ผู้พลัดถิ่นตัวน้อย
สงครามความขัดแย้งระหว่างชนกลุ่มน้อยและชนชาติพม่าส่ง ผลเสียในทุกๆ ด้าน ซึ่งคนกลุ่มหนึ่งที่ได้รับผลกระทบโดยตรงอย่างไม่ อาจหลีกเลี่ยงก็คือเด็ก โดยเฉพาะเด็กชนกลุ่มน้อยในพื้นที่สู้รบระหว่างกองกำลังชนกลุ่มน้อยติดอาวุธและกองทัพพม่าที่ดูเหมือนว่าจะได้รับ ผลกระทบหนักสุด
รายงานชื่อ Displaced Childhoods ชี้ว่า ในช่วงปี 2545 – 2552 เฉพาะภาคตะวันออกของประเทศพม่าเพียงแห่งเดียว มีประชาชนที่ต้อง กลายเป็นผู้พลัดถิ่นจากสงครามกลางเมืองกว่า 580,000 คน โดยใน จำนวนนี้เป็นเด็กถึง 190,000 คน สอดคล้องกับกองกำลังกะเหรี่ยง เคเอ็นยู(The Karen National Union – KNU ) ที่ยังคงต่อกรกับรัฐบาล พม่าได้ออกแถลงการณ์ในปี 2550 โดยระบุว่า ในปีเดียวกันนี้ชาวกะเหรี่ยง ต้องเผชิญกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนจากกองทัพพม่ามากที่สุด เพราะ กองทัพพม่าได้ส่งกองกำลังทหารกว่า 187 กองพันโจมตีรัฐกะเหรี่ยงอย่าง หนัก และมีการปะทะกันระหว่างกองทัพพม่าซึ่งจับมือกับกองกำลัง กะเหรี่ยงพุทธ (The Democratic Karen Buddhist Army - DKBA)และเคเอ็นยูมากกว่า 1,391 ครั้ง
ทั้งนี้ พม่ามีผู้พลัดถิ่นจากทั่วประเทศอยู่ราว 1- 3 ล้านคน โดย จำนวน 330,000 - 990,000 คน หรือ 1 ใน 3 พบว่าเป็นเด็กที่ถูกบังคับ ย้ายถิ่นฐานตามครอบครัวและขณะนี้ไม่มีบ้านอยู่ เด็กบางคนโชคร้าย พลัดหลงกับพ่อแม่หรือต้องกลายเป็นเด็กกำพร้าในระหว่างที่ทหาร พม่าเข้าโจมตีและเผาหมู่บ้าน มิหนำซ้ำในระหว่างที่หลบซ่อนตัว อยู่ในป่า เด็กๆ เหล่านี้นอกจากไม่มีผ้าห่มบรรเทาความหนาวและมุ้ง กันยุงแล้ว ยังขาดแคลนอาหารและยารักษาโรคอย่างหนักและกำลัง เผชิญกับโรคขาดสารอาหาร สิ่งที่เด็กๆ ในพื้นที่สู้รบยังคงต้องเผชิญอยู่ในขณะนี้อีกอย่างหนึ่งก็คือ การถูกฆ่าสังหารอย่างเหี้ยมโหดจากน้ำมือทหารพม่า เหมือนเช่นเด็กหญิงวัย 5 ขวบคนหนึ่งกับน้องวัย 5 เดือนถูก ทหารพม่าจากกองพันที่ 369 ยิงจนเสียชีวิตใน อ.ญองเลบิน ภาคตะวัน ตกของรัฐกะเหรี่ยงเมื่อเดือนเมษายน 53 ที่ผ่านมา ในขณะที่แม่ของ เด็กทั้งสองถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัส นอกจากนี้เด็กๆ ในพม่ายังต้อง เผชิญกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในรูปแบบอื่นๆ อีกมากมาย
ทหารเด็ก
