ขณะที่หลายๆ ประเทศจัดการเลือกตั้งไปแล้วหลายครั้ง หรือเปลี่ยนผู้นำไปแล้วหลายคนในรอบ 8 ปีที่ผ่านมา แต่สถานการณ์การเมืองในพม่ายังคงย่ำอยู่กับที่ ภายใต้ระบอบรัฐบาลเผด็จการทหาร ชุดตานฉ่วย หรืออาจกล่าวได้ว่า การเมืองในพม่าต้องหยุดชะงักงันนับตั้งแต่ทหารเข้ายึดอำนาจ เมื่อปี 2505 รัฐบาลทหารชุดปัจจุบันเปรียบเหมือนนายทหารรุ่นลูก ที่สืบทอดอำนาจจากผู้นำ เผด็จการคนก่อนๆ แม้จะไม่ได้สืบเชื้อสายมาจากสายเลือดโดยตรง แต่แนวความคิดเผด็จการ ละโมบในอำนาจ และอุดมการณ์ชาตินิยมกลับได้รับการถ่ายทอดมายังรัฐบาลในชุดปัจจุบัน
ด้วยความเชื่อที่ว่า ทหารเป็นผู้กอบกู้เอกราชและเป็นวีรบุรุษ มีเพียงรัฐบาลทหารเท่านั้นที่จะ สามารถทำให้ประเทศนี้สงบด้วยการใช้วิธีการบังคับข่มขู่ และใช้ความรุนแรงเข้าควบคุม โดยที่ไม่ยอมรับ แนวทางรูปแบบสันติวิธี แนวทางประชาธิปไตย และการเจรจากับทุกฝ่ายที่มีส่วนได้ส่วนเสีย ในปัญหาการเมือง ในพม่าและชนกลุ่มน้อย จึงทำให้การเมืองของประเทศพม่าไม่สามารถหาทางออกได้จนถึงทุกวันนี้
ประชาธิปไตยยังมืดมัว
เมื่อวันที่ 30 พ.ค.ปี 2546 เกิดเหตุการณ์เดพายินในภาคสะกาย ซึ่งเป็นเแผนการพยายามลอบสังหารนางซูจี โดยการปะทะกันระหว่างกลุ่ม ผู้ติดตามนางอองซาน ซูจี และกลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาล มีผู้เสียชีวิตใน เหตุการณ์ครั้งนั้นจำนวนกว่า 70 คน รัฐบาลอ้างว่านางซูจีเป็นภัยต่อความ มั่นคงของชาติและสั่งกักบริเวณนางซูจีเป็นเวลา 6 ปี แต่การกักบริเวณก็ยังดำเนินมาจนถึงทุกวันนี้ ในเวลาเดียวกัน รัฐบาลยังเดินหน้าจับกุม นักเคลื่อนไหวที่ไม่เห็นด้วยอย่างต่อเนื่อง
อีกเหตุการณ์หนึ่งที่หลายคนให้ความสนใจเกิดขึ้นในปี 2547 เมื่อ พลเอกขิ่นยุ้นต์ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ผู้นำหน่วยข่าวกรองและ ผู้นำอันดับสามของรัฐบาลพม่าในขณะนั้นถูกปลดออกจากตำแหน่ง กลางอากาศ พร้อมกับยกเลิกสำนักงานหน่วยข่าวกรองที่ก่อตั้งมากว่า 20 ปี ซึ่งเป็นฐานอำนาจของนายพลท่านนี้อย่างชนิดที่เรียกว่าถอนรากถอนโคน
แม้การปลดขิ่นยุ้นต์จะถูกอ้างว่าทำความผิดในข้อหาทุจริต แต่มี ผู้วิเคราะห์ว่าน่าจะมาจากความหวาดระแวงของนายพลตานฉ่วยและ นายพลหม่องเอที่ว่า ขิ่นยุ้นต์จะขึ้นมาเป็นผู้นำคนใหม่ เพราะขณะนั้นเขา และหน่วยข่าวกรองของเขากำลังมาแรงและมีอิทธิพลเทียบเท่ากับ 1 เหล่าทัพ ในกองทัพพม่าในช่วงเวลานั้น และในระหว่างที่ดำรงตำแหน่ง ขิ่นยุ้นต์ได้ประกาศที่จะดำเนินการแผนปรองดองแห่งชาติ หรือโรดแมพ (Road Map) ซึ่งหลายฝ่ายต่างมีความหวังอยากเห็นการเจรจาเกิดขึ้นในพม่า
