"โลงจี" กับวิถีชีวิตชาวพม่า

"โลงจี" กับวิถีชีวิตชาวพม่า   เมื่อสองปีที่ผ่านมา ผู้เขียนมีโอกาสเดินทางไปยังกรุงย่างกุ้ง ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นอดีตเมืองหลวงของประเทศพม่าไปแล้ว เราใช้เวลาบินลัดฟ้าประมาณ 1 ชั่วโมงก็มาถึงที่หมาย  บรรยากาศของความเป็นพม่าเริ่มเข้ามาทักทายเราตั้งแต่หน้าประตูสนามบิน สำเนียงภาษาที่ไม่คุ้นหู ตัวอักษรกลม ๆ เริ่มปรากฏให้เห็น กลิ่นไอของแป้งทะนาคาเริ่มปลิวมาแตะจมูก เป็นการตอกย้ำว่าเรามาถึงประเทศพม่าแล้ว      


อย่างที่ทราบกันดี ดินแดนแห่งนี้ในอดีตเคยสูญเสียเอกราชตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษเป็นระยะเวลากว่าครึ่งศตวรรษ หลังจากนั้นก็ประสบปัญหาทั้งเรื่องการเมืองและเศรษฐกิจและประชาชนก็ตกระกำลำบากอยู่ภายใต้เงื้อมมือของรัฐบาลเผด็จการทหารพม่ามาจนถึงปัจจุบัน แต่ภายใต้กำแพงแห่งเผด็จการที่ปิดกั้นพม่าจากโลกภายนอกมานาน ยังมีสิ่งที่งดงามซ่อนอยู่ หนึ่งในนั้นก็คือวัฒนธรรมการแต่งกายที่ยังคงแบบฉบับของตนเองโดยมี "โลงจี" หรือ "โสร่ง" เป็นสัญลักษณ์ที่ยังคงอยู่คู่กับวิถีชีวิตคนพม่าตราบจนทุกวันนี้

โลงจีกับวิถีชีวิตชาวพม่า  

เมื่อมาถึงกรุงย่างกุ้งแล้ว เจดีย์เชวดากองคือเป้าหมายแรกของเรา ตลอดระยะทางจากสนามบินจนถึงเจดีย์ชเวดากองจะพบเห็นผู้คนมากมายตลอดสองข้างทางในเครื่องแต่งกายคล้ายกัน คือ ผู้ชายจะนุ่งโสร่งส่วนผู้หญิงนุ่งซิ่นกันแทบทุกคน รถโดยสารสีเขียวคันหนึ่งคนแน่นเอี๊ยดวิ่งผ่านหน้าเราไป ผู้ชายหนุ่มทั้งแก่ยืนโหนอยู่ตรงประตูรถโดยสารโดยไม่มีอาการวิตกกังวลกับโสร่งลายพร้อยที่ปลิวสะบัดท้าทายแรงลมอยู่แม้แต่น้อย เป็นที่น่าหวาดเสียวสำหรับคนต่างบ้านต่างเมือง แต่สำหรับคนพม่าที่นุ่งโลงจีหลายร้อยปีมาแล้ว นี่คือภาพชีวิตที่ปกติ  

หลายคน(รวมทั้งผู้เขียน)อาจเข้าใจว่า"โลงจี" ในภาษาพม่าหมายถึงโสร่งของผู้ชาย แต่อันที่จริงแล้ว คำว่า "โลงจี" เป็นคำเรียกโดยรวมทั้งโสร่งของผู้ชายและผ้าถุงของผู้หญิง โสร่งในภาษาพม่าจะเรียกว่า "ปะโซ" ส่วนผ้าซิ่นจะเรียกว่า "ทะเมง" ซึ่งปะโซกับทะเมงจะแตกต่างกัน โดยปะโซมักจะเป็นลายตารางหรือมีสีพื้นส่วนทะเมงมักจะเป็นลายดอกไม้หรือมีลวดลายด้านล่าง นอกจากนี้ การสวมใส่โลงจีของผู้หญิงกับผู้ชายก็จะแตกต่างกันด้วย โดยผู้ชายจะสวมโดยทบชายผ้าซ้ายขวามาผูกเป็นปมด้านหน้า ส่วนผู้หญิงจะทบจากขวาไปซ้ายหรือซ้ายไปขวาตามความถนัด