พม่ามีกำลังทหารในกองทัพราว 400,000 – 500,000 นาย ซึ่ง นับว่าเป็นกองทัพที่มีจำนวนทหารมากที่สุดและแข็งแกร่งที่สุดใน ภูมิภาคอาเซียน แต่เมื่อกลับมาย้อนดูในอีกมุมหนึ่งกลับพบว่า พม่ามี ทหารเด็กมากที่สุดในโลกด้วยเช่นกัน โดยทหารจำนวน 70,000 นาย ในกองทัพพบว่ายังเป็นทหารที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ทั้งนี้ ทหารเด็กบางส่วน อาจมีอายุแค่ 9 -11 ปี เท่านั้น เมื่อถูกเกณฑ์เข้ากองทัพ แม้เมื่อปี 2547 รัฐบาลจะแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบอย่าง เข้มงวดในการป้องกันการเกณฑ์ทหารเด็กก็ตาม ด้านยูเอ็นรายงานว่า มีการเกณฑ์ทหารเด็กทั้งจากฝั่งของกองทัพพม่าและชนกลุ่มน้อยอย่างดีเคบีเอ เคเอ็นยู กองกำลังเอกราชคะฉิ่น เป็นต้น เด็กชายในพม่าอาจโชคร้ายถูกนำตัวไปเป็นทหารเด็กได้ทุกเมื่อระหว่างที่อยู่ร้านเกม สถานีรถไฟ สถานีขนส่ง ในเวลาออกไปเล่นกับเพื่อนนอกบ้าน หรือ กระทั่งในเวลาที่อยู่ในบ้านของตัวเอง มีรายงานว่า ทหารพม่ามักใช้เงิน และอาหารหลอกล่อเด็ก และบอกว่าจะช่วยเหลือให้ชีวิตครอบครัวดีขึ้น ซึ่งวิธีนี้ใช้ได้ผลโดยเฉพาะกับเด็กชายที่มีฐานะยากจน
นอกจากนี้ยังพบว่า เด็กชายที่ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารมักถูก ทหารพม่าขู่ว่าจะขังคุกและมักถูกทำร้ายร่างกายอย่างหนักหากเด็ก ปฏิเสธที่จะเป็นทหาร หลังจากถูกนำตัวไปอยู่ในค่ายหรือโรงเรียนฝึก ทหาร เด็กส่วนใหญ่ได้รับการเปลี่ยนแปลงทะเบียนประวัติและเปลี่ยน อายุว่าเกิน 18 ปีลงในใบเกณฑ์ทหาร พร้อมระบุว่าเด็กชายสมัครใจมาเป็นทหาร ซึ่งการกระทำดังกล่าวสร้างความยากลำบากให้แก่พ่อแม่ ของเด็กในการตามหาลูกชายที่หายตัวไป ทหารเด็กเหล่านี้จะได้รับการฝึกวิชาทหารเป็นเวลา 18 สัปดาห์ มีรายงานว่า ในบทเรียนของการฝึกทหารมีวิชาว่าด้วยการละเมิดสิทธิมนุษยชนชาวบ้านรวมอยู่ด้วย นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า ทหารเด็กบางส่วนถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน จากทหารรุ่นพี่ รวมถึงการละเมิดทางเพศ อย่างไรก็ตาม หากเด็กถูกจับในข้อหาหนีทัพอาจถูกจำคุกมากกว่า 5 ปี ขึ้นไป หรืออาจถูกลงโทษถึงขั้น เสียชีวิต และอาจถูกบังคับให้กลับเข้ารับใช้กองทัพอีกครั้ง
กลุ่มฮิวแมนไรท์วอชรายงานว่า เด็กบางรายที่ไม่สามารถหนีทัพได้สำเร็จเกิดความเครียดถึงขั้นฆ่าตัวตาย และหลังจากการฝึกเสร็จสิ้น เด็กชายบางคนถูกส่งตัวไปยังพื้นที่สู้รบกับชนกลุ่มน้อย ทหารเด็กบาง รายอาจโชคร้ายไม่สามารถคืนอ้อมอกครอบครัวได้อีกครั้งเพราะ เสียชีวิตในสนามรบ ขณะที่เด็กชายที่ได้รับการปล่อยตัวระหว่างที่ถูก เกณฑ์ไปเป็นทหารมีน้อยมาก ซึ่งเด็กที่ได้รับการปล่อยตัวส่วนใหญ่เข้า ร้องเรียนหรือได้รับความช่วยเหลือจากองค์การแรงงานระหว่างประเทศ(ILO) ด้านยูเอ็นรายงานว่า หากทหารพม่าคนใด ซึ่งรวมถึงทหารเด็ก ต้องการออกจากกองทัพ จะต้องมีการเกณฑ์ทหารใหม่มาแทนที่ถึง 4 คน อีกทั้งมีรายงานว่า ในช่วงที่ผ่านมา มีทหารพม่าหนีออกจากกองทัพ เป็นจำนวนมาก และรัฐบาลพม่าไม่ได้สนใจที่จะแก้ไขปัญหานี้อย่าง จริงจัง นี่จึงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้การเกณฑ์ทหารเด็กใหม่ในพม่า ไม่รู้จักจบสิ้น