อย่างไรก็ตาม หลังการปลดขิ่นยุ้นต์ สถานการณ์ของชนกลุ่มน้อย ระส่ำระสายอยู่ไม่น้อย เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า ในยุคที่เขามีอำนาจ เป็น ช่วงเวลาที่ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลพม่าและชนกลุ่มน้อยผ่อนคลาย มากที่สุด โดยใช้นโยบายเจรจากับชนกลุ่มน้อย ช่วงเวลานั้นจึงมีชนกลุ่ม น้อยติดอาวุธหลายกลุ่ม ตบเท้าขอเข้าเจรจาและทำสัญญาหยุดยิงร่วมกับ รัฐบาลพม่า ไม่เว้นแม้แต่กองกำลังสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยงหรือเคเอ็นยู ที่เป็นกลุ่มที่ต่อสู้กับรัฐบาลมายาวนาน ก็เคยตกลงทำสัญญาที่ชื่อว่า “สัญญาสุภาพบุรุษ” กับรัฐบาลพม่าอย่างไม่เป็นทางการมาแล้วเมื่อเดือน มกราคม ปี 2547 แต่สัญญาฉบับนี้ก็ต้องหยุดชะงักลงหลังการปลดขิ่นยุ้นต์ พร้อมกับตามมาด้วยการที่กองทัพพม่าเข้าโจมตีพื้นที่ของเคเอ็นยู ในรัฐกะเหรี่ยงอย่างหนักหน่วง
ในปี 2548 ข่าวการย้ายเมืองหลวงจากกรุงย่างกุ้งไปยังอำเภอ ปินมะนา ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของกรุงย่างกุ้งไป 350 กิโลเมตรได้กลาย เป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ในสังคมโลกอีกประเด็นหนึ่งเกี่ยวกับพม่า รัฐบาลพม่าได้ตั้งชื่อเนปีดอว์ เป็นชื่อเมืองหลวงแห่งใหม่ นอกจากนี้ยัง ได้ทุ่มงบประมาณมหาศาลในการเนรมิตเมืองหลวงแห่งใหม่นี้ พร้อมๆ กับที่ข่าวการเกณฑ์บังคับชาวบ้านไปสร้างเมืองหลวงแห่งใหม่ก็ออกมา เป็นระยะๆ มีการวิเคราะห์กันว่า สาเหตุการย้ายเมืองหลวงแห่งใหม่นี้ เป็นเพราะที่ตั้งของเมืองหลวงได้เปรียบในทางภูมิศาสตร์และยุทธศาสตร์ ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างกรุงย่างกุ้งและจังหวัดมัณฑะเลย์ รวมถึงใกล้กับเขตพื้นที่ ชนกลุ่มน้อย สามารถควบคุมชนกลุ่มน้อยได้ง่ายขึ้น
อีกข้อสันนิษฐานหนึ่งของการย้ายเมืองหลวงก็คือ การป้องกัน ประเทศจาการรุกรานต่างชาติ โดยเฉพาะจากอเมริกา ศัตรูหมายเลข 1 ของรัฐบาล และในปีเดียวกัน ได้เกิดข่าวลือว่าตานฉ่วยป่วยหนักและถูก ปลดออกจากตำแหน่งผู้นำประเทศแล้ว แต่ข่าวนี้ก็ไม่ได้เป็นความจริงแต่ อย่างใด แต่ก็มีข่าวลือหนาหูออกมาอีกเช่นกันว่า การย้ายเมืองหลวงหรือ ข่าวตานฉ่วยป่วยหนัก ล้วนแล้วแต่ได้รับคำแนะนำจากหมอดูประจำตัว แทบทั้งสิ้น โดยเฉพาะข่าวหลังที่กุว่าตานฉ่วยป่วยหนักนั้น ถือเป็นการ สะเดาะเคราะห์อย่างหนึ่งที่หมอดูเป็นผู้แนะนำตานฉ่วยด้วยเช่นกัน
ปี 2549 รัฐบาลยกเลิกข้อตกลงหยุดยิงกับเคเอ็นยู และเริ่มใช้วิธีการ โจมตีอย่างต่อเนื่องทางภาคตะวันตก และภาคเหนือของรัฐกะเหรี่ยงรวมถึง ในเมืองตองอู ภาคพะโคอย่างต่อเนื่อง เป็นผลให้ชาวบ้านในพื้นที่ต้อง ย้ายถิ่นฐานจำนวนกว่า 82,000 คน บางส่วนต้องกลายเป็นผู้พลัดถิ่นภายใน ประเทศ ที่ต้องอาศัยอยู่ในป่า ในเวลาเดียวกันชาวกะเหรี่ยงต้องสูญเสีย นายพลโบเมียะ ผู้นำสูงสุดของเคเอ็นยู ซึ่งนับเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ สำหรับชาวกะเหรี่ยง
