แสงตะเกียงดับแล้ว…..ที่ท่าตาฝั่ง

โดย POPI

ฉันรู้สึกเหนื่อย.... หลังจากกลับจากสบโขง อากาศวันนี้ค่อนข้างร้อนหลังจากนั่งคุยกับพ่อแม่หนึ่งในทีมที่เรามาด้วยกันเตือนฉันว่า “ กลับกันเถอะพี่ต้องกลับให้ทันซ้อมเพลงสำหรับวันพรุ่งนี้กันอีก”  ใช่สินะ.. พรุ่งนี้เป็นวันอาทิตย์พวกเราต้องไปโบสถ์นี่นา...  


พ่อกระซิบชวนฉันว่า.......กลับพรุ่งนี้ได้ไหม  เพราะคืนนี้พ่อกับแม่จะไปนอนค้างที่บ้านน้องสาวสักคืนและพรุ่งนี้ก็จะเดินทางกลับบ้านดอย....  ฉันเห็นหน้าตาของพ่อดีขึ้นนิดนึงเมื่อเปรียบกับวันก่อน   อาจจะเป็นเพราะพ่อรู้ว่าเมื่อเสร็จจากงานที่สบโขงแล้วฉันจะกลับมาหาท่านอีก   ฉันเดินไปคุยกับเพื่อนๆที่มาด้วยกันและบอกเขาว่าจะกลับพรุ่งนี้ เพราะไม่อยากจะให้ พ่อและแม่เสียใจ ทุกคนตกลงแล้วก็แยกย้ายกันขึ้นรถโดยที่ฉันฝากสัมภาระและ sleeping  bag ไปกับพวกเขา

เช้าวันอาทิตย์...  พ่อกับแม่ตื่นเต้นที่จะได้กลับบ้านดอยวันนี้    ฉันตัดสินใจว่าจะส่งพ่อกับแม่ให้ถึงแม่สามแลบ หลานๆ 4-5 คนไปส่งตากับยาย  เมื่อถึงแม่สามแลบพี่ทูคอยอยู่ที่นั่นแล้ว  ฉันสวัสดีพี่ทูแล้วบอกว่าส่งถึงที่นี่นะเพราะจะกลับเชียงใหม่วันนี้   พี่ทูกระซิบเบาๆ   (เพราะไม่อยากให้พ่อได้ยิน ) ว่ากลับไปด้วยกันไหม เพราะลุงอะลุเสียแล้ว  ที่บ้านดอย.... คืนนี้ฉันนอนกับพ่อ-แม่ฉันรู้สึกมีความสุข   แต่ก็ไม่อยากคิดต่อไปว่ากลับมาอีกครั้งจะมีโอกาสอย่างนี้อีกไหมเพราะพ่อกับแม่มีอายุมากแล้วและพ่อเองสุขภาพก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก

เช้าวันอาทิตย์.......ก่อนจะลงไปที่ท่าน้ำ  เพื่อล่องเรือลงไปแม่สามแลบ  ฉันกับแม่แวะไปที่บ้านศพ (ส่วนพ่อไม่ด้มาด้วยและฉันแอบเห็นพ่อร้องให้.....) แม่ก็เลยห้ามไม่ให้พ่อไป  เพราะแม่กลัวว่าจะทำให้แม่ร้องให้อีกคน  ฉันเปิดผ้าคลุมศพดูหน้าลุงครั้งสุดท้าย

แม่นั่งพับเพียบอยู่อีกด้านหนึ่งฉันพูดกับแม่ว่า “ .....เหมือนนอนหลับเลยนะแม่..”  แม่ตอบฉันด้วยเสียงสั่นนิดๆว่า....  “  ตะเกียงดับแล้วคงเหลือแต่เสา(หลัก)ต้นนั้น อีกไม่นานก็คงล้ม..”  ฉันละสายตาจากการจ้องดูที่หน้าศพลุงหันไปมองหน้าแม่และถามแม่ว่า  “.. แม่หมายถึงอะไร ?”   แม่ดึงผ้าขึ้นมาคลุมหน้าศพและค่อยพยุงตัวลุกขึ้นตอบฉันว่า  “ ลุงอะลุกับพ่อเป็นลูกพี่ลูกน้องที่สนิทกันมาก ทั้งสองเป็นคนเก่าแก่ของหมู่บ้านนี้ ตะเกียงที่แม่พูดเมื่อตะกี้...แม่หมายถึงลุงและเสา(หลัก)  ต้นนั้นก็หมายถึงพ่อเรานั่นแหละอีกไม่นานพ่อก็คงตามลุงไปอีกคนเหมือนกัน.. ”