เหยื่อการละเมิดทางเพศ
ในขณะที่เด็กชายต้องเผชิญกับการถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร เด็กหญิงหรือเด็กสาวในพม่าก็เสี่ยงที่จะถูกทหารพม่าละเมิดทางเพศเช่นกัน โดยเฉพาะเด็กสาวที่เป็นชนกลุ่มน้อยที่กองทัพพม่ามักมองว่าเป็นศัตรู มีรายงานการละเมิดทางเพศต่อผู้หญิงและเด็กหญิงในพื้นที่ชนกลุ่มน้อยในเขตชนบท โดยเฉพาะในรัฐฉาน รัฐชิน รัฐมอญ รัฐคะเรนนี รัฐคะฉิ่น และรัฐกะเหรี่ยงจำนวนกว่า 1,800 เรื่องระหว่างปี 1995 – 2008(2538 - 2551) ที่ผ่านมา ตามรายงานขององค์กรสตรีพม่าระบุว่า ในจำนวนนี้มีเด็กอายุแค่เพียง 7 ขวบตกเป็นเหยื่อด้วย เหยื่อที่เป็นหญิง สาวและเด็กบางราย นอกจากจะบอบช้ำทางกายและจิตใจแล้ว ยังถูกทหารพม่าสังหารอย่างเหี้ยมโหด มีการคาดกันว่า ตัวเลขหญิงหรือเด็กที่ถูกข่มขืนอาจมีจำนวนมากกว่าที่ในรายงานต่างๆ ระบุ เนื่องจากเหยื่อ ที่รอดชีวิตจำนวนมากไม่กล้าร้องเรียนเนื่องจากไม่มั่นใจในความปลอดภัย
องค์กร Human Rights Education Institute of Burma - HREIBระบุว่า ทหารที่ก่อเหตุข่มขืนมักไม่ได้รับโทษหนักหรือถูกตั้งข้อหาก่ออาชญากรรมแต่อย่างใด แต่จะถูกลงโทษเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ขณะที่เหยื่อที่ได้รับความเสียหายในบางรายได้รับเงินค่าทำขวัญคนละ 1 – 2 หมื่นจั๊ตเท่านั้น(ประมาณ 337 – 673 บาท) มีรายงานว่าเหยื่อบางรายที่นำเรื่องไปร้องเรียนและนำออกมาเปิดเผยอาจถูกทหารพม่าจับขังคุก อย่างเช่นเด็กสาวชาวคะฉิ่นจำนวน 4 คน อายุ 14 – 16 ที่ถูกแกงค์ทหารพม่าข่มขืนกระทำชำเราเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2550 โดย ทหารได้ขู่เด็กสาวว่าห้ามนำเรื่องดังกล่าวออกมาเปิดเผย แต่ภายหลังเด็ก สาวเปิดเผยเรื่องดังกล่าวจึงถูกทหารจับกุมทันทีโดยตั้งข้อหาค้าประเวณีเป็นต้น
นอกจากการละเมิดทางเพศแล้ว สิ่งที่เด็กในพม่ายังต้องเผชิญก็คือ การถูกบังคับใช้แรงงาน ถูกบังคับให้เป็นเป็นลูกหาบขนอาวุธให้กับกองทัพพม่า เช่นตัวอย่างของเด็กชาวดาระอั้งในเขตชนบทของเมืองม่านต้ง ทางภาคเหนือของรัฐฉานมักถูกทหารพม่าเรียกบังคับใช้แรงงานอยู่บ่อยครั้งในช่วงวันหยุดเรียน ทั้งการบังคับให้นักเรียนขุดคลองทำความสะอาดทางหลวง สร้างค่ายทหาร รวมถึงถูกบังคับให้เป็นแรงงานปลูกสบู่ดำ ซึ่งเป็นโครงการของรัฐบาลเป็นต้น นอกจากนี้เด็กๆโดยเฉพาะในพื้นที่สู้รบยังได้รับผลกระทบจากกับระเบิดที่มีอยู่เป็นจำนวนมากในประเทศพม่า