กองกำลังเคเอ็นยูซึ่งเคยได้ชื่อว่าเป็นกองกำลังที่เข้มแข็งที่สุดเริ่ม อ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด หลังจากที่ค่ายมาเนอร์ปลอว์ ศูนย์บัญชาการสำคัญ ของเคเอ็นยูถูกกองทัพพม่าตีแตก กองกำลังดีเคบีเอหรือกองกำลังกะเหรี่ยง พุทธ (Democratic Karen Buddhist Army - DKBA) ที่แยกตัวออกจาก เคเอ็นยูและหันไปจับมือกับรัฐบาลพม่า ก็ปะทะกับเคเอ็นยูอยู่บ่อยครั้ง ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เช่นเดียวกับที่ฐานที่มั่นของเคเอ็นยูหลายแห่งถูกยึด จึงทำให้เคเอ็นยูจำต้องปรับวิธีการเคลื่อนไหว และต่อสู้โดยใช้ยุทธวิธี แบบกองโจร
ในอีกด้านหนึ่ง รัฐบาลยังคงใช้นโยบายตัด 4 คือ 1.ตัดอาหาร 2.ตัดเงินช่วยเหลือ 3.ตัดข้อมูลข่าวสาร 4.ตัดกำลังพล ในพื้นที่เคลื่อนไหว ของชนกลุ่มน้อยที่ยังจับปืนสู้กับรัฐบาลอย่างเคเอ็นยู กองกำลัง SSA – S ภายใต้การนำของเจ้ายอดศึก และพรรคก้าวหน้าแห่งชาติคะเรนนี (Karenni National Progressive Party) และชนกลุ่มน้อยกลุ่มอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง โดยผลกระทบจากนโยบายนี้ตกมาอยู่ที่ชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ เพราะหมู่บ้านใด ที่ถูกสงสัยว่าเกี่ยวข้อง และให้การสนับสนุนกองกำลังชนกลุ่มน้อยที่เป็น ปรปักษ์กับรัฐบาล มักถูกทหารเข้าโจมตี สังหารชาวบ้าน เผาบ้านและเผา ทำลายพื้นที่ทำกินของชาวบ้าน ซึ่งเป็นปัญหานี้เป็นปัญหาที่ชนกลุ่มน้อย ต้องเผชิญมาโดยตลอด นับตั้งแต่ทหารพม่าเข้ามาประจำในพื้นที่ชนกลุ่มน้อย โดยเฉพาะในรัฐกะเหรี่ยง รัฐฉาน รัฐมอญ และรัฐคะเรนนี ในขณะเดียวกัน สถานการณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อกลุ่มน้อย โรฮิงยา ในรัฐอาระกันก็เลวร้ายไม่แตกต่างกัน เพราะประชาชนยังคงไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะแต่งงานหรือซ่อมรั้วบ้าน
จากเหตุประท้วงใหญ่ ไปสู่แผนปรองดองแห่งชาติ(จอมปลอม)
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายอำนาจและบททดสอบความแข็งแกร่งของรัฐบาลพม่าก็เกิดขึ้นอีกครั้ง โดยที่ไม่ใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น ในเดือนสิงหาคม – กันยายน ปี 2550 หลังรัฐบาลขึ้นราคาน้ำมันและเชื้อเพลิงเป็น 500 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้เกิดความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า รถโดยสารไม่สามารถให้บริการแก่ประชาชน เพราะทนแบกค่าน้ำมันเชื้อเพลิงไม่ไหว ในขณะเดียวกันราคาอาหารปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน เชื้อเพลิง ทำชาวบ้านแทบจะอดตาย ความเดือดร้อนเรื่องเศรษฐกิจและปากท้องลุกลามไปเป็นการประท้วงใหญ่ในกรุงย่างกุ้ง และเมืองหลักๆ โดยมีผู้เข้าร่วมนับแสนคนที่ไม่เคยเกิดขึ้นตลอดในช่วงระยะเวลา 19 ปีที่ผ่านมา นำโดยพระสงฆ์ แกนนำนักศึกษาในปี 1988 (2531) และนักเคลื่อนไหว เพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยที่เป็นสมาชิกของพรรคเอ็นแอลดี