ในขณะที่นั่งเรือล่องมาแม่สามแลบ....ฉันก็ยังคงก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือเล่มสุดท้ายในที่สุดก็จบเล่ม ในขณะที่ยังไม่ถึงแม่สามแลบ  หลังจากเก็บหนังสือเข้า Bag pack   ฉันเงยหน้ามองไปข้างหน้า พร้อมกับถอนหายใจ   มองหาสิ่งหนึ่งที่คุณจิตติมา ผลเสวก  ( เธอคงคยมาที่นี่ ) เรียกมันว่า “ หมุดหมาย ”  เธออิบายความหมายสั้นๆในบทความของเธอตอนหนึ่งว่ามันเป็นเพียงวงกลมสีแดงที่ถูกป้ายหยาบๆ อยู่บนพื้นที่ที่นักสร้างเขื่อนมาวัดระดับพื้นที่หมายเอาไว้เดือนเมษายนที่ผ่านมา  ตอนนั่งเรือจากแม่สามแลบล่องขึ้นไปท่าตาฝั่ง ในเวลานั้นฉันเห็นก้อนหินก้อนหนึ่งที่โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ ถูกป้ายด้วยสีแดงเหมือนกันฉันไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร ฉันมองไม่เห็นเพราะมันคงจมมิดอยู่ใต้ผิวน้ำตรงนั้น...

พอขึ้นฝั่ง.....  ขณะที่นั่งคอยรถโดยสาร    ฉันหยิบหนังสือออกจาก Bag pack อีกครั้ง   ไม่ได้หยิบขึ้นมาเพื่อจะอ่านแต่มันทำให้ฉันคิดถึงเรื่องหนึ่ง   เรื่องราวที่ได้ยินบ่อยๆ ก็คือการสร้างเขื่อนสาละวินกับตำนานของชนเผ่าอินเดียนแดงที่ฉันพึ่งอ่านจบเมื่อกี้นี้แม้ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน..... แต่มันก็มีเรื่องราวที่คล้ายกันเหลือเกินนั่นคือ...เรื่องราวของอินเดียนแดงนั่นเอง   เรื่องราวของอินเดียนแดงในอเมริกากับกะเหรี่ยงมีส่วนคล้ายกันอยู่บ้าง

รถโดยสารวิ่งมาถึงสถานีตำรวจท่าตาฝั่ง.....   (ที่ห้วยโผ)   รถจอดโดยที่ยังติดเครื่องอยู่  คนขับลงไปอะไรสักอย่างที่ป้อมตำรวจ ฉันยังคงนั่งกอดหนังสือเล่มนั้น ขณะที่ฉันคิดเพลินๆอยู่นั้นตำรวจคนหนึ่งอายุราวๆ 50 เดินมายืนด้านหลังฉันตบหัวฉันเบาๆแล้วพูดว่า  “ ได้ข่าวว่าลุงอะลุ เสียชีวิตแล้วใช่ไหม”  ฉันยิ้มและพยักหน้า Page 1 “ เจ้า...”  “ได้ข่าวว่าย้ายมาอยู่ที่เชียงใหม่แล้วใช่ไหม... ดีมาเยี่ยมพ่อบ่อยๆนะ เพราะพ่อหลวงอายุมากแล้ว ”   พอพูดจบแกก็เดินจากไป...  ใช่ !!ฉันจำเขาได้เขาชื่อดาบทับทิม  มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาเคยเล่าให้ฉันฟังว่าเขาเคยแอบชอบพี่สาวของฉันอะไรทำนองนั้น   ดาบทับทิมเป็นคนน่ารักเสมอ เขาชอบเรียกฉันว่า  “อองซาน ซูจี ” (อาจจะเป็นเพราะเห็นฉันผอมมั้ง )  รถจอดหน้าปากซอย..... ฉันเดินเข้าบ้าน ( บ้านที่น้ำดิบ ) ฉันคิดถึงคำพูดของแม่เมื่อเช้านี้ที่บ้านดอยและที่บ้านของลุงอะลุก่อนที่ฉันจะลงไปที่ท่านก่อนล่องเรือลงไปแม่สามแลบเมื่อเช้านี้