มีหลายเหตุผลที่ทำให้โลงจียังอยู่กับชาวพม่าอย่างเหนี่ยวแน่นจนถึงทุกวันนี้ นอกจากรัฐบาลที่ หวงแหนความเป็นชาตินิยมมากพอๆ กับอำนาจแล้ว คุณสมบัติหลายอย่างและความสารพัดประโยชน์โดยตัวของโลงจีเองก็เป็นเหตุผลหนึ่งเช่นกัน  

อูถิ่นจี นักเขียนชาวพม่าได้สาธยายถึงคุณสมบัติของโสร่งในบทความชื่อ "In praise of longyi" ในเว็บไซต์ http://www.myanmar.gov.mm ของรัฐบาลว่า
"...โลงจีเป็นเครื่องแต่งกายที่เหมาะสมกับหน้าร้อนในพม่าที่สุด แต่เมื่ออากาศเย็นก็สามารถใช้ห่มได้อีกด้วย และเนื่องจากโลงจีทำจากผ้าผืนเดียวเย็บติดกัน จึงประหยัดทั้งเวลาในการตัดเย็บ ประหยัดทั้งผ้าด้วย หากเผลอไปทำโลงจีเลอะเข้าหรือเป็นรอยขาดก็ซ่อนรอยนั้นไว้ในปมแล้วค่อยกลับไปซ่อมแซมรอยขาดและซักรอยเปื้อนออกก็ได้ ซึ่งโลงจีซักง่ายและแห้งเร็วแถมยังไม่ต้องรีด แค่พับให้เรียบร้อยเก็บไว้ใต้ที่นอน รุ่งเช้าก็นำมาสวมได้ทันที ถ้าโลงจีสีซีดจางก็กลับด้านในออกคือเวลาสวม ซึ่งหากไม่สังเกตก็ไม่รู้ หรือถึงจะสังเกตก็ยากที่จะรู้ นอกจากนี้ โลงจียังสามารถแปลงร่างเป็นอุปกรณ์อย่างอื่นได้อีก เช่น ผูกเป็นเปลสำหรับเด็ก ใช้เป็นกระเป๋าห่อของแบกไว้บนบ่า เป็นผ้าซับเหงื่อ ใช้เป็นห้องเปลี่ยนเสื้อผ้ายามฉุกเฉินได้อีกด้วย..."  

การสวมโลงจีไม่ได้เป็นเพียงเป็นการแต่งกายในวันปกติที่ไม่เป็นทางการเท่านั้น แต่รัฐบาลพม่ายังได้กำหนดให้หลายอาชีพสวมโลงจีเป็นเครื่องแบบ เช่น นางพยาบาลระดับสูงสวมซิ่นสีเขียว พยาบาลระดับกลางสวมซิ่นสีน้ำเงินสำหรับ และพยาบาลระดับล่างสวมซิ่นสีแดง นักเรียนและครูสวมโสร่งสีเขียว ในระดับมหาวิทยาลัยของพม่าภายหลังอาจมีการบังคับให้สวมเครื่องแบบนักศึกษาด้วยเหตุผลความมั่นคงทางการเมือง ซึ่งก็หนีไม่พ้นโลงจีอยู่ดี แต่ก่อนนี้แม้ไม่มีการบังคับให้สวมเครื่องแบบชุดนักศึกษาหรือเครื่องแบบชุดของอาจารย์ นักศึกษาและอาจารย์ส่วนใหญ่ก็ยังเลือกที่จะสวมโลงจีไปมหาวิทยาลัยกันอยู่แล้ว  ในขณะที่บ้านเราถ้าไม่มีการบังคับให้นักเรียนสวมเครื่องแต่งกายประจำท้องถิ่นในวันศุกร์ เราก็คงไม่มีโอกาสเห็นเด็กวัยรุ่นหยิบผ้าซิ่นขึ้นมานุ่งเป็นแน่แท้  ซึ่งเด็กเหล่านั้นคงรู้สึกเคอะเขิน ไม่ต่างกับการที่ต้องสวมกางเกงยีนไปไหนต่อไหนในบ้านเมืองนี้สักเท่าไหร่