ในช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์ประท้วง ได้เกิดกระแสข่าวลือการแตกคอในผู้นำระดับสูงในกองทัพ เมื่อนายพลหม่องเอไม่ต้องการให้ใช้ ความรุนแรงต่อกลุ่มผู้ชุมนุม ขณะที่นายพลอาวุโสต้องการใช้ความรุนแรงเพื่อจัดการกับกลุ่มผู้ชุมนุม โดยนายพลหม่องเอซึ่งถูกแต่งตั้งให้ดูแล และแก้ไขปัญหานี้ ไม่สามารถทำให้เหตุการณ์เข้าสู่ภาวะปกติได้ จนทำให้นายพลอาวุโสตานฉ่วยต้องลงมาจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ในช่วงเวลานั้น ผู้นำรัฐบาลต่างวิตกกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และความไม่มั่นคงทางอำนาจการเมืองของตนอยู่ไม่น้อย เห็นได้จากนายพลตานฉ่วยรีบส่งครอบครัว เดินทางออกจากพม่าทันทีระหว่างที่เกิดเหตุการณ์ประท้วง แต่ท้ายที่สุดแล้ว เหตุการณ์ประท้วงก็จบลงด้วยการที่รัฐบาลใช้กำลังปราบปราม ซึ่งมีการเรียกทหารชุดเดียวกันกับที่ใช้ปราบการประท้วงใหญ่เมื่อปี 1988 (2531) จากรัฐกะเหรี่ยงมาปราบกลุ่มผู้ชุมนุมในย่างกุ้ง จน เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตจำนวน 13 คนตามคำกล่าวอ้างของรัฐบาล แต่สื่อนอกชี้ตัวเลขผู้เสียชีวิตน่าจะสูงกว่าที่รัฐบาลออกมาระบุ
วิจารณ์อย่างหนักจากนานาชาติ และเพื่อเป็นการลดแรงกดดันจากภายนอก รัฐบาลพม่าประกาศเดินหน้าแผนโรดแมพ 7 ขั้นตอนที่จะนำไปสู่ ประชาธิปไตยอีกครั้ง พร้อมๆกับที่แต่งตั้งพลโทเต็งเส่งรับตำแหน่งเป็น นายกคนใหม่แทนพลโทโซวินที่เสียชีวิตจากโรคมะเร็งในเม็ดเลือดขาว นอกจากนี้รัฐบาลได้จัดการประชุมสมัชชาแห่งชาติเพื่อเร่งร่างรัฐธรรมนูญ ให้แล้วเสร็จ โดยมีการเชิญตัวแทนจากหลายฝ่าย ทั้งจากพรรคการเมือง และตัวแทนชนกลุ่มน้อยเพื่อช่วยกันร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ ในเวลา เดียวกันรัฐบาลยังสร้างภาพเกณฑ์ชาวบ้านทั่วประเทศสนับสนุนแผน โรดแมพนี้
ในปี 2551 (2008) รัฐบาลได้ออกมาประกาศรัฐธรรมนูญปี2008 หลังจากที่ใช้เวลาร่างนานถึง 14 ปี แต่กลับพบว่าเนื้อหาในรัฐธรรมนูญ ฉบับนี้เอื้อประโยชน์ให้แก่รัฐบาลพม่าเพียงฝ่ายเดียว เช่น รัฐธรรมนูญ กำหนดให้ที่นั่งในสภาจำนวน 25 เปอร์เซ็นต์ถูกจองไว้เป็นของทหารที่มา จากการแต่งตั้ง และยังระบุว่า หญิงพม่าที่แต่งงานกับชาวต่างชาติจะไม่ สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งได้เป็นต้น เนื้อหาในรัฐธรรมนูญยังแสดงให้ เห็นว่า พุ่งเป้าแล่นงานนางอองซาน ซูจี หัวหน้าพรรคเอ็นแอลดีโดยตรง นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญปี 2551 ของรัฐบาลยังไม่ทำตามข้อเสนอของ หลายฝ่าย รวมทั้งข้อเสนอของชนกลุ่มน้อยอีก 38 ข้อที่ได้เสนอไป ก่อนหน้านี้