ใช่ซิ... พ่อเล่าให้ฉันฟังเมื่อคืนว่า  “ พ่อย้ายมาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อที่ชาวบ้านจะมีที่ทำกินอย่างถาวร  อันที่จริงถ้าหากพ่อเลือกที่จะอยู่ที่แม่สะเรียงเหมือนลุงกับป้าและอา......ก็เลือกได้แต่พ่อเลือกที่จะอยู่ที่นี่ เพราะคนที่นี่ถูกเอารัด เอาเปรียบในเวลานั้นด้วยเพราะเขาพูดภาษาไทยไม่ได้ อีกไม่นานถ้าหากมีการสร้างเขื่อนลูกๆของพ่อคงไม่ลำบากเท่าไหร่นักแต่คนอื่นล่ะเขาจะไปอยู่ที่ไหน...”   อีกไม่นานพวกเขาก็คงถูกบังคับให้เป็นคนต่างด้าว    ถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกที่บุกรุกทำลายป่า และอีกหลายๆข้อกล่าวหา   อีกทั้งวางแผนอพยพเราออกจากที่นี่  จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าเบื้องโครงการสร้างเขื่อนสวยหรูของเขานั่นก็คือ.... ผลประโยชน์ของพวกเขาเอง......

ถ้าเช่นนั้น… อีกไม่นานบ้านท่าตาฝั่งก็จะเต็มไปด้วยผู้คนที่เป็นคนเมืองเดินสวนทางกันเต็มไปหมดและกะเหรี่ยง ที่อยู่ที่นี่จะอยู่จะเอาเขาไปซ่อนไว้ที่ไหน  ฉันจะมีโอกาสกลับมาที่นี่อีกไหม พวกเขามีบ้านหลังใหญ่โต ส่วนฉัน มีเพียงบ้านและอดีตที่ดีๆ ที่ควรจดจำ... เมื่อกลับมาบ้านอีกครั้งฉันจะกลับมาหาใคร ต้นไม้...ท้องนา...ต้นกล้วย ก้อนหิน   หาดทราย....พี่น้อง...บ้านหลังนี้ ทุกอย่างคงจมอยู่ใต้น้ำ    แม้แต่หลุมฝังศพ...   ซิตติ้ง  บูลล์ ,เครซี่  ฮอร์ส , กัลล์.....วันพรุ่งนี้ของข้าก็ไม่ได้แตกต่างจากของพวกเจ้า ข้าเองอยากจะพูดเหมือนพวกเจ้าว่า...   “... เขาปล้นบ้านของข้า....  เขาปล้นพี่น้องของพ่อข้า...”

ต้นไม้ (สัก )ต้นอื่นล้ม.....  หมู่บ้านท่าตาฝั่งก็ยังคงอยู่.....แต่เมื่อไหร่ที่ต้นไม้หลัก เก่าแก่ที่แม่พูดถึงเมื่อเช้านี้ล้มลงหมู่บ้านนี้จะยังคงอยู่ไหม... หรือจะสาบสูญไปกับต้นไม้ต้นนั้น??



หมายเหตุเกี่ยวกับผู้เขียน ผู้เขียนเป็นบุตรสาวของผู้นำชาวปกาเกอญอ(กะเหรี่ยง)จากหมู่บ้านท่าตาฝั่ง ริมแม่น้ำสาละวิน จังหวัดแม่ฮ่องสอน บันทึกนี้เขียนเมื่อประมาณสามปีก่อนที่บิดาจะเสียชีวิต