นายสมพงษ์ สระแก้ว ผู้อำนวยการ เครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงานระบุ มีแรงงานหญิงพม่า เฉลี่ยแล้ว จำนวน 2 คน ถูกแก๊งวัยรุ่นข่มขืนทุกๆ เดือน ในขณะที่ทนายความของ มูลนิธิรักษ์ไทยกำลังดำเนินการเรื่องให้กับแรงงานหญิงจำนวน 2 คนที่ อ้างว่าถูกแก๊งค้าขายมนุษย์ข่มขืน โดยทั้งสององค์กรได้โจมตีเจ้าหน้าที่ทางการไทยว่า ไม่ได้ให้ความสนใจคดีแรงงานหญิงพม่าถูกข่มขืนเท่า ที่ควร คิดเป็น 5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยจะติดตาม คดีให้ถึงที่สุด บวกกับความอายและความกลัวที่จะถูกส่งตัวกลับ ประเทศ ทำให้แรงงานหญิงที่เป็นผู้เสียหายเลือกที่จะไม่เปิดเผยเรื่องน
เรื่องน่าละอายใจของคนไทยต่อเยาวชนของชาติก็คือ แก๊งวัยรุ่น ตามท้องถนนทั่วไปแสดงความเห็นในเรื่องนี้ว่า แรงงานหญิงข้ามชาติ จากพม่าเป็นแรงงานที่เข้ามาอย่างผิดกฎหมาย และไม่กลัวว่าจะถูกจับ ถ้าหากได้กระทำความผิดหรือละเมิดทางเพศกับแรงงานหญิงเหล่านี้
วันที่ 9 ธันวาคม ปัญหาการขอขึ้นทะเบียนแรงงานชาวพม่า ที่ยังไม่มีใบอนุญาต ส่งผลให้รัฐบาลประกาศผ่อนผันให้แรงงานดังกล่าว สามารถอยู่อาศัยและทำงานได้เป็นการชั่วคราว โดยมีระยะเวลา ในการผ่อนผันเพิ่มขึ้นเป็นสองปี คือสิ้นสุดปี 2553 โดยคาดว่าการขยาย เวลาจะช่วยให้มีแรงงานมาขึ้นทะเบียนอีกกว่าแสนคน สำหรับแรงงาน ชาวกัมพูชา ได้กำหนดให้การพิสูจน์สัญชาติสิ้นสุดในเดือนธันวาคมของ ปี 2551 แต่ในส่วนของแรงงานลาว ยังต่อเนื่องถึงเดือนธันวาคม ปี 2552 การเปลี่ยนแปลงอีกด้านที่สำคัญคือ แนวปฎิบัติด้านการประกันสุขภาพ ได้เปิดกว้างให้กับแรงงานข้ามชาติและครอบครัวที่ไม่มีเอกสารใดๆ เลย เข้าถึงบริการสุขภาพได้มากขึ้น แต่ทั้งนี้ให้แต่ละสถานบริการพิจารณา ตามความเหมาะสม
2552 -- ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ชายวัยรุ่นแรงงานไทยใหญ่ คนงานก่อสร้าง ถูกตำรวจ จ.เชียงใหม่ จับกุมในข้อหาฆ่าข่มขืนนักศึกษาสาวชั้นปีที่ 3 ของมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ขณะพักผ่อนอยู่ในหอพัก เป็นผลให้นักศึกษาจาก มหาวิทยาลัยแม่โจ้กว่าพันคนรวมตัวกันประท้วงบริเวณบ้านพักคนงาน เพื่อกดดันให้ผู้รับเหมารื้อถอนแคมป์คนงาน ออกจากพื้นที่มหาวิทยาลัย ด้านตัวแทนนักศึกษาจำนวนหนึ่ง ได้รวมตัวกันเดินทางไปยื่นหนังสือ ต่อผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ มีข้อความเรียกร้องให้หน่วยงาน ในจังหวัดที่เกี่ยวข้อง เร่งรัดดำเนินการแก้ปัญหาแรงงานต่างด้าวที่ ผิดกฎหมายอย่างจริงจัง