ในปีเดียวกันนี้ ชาวกะเหรี่ยงยังต้องสูญเสียพะโด่ ม่านชา ผู้นำอันดับสองของเคเอ็นยูในฐานะเลขาธิการเคเอ็นยู ซึ่งเป็นผู้ที่มีบทบาท สำคัญหลังการสูญเสียนายพลโบเมียะ และกำลังจะก้าวขึ้นไปเป็น ผู้นำเคเอ็นยูในอีกไม่ช้าได้ถูกลอบสังหารในบ้านพักที่ อ.แม่สอด โดยสันนิษฐานว่า กองกำลังกะเหรี่ยงพุทธหรือดีเคบีเอและรัฐบาลพม่า น่าจะอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ เนื่องจากเคเอ็นยูไม่อนุญาตให้มีโครงการ สัมปทานป่าไม้ โครงการขยายถนน และโครงการเขื่อนฮัตจีในเขตของ เคเอ็นยู ซึ่งไปขัดผลประโยชน์รัฐบาลพม่าและดีเคบีเอโดยตรง
ในต้นเดือนพฤษภาคมของปีเดียวกัน ได้เกิดภัยพิบัติพายุไซโคลน นาร์กีสเข้าพัดถล่มในพื้นที่ปากแม่น้ำอิรวดี จนทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวน 140,000 คน ประชาชนได้รับความเดือดร้อนราว 2.4 ล้านคน หลายๆองค์กรนานาชาติสากล รวมถึงหลายประเทศได้ยื่นมือเพื่อที่จะ เข้าไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย แต่ก็ถูกรัฐบาลกีดกัน เนื่องจากหวั่นต่างชาติ จะเข้าแทรกแซงกิจการภายในประเทศ เช่นไม่ยอมให้เรือรบของอเมริกา และฝรั่งเศสนำสิ่งของและเตรียมเข้ามาช่วยเหลือชาวบ้านที่ประสบภัย ตามมาด้วยการจับกุมเจ้าหน้าที่ภาคประชาสังคม นักเคลื่อนไหว รวมถึง นักข่าวที่เข้าไปในพื้นที่ประสบภัยนาร์กิส แม้จะเพิ่งเกิดเหตุภัยพิบัติ รัฐบาล ก็ยังเดินหน้าจัดการลงประชามติขึ้นทั่วประเทศ ไม่เว้นแต่ในพื้นที่ ที่เพิ่งประสบภัยพิบัตินาร์กิส ผลการลงประชามติ รัฐบาลอ้างว่า มีประชาชน เห็นชอบกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ถึงร้อยละ 92.4 หรือ 20,786,596 คน จากจำนวนผู้มาใช้สิทธ์ิ 22 ล้าน ซึ่งผู้สังเกตการณ์หลายฝ่ายมองว่า ไม่โปร่งใสและไม่ให้เสรีภาพแก่ประชาชนในการลงเสียง เหตุการณ์ครั้งนี้ ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อีกครั้งหนึ่ง
ต่ออายุกักขังซูจี กดดันชนกลุ่มน้อย
ต้นเดือนพฤษภาคม 2552 ข่าวชายอเมริกันลักลอบว่ายน้ำเข้าไป ยังบ้านพักของนางอองซาน ซูจี หัวหน้าพรรคเอ็นแอลดี ที่ถูกสั่งกักบริเวณ สร้างความฮือฮาไปทั่วโลกอีกครั้ง ชายอเมริกันที่ว่านี้คือนายจอห์น วิลเลี่ยม เยตตอว์ เขาถูกจับทันทีและนางซูจีถูกนำตัวไปไต่สวนในศาล พิเศษในเรือนจำอินเส่ง และถูกตั้งข้อหาละเมิดกฎการกักบริเวณ แต่การ พิพากษาคดีก็ต้องถูกเลื่อนไปหลายครั้ง เนื่องจากรัฐบาลถูกกดดันจาก นานาชาติโดยกล่าวหาว่า รัฐบาลไม่มีความยุติธรรม