เช่นเดียวกับที่เด็กในเขตชนบทที่ทนสภาวะบีบคั้นจากเศรษฐกิจไม่ไหวต่างผันตัวเองเป็นแรงงานหาเช้ากินค่ำในเมืองใหญ่ หรือแม้กระทั่งเป็นขอทานข้างถนน ดังเช่นต้นปีที่ผ่านมา ที่มีรายงานตัวเลขเด็กขอทานในกรุงย่างกุ้งเพิ่มขึ้น ด้านเด็กในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากพายุไซโคลนนาร์กิส โดยเฉพาะเด็กสาวจำนวนมากต่างเดินเข้าสู่วงจรค้ากามเพื่อปากท้องอย่างไม่มีทางเลือกเช่นกัน โอกาสทาง การศึกษาสำหรับเด็กยากจนในประเทศนี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะมันเหมือนความฝันอันสวยหรูที่ยากจะเป็นความจริง
โรงเรียนของหนู
รัฐบาลทุ่มงบประมาณราว 40 เปอร์เซ็นต์ให้กับกองทัพ ขณะที่ เจียดงบประมาณเพียง 1.3 เปอร์เซ็นต์ให้กับการศึกษา ซึ่งถือเป็นประเทศที่ จัดสรรงบประมาณด้านการศึกษาน้อยที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือน้อยที่สุดในโลกก็ว่าได้ ดังนั้นจึงทำให้การศึกษาในประเทศ พม่ายังคงเดินถอยหลัง นักเรียนยังขาดแคลนโรงเรียน อุปกรณ์ การเรียน รวมถึงขาดแคลนบุคลากรครูที่มีคุณภาพและประสบการณ์ในการสอนโดยเฉพาะในเขตพื้นที่ชนบท ซึ่งองค์กรยูนิเซฟเปิดเผยว่า พม่ามีบุคลากร ครูไม่ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ที่ได้รับการอบรมในการสอนที่มีคุณภาพ
บุคลากรครูในพม่ามีอยู่ 2 ประเภท คือข้าราชการครูที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาล และครูที่ได้รับการสรรหาจากคนในพื้นที่ เพราะใน บางพื้นที่ของประเทศ โดยเฉพาะในเขตชนบท รัฐบาลไม่มีเงินจ้างครู มาสอน ส่งผลให้ชุมชนต้องเข้ามารับผิดชอบในส่วนนี้ โดยการหาครูในพื้นที่มาสอนให้กับเด็กๆ และเรี่ยไรกันเงินเป็นค่าตอบแทนครู แต่ปัญหา ที่พบก็คือ ครูจากในพื้นที่บางส่วนไม่ได้จบชั้นมัธยมปลาย และได้รับการ อบรมในการสอนในช่วงระยะเวลาเพียงสั้นๆ เท่านั้น ขณะที่ข้าราชการครูทั่วไปได้รับเงินเดือนอยู่ที่ 45,000 จั๊ต (ราว 1,515 บาท) ซึ่งถือว่า น้อยมาก เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันที่แพงลิ่ว จึงทำให้ครูจำนวนมากลาออกจากอาชีพนี้ไปทำงานอย่างอื่น หรือแม้กระทั่งเดินทางไปหางานทำในต่างประเทศ
แม้รัฐบาลพม่าจะประกาศให้นักเรียนเรียนฟรีจนถึงอายุ 16 ปี แต่การที่รัฐบาลให้งบประมาณเพียงน้อยนิดแทบจะทำให้เรื่องนี้เป็นจริงได้ยาก เพราะทางโรงเรียนยังคงเรียกเก็บค่าอุปกรณ์การเรียน และค่า กิจกรรมพิเศษอื่นๆ จากนักเรียนอยู่เสมอ ซึ่งค่าใช้จ่ายต่อปีตกอยู่ที่ราว 400,000 จั๊ต(13,468 บาท) เด็กนักเรียนและผู้ปกครองจำนวนมากซึ่งส่วนใหญ่มีฐานะยากจนภายใต้เศรษฐกิจที่ย่ำแย่ในพม่า ไม่อาจแบกรับ ภาระดังกล่าวได้ เป็นเหตุให้นักเรียนจำนวนมากต้องออกโรงเรียนกลางคันโดยเฉพาะในชั้น ป.4