หลังจากเกิดเหตุ 1 วัน เจ้าหน้าที่จับตัวผู้ก่อเหตุได้หนึ่งคนและ ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ แต่ทว่า ผลกระทบเกิดขึ้นกับแรงงานทุกคน นับจากที่ข่าวถูกนำเสนอออกไป แรงงานชาวไทยใหญ่ที่มีประมาณ 400,000 คน ใน จ.เชียงใหม่ ถูกกวาดล้างจับกุมเพื่อดำเนินส่งกลับครั้งใหญ่ แม้ว่าจะมีบัตรอนุญาตก็ต่างถูกจับกุมไปตรวจสอบ แรงงาน หลายคนถูกเผาที่พัก จึงต้องอาศัยป่ารกร้างเป็นที่หลับนอนและหลบ ซ่อนตัว แต่ก็ยังไม่วายที่เสื้อผ้า ข้าวของที่ซ่อนไว้ในพงหญ้าก็ยังถูกรื้อค้น นำไปเผาจนหมด แรงงานชายชาวไทยใหญ่คนหนึ่งหลบอยู่ในป่ากับลูกสาว วัย 7 ขวบ กล่าวว่า “ตั้งแต่เกิดเรื่องที่แม่โจ้ ทำให้ (แรงงานคนอื่นๆ)เดือดร้อนไปทั้งจังหวัดเชียงใหม่ ต้องหนีมานอนในป่างานก็ไม่ได้ทำ บางวันก็ไม่ได้กินข้าว” ทั้งนี้พบว่าชายแดนบริเวณบ้านหนอกอุก อ.เมืองนะ จ.เชียงใหม่ มีแรงงานชาวไทยใหญ่เดินทางข้ามกลับไป เฉลี่ยวันละ 100 คน จากเหตุการณ์ดังกล่าว
อย่างไรก็ตามในภายหลัง กลุ่มชมรมการศึกษาและศิลปวัฒนธรรม ไทยใหญ่จังหวัดเชียงใหม่ นำโดยนายแสงเมือง มังกร พร้อมด้วย ตัวแทนชมรมผู้ใช้แรงงานไทยใหญ่ในจังหวัดเชียงใหม่ ได้เข้ายื่นหนังสือ ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่เพื่อร่วมประณามชายไทยใหญ่ทั้งสอง คนที่ก่อเหตุ พร้อมวิงวอนภาครัฐเห็นใจแรงงานไทยใหญ่ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะการก่อเหตุครั้งนี้ถือว่าเป็นการกระทำเฉพาะบุคคล เช่นเดียวกันกับ เจ้ายอดศึก ผู้นำกองกำลังกู้ชาติไทยใหญ่ SSA-S และประธานสภา ฟื้นฟูรัฐฉาน RCSS ออกความเห็นในกรณีนี้ว่า แรงงานที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกวาดล้างและจับกุม เพื่อผลักดันให้กลับประเทศจำนวน มาก ซึ่งการกระทำที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล
มาถึงเดือนเมษายน มีรายงานของยูเอ็นออกมาเปิดเผยและ วิพากษ์วิจารณ์ทางการไทยว่า กีดกันแรงงานข้ามชาติและผู้ลี้ภัยจากพม่า ไม่ให้ได้รับความเป็นธรรม ขณะที่ไทยเป็นประเทศปลายทางของแรงงาน ข้ามชาติมากที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ด้านองค์กรเพื่อแรงงานข้ามชาติสากล กล่าวในรายงานฉบับดังกล่าวระบุ ไทยมีแรงงานข้ามชาติมากกว่า 2 ล้าน คนในประเทศ ซึ่งพบว่าขายแรงงานเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม แม้แรงงาน ข้ามชาติเหล่านี้จะมีส่วนช่วยนำรายได้กว่า 2 พันล้านดอลลาร์เข้ามา พัฒนาในภาคเศรษฐกิจของไทยทุกปี แต่กลับพบว่าแรงงานข้ามชาติ จำนวนมากยังคงถูกเอารัดเอาเปรียบและถูกเลือกปฏิบัติ