ในช่วงเวลาที่มีการไต่สวนคดีนางซูจี พบว่ามีชาวพม่ามาให้กำลัง ใจอยู่หน้าเรือนจำอินเส่งเป็นจำนวนมาก ในขณะเดียวกันมีการประท้วง ทั่วโลกจากผู้สนับสนุนของนางซูจี ที่เรียกร้องให้ปล่อยตัวนางซูจี ด้าน ยูเอ็นและประเทศตะวันตกเรียกร้องให้รัฐบาลปล่อยตัวนางซูจีด้วย เช่นกัน และเรียกร้องให้รัฐบาลหันหน้าเจรจากับทุกฝ่าย แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะท้ายที่สุดเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม รัฐบาลสั่งจำคุกนางซูจี ข้อหา ละเมิดกฎกักบริเวณ 3 ปี แต่ลดโทษเหลือ 1 ปี 6 เดือน แม้ในช่วงที่ผ่านมา ทางรัฐบาลจะส่งนายอ่องจี รัฐมนตรีกระทรวงแรงงานพบปะกับหัวหน้า พรรคเอ็นแอลดีอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่มีความคืบหน้า เพราะรัฐบาลไม่มี ความจริงใจที่จะร่วมเจรจาอย่างจริงจัง แต่ทำไปเพื่อลดแรงกดดันจาก ภายนอกเพียงแค่นั้น
อีกเหตุการณ์หนึ่งที่รัฐบาลเร่งดำเนินการอย่างเร่งรีบ หลังการ ร่างรัฐธรรมนูญเสร็จและเป็นหนึ่งในแผนปรองดองแห่งชาติ ก็คือการ เจรจากับกลุ่มติดอาวุธชนกลุ่มน้อยที่ทำสัญญาหยุดยิงกับรัฐบาลทั้ง 13 กลุ่ม ให้ถ่ายโอนอำนาจเป็นกองกำลังรักษาชายแดน (Border Guard Force – BGF) ก่อนการเลือกตั้ง ทั้งนี้ กองกำลัง BGF ที่ว่านี้ ในแต่ละ กองพันจะประกอบด้วยทหาร 326 คน มีผู้บังคับบัญชา 3 ระดับ โดย ผู้บังคับบัญชาสูงสุดจะได้รับการแต่งตั้งจากกองทัพพม่า นอกจากนี้ ยังมีเจ้าหน้าที่ชาวพม่าอีก 30 คนที่ได้รับการคัดเลือกจากรัฐบาล เพื่อมา ทำหน้าที่ตามแผนกต่างๆ อย่างไรก็ตามรูปแบบของกองกำลัง BGF กลับ ไม่ได้รับการยอมรับจากชนกลุ่มน้อยติดอาวุธ เนื่องจากจะทำให้กองทัพ เหล่านี้ถูกควบคุมโดยกองทัพพม่าและอยู่ภายใต้รัฐบาลพม่าโดยสิ้นเชิง
กลุ่มติดอาวุธอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ยอมรับข้อเสนอก็คือ กองกำลังโกก้าง (MNDAA-Myanmar National Democratic Alliance Army) ที่มีเขตพื้นที่ อยู่ในภาคเหนือของรัฐฉานติดกับชายแดนจีน ทำให้ภายหลังถูกกองทัพ พม่าเข้าโจมตีอย่างราบคาบเมื่อปลายเดือนสิงหาคม 2552 ที่ผ่านมา แม้หลายคนกล่าวว่า เหตุการณ์ครั้งนี้เหมือนเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู ให้ แก่กลุ่มติดอาวุธกลุ่มอื่นๆ แต่หลายฝ่ายเชื่อน่าจะมีสาเหตุมาจากการ ขัดแย้งทางผลประโยชน์ธุรกิจรวมอยู่ด้วย
อีกข่าวหนึ่งที่น่าสนใจในปี 2552 คือภาพอุโมงค์ลับในพม่าที่ถูก เปิดโปงออกมาจากสำนักข่าวนอกประเทศอย่างดีวีบี (Democratic Voice of Burma) และภาพความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีเหนือและพม่า สร้าง ความไม่พอใจให้กับรัฐบาลพม่าเป็นอย่างมาก ถึงขั้นสั่งประหารและจำคุก ตลอดชีวิตเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ในการเผยแพร่ภาพลับให้กับสำนัก ข่าวนอกประเทศครั้งนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีเหนือและพม่าได้รับ การจับตามองจากนานาชาติ โดยเฉพาะจากสหรัฐอเมริกาอย่างใกล้ชิด มีรายงานว่า เกาหลีเหนือได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีนิวเคลียร์และทางทหาร ให้แก่รัฐบาล ยังมีรายงานออกมาอีกว่าในแต่ละปีรัฐบาลยังได้ส่งเจ้าหน้าที่ ไปศึกษาเทคโนโลยีนิวเคลียร์ในเกาหลีเหนือและรัสเซีย และจนถึงขณะนี้ พม่ามีเจ้าหน้าที่ทหารที่จบจากรัสเซียที่เดียวอย่างน้อยกว่า 2,000 คนแล้ว