ตัวอย่างหนึ่งที่ชี้ให้เห็นว่า ระบบการศึกษาในพม่ากำลังเดินถอยหลัง เห็นได้จากรายงานชื่อ The Lightless Life ขององค์กรนักศึกษา ปะหล่องที่ชี้ให้เห็นว่า ระบบการศึกษาทางภาคเหนือของรัฐฉานกำลังเข้าขั้นวิกฤติระหว่างปี 2543 – 2552 โดยยกตัวอย่างให้เห็นว่า โรงเรียน แห่งหนึ่งที่เคยมีนักเรียนมากถึง 172 คน แต่เมื่อมีการสำรวจอีกครั้งในชั้น 10 พบว่ามีนักเรียนเหลือเพียง 3 คนเท่านั้น ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการทนแบกรับค่าใช้จ่ายที่ทางโรงเรียนเรียกเก็บไม่ไหว เหตุการณ์ ลักษณะนี้เกิดขึ้นกับเด็กในรัฐชิน รัฐมอญ รัฐอาระกัน รวมถึงภาคอื่นๆของพม่าด้วยเช่นกัน องค์กรยูนิเซฟ(2551) รายงานว่า มีเด็กน้อยกว่า 55 เปอร์เซ็นต์ที่จบชั้นประถมศึกษา นอกจากนี้ มีนักเรียนเพียง 3 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้นที่สามารถจบชั้นมัธยมปลายและในชั้นที่สูงขึ้นไป
ในส่วนของการศึกษาในเขตพื้นที่การสู้รบ โดยเฉพาะในเขตชนกลุ่มน้อยยิ่งพบว่า มีความยากลำบากมาก เพราะบ่อยครั้งที่โรงเรียนและ ห้องเรียนมักถูกทหารพม่าเผาทำลายได้รับความเสียหายเหลือแต่เถ้าถ่าน หรือแม้กระทั่งวางกับระเบิดไว้รอบๆ โรงเรียน ซึ่งเป็นวิธีการของทหารพม่าที่ไม่ต้องการให้ชาวบ้านย้อนกลับมาในพื้นที่ของตัวเอง เมื่อมีการบังคับย้ายถิ่นฐาน ข้อมูลจากรายงานชื่อ “Children Caught in Conflicts” เปิดเผยเมื่อปี 2550 ว่า ครูและเด็กนักเรียนในพื้นที่สู้รบถูกทหารพม่าจับกุมตัวและบังคับใช้แรงงาน นอกจากนี้เด็กในพื้นที่นี้ยังขาดแคลนอุปกรณ์การเรียน และบางครั้งจำต้องเรียนในป่า ใช้ต้นไม้เป็น หลังคาของห้องเรียนเป็นต้น มีรายงานว่า ในหนึ่งเดือน เด็กพลัดถิ่น(IDP) มีโอกาสได้เรียนแค่ 7 วัน เนื่องจากสถานการณ์ความไม่ปลอดภัยทั้งจากทหารพม่าและการสู้รบ จึงทำให้มีเด็กในพื้นที่สู้รบเพียง 1 ใน 10เท่านั้นที่สามารถเข้าเรียนในชั้นประถมศึกษา
ในขณะเดียวกันมีรายงานว่า รัฐบาลพม่าใช้นโยบายต่อต้านกลุ่ม ที่เป็นปรปักษ์กับตัวเอง โดยการกีดกันไม่ให้นักเรียนซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยสามารถเรียนภาษาพม่าได้ เช่นตัวอย่างเด็กในรัฐคะเรนนีที่มีนักเรียน สามารถอ่านเขียนภาษาพม่าได้เพียง 7 – 8 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น นอกจากนี้ ยังใช้นโยบายเลือกปฏิบัติต่อเด็กชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมโรฮิงยา โดยการ ออกกฎหมายจำกัดในเรื่องการเดินทาง ไม่อนุญาตให้เด็กชาวโรฮิงยาออกจากในพื้นที่ ปัจจุบันนี้ จึงทำให้เด็กนักเรียนชาวโรฮิงยาไม่สามารถเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้นไปเป็นต้น เช่นเดียวกับนักเรียนในพื้นที่กลุ่มหยุดยิงที่กำลังประสบกับปัญหาไม่สามารถเข้าเรียนต่อในโรงเรียนของรัฐบาลพม่าได้ เนื่องจากกระทรวงศึกษาพม่าไม่ยอมออกวุฒิการศึกษาให้นักเรียนในพื้นที่กลุ่มหยุดยิง