นางกวี-โยป ซน ผู้แทนสหประชาชาติและหัวหน้าสำนักงาน โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทยกล่าวว่า ไทยนั้นมี กฎหมายคุ้มครองแรงงานข้ามชาติที่น่าเชื่อถือ แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่มี การใช้กฎหมายดังกล่าวให้เป็นรูปธรรม แรงงานมักไม่ได้รับค่าแรงจาก การออกคำสั่งของกฎหมายแรงงาน ในขณะเดียวกันแรงงานไม่กล้าที่จะ ออกมาร้องเรียนความเป็นธรรม เพราะกลัวถูกไล่ออกจากงาน ถูกจับหรือกลัวถูกส่งกลับพม่า ขณะที่พบว่า สองในสามของแรงงาน ข้ามชาติในไทยเป็นแรงงานผิดกฎหมาย และ 80 เปอร์เซ็นต์ มาจาก ประเทศพม่า ทั้งนี้ ยูเอ็นรายงานอีกว่า ขั้นตอนการจดทะเบียนแรงงานข้าม ชาติในไทยเริ่มมีข้อจำกัดเพิ่มมากขึ้น ในเวลาเดียวกันแรงงานที่ไม่มี หลักฐานแสดงตนก็ถูกเอาเปรียบมากขึ้นด้วยเช่นกัน
ดร.โรซาเลีย โชร์ทีโน หนี่งในผู้เขียนรายงานฉบับนี้แสดงความคิด เห็นว่า แนวคิดที่ว่าแรงงานข้ามชาติจะเข้ามาแย่งงานคนไทยนั้นถือเป็น ความคิดที่ผิด เนื่องจากงานที่แรงงานข้ามชาติทำส่วนมากนั้น กลับถูก มองว่าเป็นงานที่ต่ำต้อย และได้เงินเดือนน้อยมากในสายตาของ แรงงานไทย ซึ่งในเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญและควรได้รับการทบทวน อีกครั้งจากทางการไทยและคนไทยเอง ขณะที่กระแสกดดันให้มีการส่งตัว แรงงานข้ามชาติกลับประเทศนั้นเพิ่มสูงขึ้น เพียงเพราะมีการถกเถียงกัน ว่าคนไทยตกงานเพิ่มมากขึ้น “และนี่ก็ไม่ใช่บทพิสูจน์จากประวัติศาสตร์ในอดีต” โชร์ทีโนกล่าว
อย่างไรก็ตามในวันเดียวกัน กระทรวงแรงงานของไทยได้ออกมา ประกาศเช่นเดียวกันว่า จะจดทะเบียนให้กับแรงงานข้ามชาติอีกจำนวน 4 แสนคน ขณะที่งานสำหรับรองรับให้กับแรงงานข้ามชาติส่วนใหญ่ พบว่าเป็นงานที่คนไทยไม่ต้องการที่จะทำ ด้านนางแจคกี้ พอลลอค จากมูลนิธิ MAP ในจังหวัดเชียงใหม่แสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ว่า “มัน เป็นเรื่องที่ดีสำหรับรัฐบาลไทยที่จะยอมรับความต้องการของแรงงาน ข้ามชาติ แต่ในเวลาเดียวกันรัฐบาลไทยก็ควรยุติมาตรการปราบปราม แรงงานข้ามชาติผิดกฎหมายที่กำลังเกิดขึ้นในขณะด้วยเช่นกัน”