เตรียมเลือกตั้ง
ปี 2553 นายพลอาวุโสตานฉ่วยออกมาประกาศแล้วว่า จะจัดการ เลือกตั้งอย่างแน่นอน พร้อมระบุกองทัพจำเป็นต้องเข้ามายุ่งในการเมือง และในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา รัฐบาลได้ประกาศกฎหมายเลือกตั้งและ แต่งตั้งคณะกรรมการเลือกตั้งขึ้นเพื่อทำหน้าที่และดูแลการเลือกตั้ง ที่กำลังจะมาถึง อย่างไรก็ตาม เนื้อหาในกฎหมายเลือกตั้งกลับกีดกัน นางซูจี และนักโทษทางการเมืองจำนวนกว่า 2 พันคนไม่ให้เข้ามามีบทบาท ทางการเมืองได้อีกครั้ง อีกทั้งยังทำให้พรรคการเมืองยืนข้างประชาธิปไตย อย่างพรรคเอ็นแอลดีและอีกหลายพรรคจำต้องปิดตัวลง เพราะเนื้อหา กฎหมายระบุว่า บุคคลใดที่ต้องโทษจำคุกไม่สามารถจัดตั้งพรรคการเมือง และลงเลือกตั้งได้ หรือพรรคการเมืองใดที่มีสมาชิกพรรคถูกจำคุกก็ไม่ สามารถลงเลือกตั้งได้เช่นกัน กฎหมายฉบับนี้สะเทือนถึงสถานภาพ ของพรรคเอ็นแอลดีทันที เพราะเป็นทราบกันดีว่า นางซูจี หัวหน้าพรรค เอ็นแอลดียังคงถูกกักบริเวณ และยังสร้างความตึงเครียดและสร้างความ แตกแยกในสมาชิกพรรคเอ็นแอลดีครั้งใหญ่ เมื่อสมาชิกบางส่วนต้องการ ให้พรรคอยู่ต่อไป โดยการขับนางซูจีออกจากพรรคและร่วมเลือกตั้ง ขณะที่ นางซูจีและสมาชิกบางส่วนไม่เห็นด้วย เพราะเท่ากับว่า พรรคยอมรับ รัฐธรรมนูญปี 2008 (2551) ที่รัฐบาลเป็นผู้ร่างขึ้นซึ่งไม่มีความชอบธรรม แม้แต่น้อย และท้ายที่สุดแล้ว ในวันที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมา มติเสียงส่วนใหญ่ ในพรรคเอ็นแอลดีตัดสินใจที่จะไม่ลงเลือกตั้งแม้จะพรรคจะถูกยุบในที่สุด
วันที่ 7 พฤษภาคมที่ผ่านมา เป็นที่แน่นอนแล้วว่าพรรคเอ็นแอลดี จำต้องปิดตัวลงภายใต้กฎหมายเลือกตั้งฉบับนี้ หลังยืนหยัดต่อสู้อยู่บน เส้นทางการเมืองมายาวนาน 20 ปี และในเวลาต่อมาสมาชิกที่ไม่เห็นด้วย ที่ทางพรรคจะไม่ลงเลือกตั้ง ได้ประกาศจัดตั้งพรรคการเมืองชื่อพรรคพลัง ประชาธิปไตยแห่งชาติ (National Democratic Force) เพื่อลงชิงชัยเลือกตั้ง โดยมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงภายในพรรคเอ็นแอลดีหลายคนเข้าร่วมด้วย ในเรื่องนี้ นางซูจีได้ออกมาแสดงความเสียใจพร้อมระบุว่า สมาชิกของ พรรคเอ็นแอลดีกลุ่มนี้ไม่ใช่นักประชาธิปไตย ขณะที่สมาชิกที่เหลือที่ไม่ ยอมลงเลือกตั้ง ประกาศว่าจะจัดตั้งเป็นองค์กรภาคประชาสังคมยืน เคียงข้างและช่วยเหลือประชาชนต่อไป มีความเห็นจากหลายฝ่ายว่า นางซูจีและพรรคเอ็นแอลดีเปรียบเหมือนเป็นเพียงสัญลักษณ์ประชาธิปไตย ของประชาชนในพม่าที่ถูกแขวนไว้อยู่บนหิ้ง เพราะไม่มีอำนาจในการ ต่อรองกับรัฐบาล หรือเคลื่อนไหวทางการเมืองได้มากภายใต้ข้อจำกัด ของรัฐบาลทหาร และเมื่อสัญลักษณ์แห่งประชาธิปไตยต้องหายไปจาก การเมืองพม่า นั่นยิ่งจะทำให้ความหวังของประชาชนมืดมัวเท่านั้น