ความเปลี่ยนแปลงที่มะละแหม่ง

เราเดินทางจากย่างกุ้งไปไจ้โถ่ ที่ตั้งของพระธาตุอินทรแขวน ผ่านพะอันไปถึงมะละแหม่งซึ่งใกล้ชายแดนประเทศไทยเข้าไปเรื่อยๆ สิ่งที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งคือมะละแหม่งจะแตกต่างจากที่อื่น ๆ ที่เราไป นั่นก็คือการแต่งกายของวัยรุ่น เราได้มีโอกาสไปเที่ยวงานวัดแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาสูง ผู้คนทั่วทุกสารทิศพากันหลั่งไหลเดินเท้าขึ้นไปในวัดแห่งนี้  ระหว่างการเดินจากเชิงเขาขึ้นไปยังวัดแห่งนั้น หากไม่ฟังสำเนียงการพูดหรือสังเกตจากคิ้วอันดกดำของเณรน้อยแล้ว อาจจะเผลอคิดไปว่ากำลังอยู่ในประเทศไทยเป็นแน่แท้ เพราะวัยรุ่นที่นี่สวมเสื้อยืด กางเกงยีน เสื้อสายเดี่ยว รองเท้าส้นสูง เหมือนแบบที่กำลังเป็นที่นิยมในบ้านเราเปี๊ยบ

เมื่อทราบว่าผู้คนที่มะละแหม่ง (และอีกหลายที่) นิยมไปทำงานที่ประเทศไทยเพื่อหารายได้มาเลี้ยงครอบครัว เพราะเศรษฐกิจในประเทศย่ำแย่ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าแฟชั่นของเด็กวัยรุ่นเหล่านั้นมาจากไหน    ย้อนกลับไปในสมัยที่พม่าตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ซึ่งค่อนข้างมีอิทธิพลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในประเทศหลายอย่าง แต่กระนั้นก็ไม่สามารถทำลายวัฒนธรรมประเพณีรวมไปถึงวิถีชีวิตที่ผูกพันกับโลงจีลงได้ ที่น่าเป็นห่วงอยู่ก็เห็นจะเป็นรัฐบาลเองนี่แหละที่บริหารงานที่ผิดพลาด เป็นต้นเหตุทำให้คนจำนวนมากต้องจากบ้านไปทำงานยังประเทศเพื่อนบ้านเพื่อความอยู่รอด  และที่สำคัญ สิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นนำกลับประเทศไม่ใช่มีเพียงเม็ดเงินที่เก็บหอมรอมริบจากการทำงานหนักเท่านั้น แต่ยังนำเอาค่านิยมและวิถีชีวิตแบบใหม่ที่อาจจะเข้ามาแทนที่วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในอนาคตซึ่งอาจจะทำให้โลงจีกลายเป็นเพียงอดีตเป็นของแถมติดมาด้วย

------------------ 

หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป ถึงเวลาที่การเดินทางของเราก็ต้องสิ้นสุดลง เครื่องบินลำเล็กพาเรากลับมาโดยใช้เวลาไม่นาน ไม่มีอะไรนอกจากภาษาบนป้ายและสำเนียงพูดเท่านั้นที่ทำให้รู้ว่ามาถึงเมืองไทยแล้ว และนับจากนี้หวังว่าความงดงามของโลงจีจะยังคงอยู่คู่กับวิถีชีวิตของผู้คนในที่ที่เราเพิ่งจากมาตราบนานเท่านาน