ในขณะที่ผู้ลี้ภัยจำนวนนับพันจากพม่ายังคงหนีจากการถูก กดขี่ข่มเหงและความยากจนเข้ามายังประเทศไทย และไทยเองมีผู้ลี้ภัย จากพม่าจำนวน 150,000 คน โดยอาศัยอยู่ตามตะเข็บชายแดนไทย – พม่า ผู้ลี้ภัยบางส่วนได้รับความช่วยเหลือจากยูเอ็นในการย้ายไปอยู่และ เริ่มต้นชีวิตใหม่ในประเทศที่สาม
และนับตั้งแต่ปี 2547 – 2550 สหรัฐได้รับผู้ลี้ภัยกลุ่มใหญ่ ที่ อาศัยอยู่ในประเทศไทยจำนวนกว่า 3 หมื่นคน ซึ่งพบว่ามีทั้งม้งใน ประเทศลาวและผู้ลี้ภัยจากพม่า อย่างไรก็ตาม ในรายงานของยูเอ็นยัง โจมตีทางการไทยว่า ยังจำกัดและกีดกันไม่ให้เจ้าหน้าที่ของยูเอ็นเข้าถึง ผู้ลี้ภัยบางกลุ่ม เช่นกลุ่มชาวไทใหญ่ ม้ง โรฮิงยาและเกาหลีเหนือ เป็นต้น ในเรื่องนี้ ยูเอ็นได้กำลังสนับสนุนให้ไทยยืนยันในการประชุมระหว่าง ประเทศว่า ทางการไทยจะดำเนินการคุ้มครองแรงงานข้ามชาติและ ผู้ลี้ภัย และอนุญาตให้หน่วยงานของยูเอ็นสามารถเข้าถึงผู้ลี้ภัยได้อย่างเสรีมากขึ้น
2553 --ปลายเดือนมกราคม เกิดเหตุสังหารหมู่ชาวกระเหรี่ยง 9 ศพ ใน จ.ตาก เป็นข่าวดังเนื่องด้วยมีเจ้าหน้าที่ของไทยเข้าไปเกี่ยวข้องกับ การเสียชีวิตครั้งนี้ รายงานข่าวระบุว่าเจ้าหน้าที่ได้ออกหมายจับฆาตกร โหดจำนวน 5 คน ซึ่งเป็นอดีตทหารจีนฮ่อ กองพล 93 โดยมีหัวโจก เป็นตำรวจในพื้นที่ ดต.สมชาย ปิ่นแก้ว หัวหน้าตู้ยาม กม.48 สังกัด สภ.พบพระ ซึ่งชิงฆ่าตัวตายหนีความผิดไปแล้ว หลังสารภาพกับเพื่อน ตำรวจและผู้บังคับบัญชา
เหตุดังกล่าวเกิดในพื้นที่ อ.พบพระ และรอยต่อ อ.แม่สอด จ.ตาก โดยกลุ่มที่ก่อเหตุได้ไปดักรอจับแรงงานต่างด้าวเพื่อเรียกเงิน แต่แรงงานต่างด้าววิ่งหนี เมื่อติดตามจับกุมตัวมาได้จึงได้ฆ่าและนำศพไปทิ้งเพื่ออำพรางคดี สำหรับผู้ต้องหาที่หลบหนีซึ่งเป็นอดีตทหาร จีนฮ่อและมูเซอ ทั้ง 5 คนนั้น ได้เร่งติดตามมาดำเนินคดีให้เร็วที่สุด
16 กุมภาพันธ์ 2553 เครือข่ายภาคประชาชนโครงการ ตาสับปะรดจังหวัดระนอง ทำหนังสือถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เนื่องจาก ไม่เห็นด้วยกับการอนุญาตให้พม่าทำใบขับขี่
ด้วยประกาศของกรมการขนส่งทางบก ปรับระเบียบให้คนต่างด้าว 14 กลุ่ม ทำใบขับขี่ได้แต่ต้องยื่นคำขอ ณ สำนักงานขนส่งจังหวัดตามที่ระบุ ไว้ในใบรับรองถิ่นที่อยู่เท่านั้น ส่วนชาวต่างชาติ หรือบุคคลสัญชาติพม่า ที่มีเอกสารแสดงตนและใบรับรองถิ่นที่อยู่ครบถ้วนตามกฎกระทรวง สามารถทำใบขับขี่ได้ทุกสำนักงานขนส่งทั่วประเทศ