ด้านความเคลื่อนไหวของทางฝั่งรัฐบาล พลเอกเต็งเส่ง นายกรัฐมนตรี พม่าและคณะรัฐมนตรีอีก 26 คนประกาศลาออกจากตำแหน่ง และจัดตั้ง พรรคการเมืองชื่อ พรรคสหภาพสามัคคีและการพัฒนา (Union Solidarity and Development Party - USDP) ทันที เพื่อลงเลือกตั้งที่จะมาถึง โดยหลายฝ่ายเห็นพ้องตรงกันว่า แม้แต่ชื่อพรรคก็ยังไปคล้ายกับชื่อของ สมาคมเพื่อการพัฒนาและความเป็นเอกภาพ (Union Solidarity and Development Association) ซึ่งตอกย้ำว่าให้การสนับสนุนรัฐบาล ทหารพม่า ขณะที่ยังมีพรรคการเมืองอีกหลายสิบพรรคทยอยจดทะเบียน พรรคการเมือง ซึ่งคาดว่า หลายพรรคการเมืองน่าจะมีรัฐบาลสนับสนุน ด้วยเช่นกัน นักวิเคราะห์เชื่อว่า การเลือกตั้งที่จะมาถึงเป็นเพียงการถ่ายโอน อำนาจจากเครื่องแบบทหารไปเป็นเครื่องแบบของพลเรือนเท่านั้น เพราะเชื่อว่า ท้ายที่สุดแล้ว รัฐบาลจะทำทุกวิธีทางกลโกงเพื่อให้ตัวเอง ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งที่จะมาถึงอย่างแน่นอน และล่าสุดรัฐบาล ออกมาประกาศจะไม่ให้นานาชาติเข้าไปสังเกตการณ์การเลือกตั้งที่จะ มาถึง โดยอ้างว่ารัฐบาลจะจัดการเลือกตั้งอย่างโปร่งใส
ะหว่างรัฐบาลพม่าและชนกลุ่มน้อย ยังขยายลุกลามเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อรัฐบาลเดินหน้ากดดันผู้นำชนกลุ่มน้อยอย่างหนัก ทั้งการเพิ่มทหาร และอาวุธหนักเป็นจำนวนมากเข้าประชิดชายแดนติดเขตพื้นที่ชนกลุ่มน้อย อย่าง กองทัพสหรัฐว้า (United Wa State Army) กองกำลังเอกราชคะฉิ่น (Kachin Independence Army) กองกำลังเมืองลา (National Democratic Alliance Army) และกลุ่มหยุดยิงอีกหลายกลุ่ม ซึ่งยังคงยืนกรานที่จะไม่ ทำตามข้อเสนอของรัฐบาล ในขณะเดียวกันรัฐบาลพม่าก็ไม่ยอมรับ ข้อเสนอจากทางกลุ่มหยุดยิงด้วยเช่นกัน ซึ่งหลายฝ่ายรวมทั้งจีนต่าง แสดงความกังวลว่าอาจเกิดการเผชิญหน้าและสงครามการเมืองอีกครั้งในอนาคต
การเลือกตั้งที่จะมาถึงคงไม่มีความหมายใดๆ สำหรับ ประชาชนในพม่า ถ้าหากประชาชนยังถูกลิดรอนสิทธิและเสรีภาพ นางซูจีและผู้นำชนกลุ่มน้อย รวมถึงนักโทษทางการเมืองอีก 2 พัน กว่าคนยังถูกจองจำอยู่ในคุก และรัฐบาลไม่มีความจริงใจที่จะเจรจา กับทุกฝ่าย รัฐบาลพม่าชุดใหม่ก็คงเป็นเพียงแค่รัฐบาลที่เปลี่ยนจาก เครื่องแบบทหาร ไปสวมใส่เครื่องแบบพลเรือนเท่านั้น และนั่นกลับ ยิ่งทำให้ตานฉ่วยและพวก ซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังมีอำนาจมากขึ้น เท่านั้น ดังนั้น ไม่ว่าจะอีก 10 หรือ 20 ปีข้างหน้าวิบากกรรมทาง การเมือง ปัญหาความขัดแย้งในพม่าก็จะไม่เปลี่ยน หากรัฐบาล ทหารยังมีอำนาจต่อไป และหากประชาธิปไตยที่แท้จริงไม่เกิดขึ้น ในพม่า