ในอีกด้านหนึ่ง ระบบการเรียนการสอนในพม่ามักจะเน้นไปที่ครูเป็นจุดศูนย์กลางของการเรียนรู้ ซึ่งถูกใช้มาเป็นเวลานับสิบปี การทดสอบความรู้จึงมักเป็นไปในแบบการท่องจำมากกว่าให้นักเรียนคิดด้วย ตัวเอง และผลที่ได้ก็คือ นักเรียนต้องพึ่งพาความรู้จากครูอย่างเดียว และขาดความสามารถในการพัฒนาการวิเคราะห์หรือคิดสร้างสรรค์ด้วยตัวเอง นอกจากนี้ รัฐบาลยังควบคุมเนื้อหาของการเรียนการสอนอย่างเข้มงวด หลักสูตรการเรียนจึงมักคิดขึ้นโดยรัฐบาลทหารพม่า โดยเนื้อหาในหนังสือเรียนมักสอดคล้องตามวัตถุประสงค์ของรัฐบาล และเน้นไปที่วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของพม่าเป็นหลัก โดยมีจุดประสงค์เพื่อกลืนกินกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ที่ไม่ใช่พม่า
นอกจากนี้ รัฐบาลพม่ายังไม่เปิดโอกาสให้กลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของตัวเอง เห็นได้จากที่รัฐบาลไม่มีนโยบายสนับสนุนให้เด็กนักเรียนชนกลุ่มน้อยเรียนภาษาของตนเองในระบบโรงเรียน การเรียนภาษาของตัวเองในพม่าจึงถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย ด้านในส่วนของหนังสือที่เป็นภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์จะถูกตรวจสอบเนื้อหาอย่างละเอียดจึงจะได้ตีพิมพ์เผยแพร่ได้ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้องค์ความรู้ของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ที่ไม่ใช่ พม่าค่อยๆ สูญหายไปจากสังคมของกลุ่มชาติพันธุ์ทีละน้อย
ในขณะเดียวกัน ปัญหาที่พบในปัจจุบันคือ นิสิตที่จบใหม่ส่วนมาก มักไม่ได้ทำงานตรงกับสายที่เรียนมาเพราะไม่มีงานรองรับ หลายคนต้องผันตัวเองไปเป็นแรงงานราคาถูก ขณะที่บางส่วนเลือกที่จะเดินทางไปหางานทำในต่างประเทศ จึงอาจกล่าวได้ว่า การบริหารประเทศของรัฐบาลทหารไม่ได้ส่งผลกระทบทางการเมืองและเศรษฐกิจในประเทศแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ลุกลามถึงอนาคตและชีวิตความเป็นอยู่ของเด็กๆ ในประเทศนี้ด้วย
หากรัฐบาลชุดใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งยังคงเป็นรัฐบาลทหารชุดเดิมหรือมาจากกองทัพเชื่อว่าสถานการณ์และอนาคตของเด็กในประเทศนี้ก็จะยังคงเผชิญกับความอดอยากหิวโหย การละเมิด สิทธิมนุษยชน การศึกษาที่ไร้คุณภาพและอนาคตที่มืดมัวไปอีกนานแสนนาน