จากการเฝ้าสังเกตการณ์ออกปฏิบัติหน้าที่ และการรับข้อมูลจาก เพื่อนสมาชิกและประชาชนของเครือข่ายภาคประชาชนฯ ก็พบว่า มีอุบัติเหตุจากการขับขี่ด้วยความเร็ว ประมาท รวมถึงการอ่านหนังสือภาษา ไทยไม่ได้ ประกอบกับการใช้เส้นทางการจราจรของไทยที่ผิดกับประเทศพม่า จึงมีการขับรถย้อนศรและขับรถผิดกฎจราจร เมื่อเกิดอุบัติเหตุไม่สามารถ หาผู้รับผิดชอบได้เพราะแรงงานชาวพม่าเหล่านี้ต่างหลบหนี และหากมี ใบอนุญาตขับขี่ อาจทำให้สิ่งผิดกฎหมาย เช่นยาเสพติด สามารถเล็ดลอด ไปสู่พื้นที่อื่นต่อไปได้ ซึ่งเหตุนี้ถือว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงอย่างยิ่ง
แต่ทั้งนี้ บุคคลต่างด้าวที่หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย กลุ่มอื่นๆ ขณะนี้ยังไม่มีนโยบายของรัฐบาลในการให้สถานะแก่กลุ่ม บุคคลดังกล่าว เนื่องจากยังมีประเด็นปัญหาเกี่ยวกับผลกระทบด้าน ความมั่นคงของประเทศ
9 มกราคม 2553 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเรื่องการขยาย เวลาการพิสูจน์สัญชาติ และการผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักร แก่แรงงานต่างด้าว ต่อมาในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายนได้มีการ ดำเนินงานต่างๆ เกี่ยวกับการพิสูจน์สัญชาติ กรมการจัดหางาน ได้ร่วมประชุมกับบริษัทนายหน้า 12 แห่ง ซึ่งมีมติร่วมกันว่า ค่าธรรมเนียมการพิสูจน์สัญชาติจะไม่เกินกว่า 5,000 บาท ต่อคน ถ้าบริษัทใดคิดค่าธรรมเนียมเกินกว่ากำหนด กรมการจัดหางานจะแจ้งต่อสถานทูตพม่าให้คัดชื่อบริษัทนั้น ออกจากบัญชีรายชื่อบริษัท นายหน้าพิสูจน์สัญชาติ ทั้งนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานไทย ได้เจรจาเรื่องค่าธรรมเนียมใหม่ดังกล่าวกับรัฐบาลพม่าแล้ว
กระทรวงแรงงานได้จัดพิมพ์แผ่นพับ “ไม่มีการถูกเรียกเก็บภาษี ไม่มีการถูกตรวจจับ ไม่มีการถูกจับกุม” เป็นภาษาไทยและภาษาพม่า เพื่อแจกให้นายจ้างและสำนักจัดหางานจังหวัด ข้อความในแผ่นพับ นี้อ้างถึงคำแถลงของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศพม่า ในการประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่ไทย เมื่อวันที่ 10-11 ตุลาคม 2552 ซึ่งมีข้อความว่าทางการพม่าจะไม่ลงโทษ หรือเก็บภาษีญาติพี่น้องของ แรงงานพม่า ดังนั้นแรงงานที่ได้เดินทางกลับไปพิสูจน์สัญชาติในฝั่งพม่า จะได้รับหนังสือเดินทางชั่วคราว และสามารถเดินทางกลับมาประเทศไทย ได้โดยไม่ถูกจับกุม หากมีการจับกุมหรือเรียกเก็บภาษีก็สามารถแจ้งต่อ สถานทูตพม่าได้