โรงเรียนวัดศิริมงคล ต้นแบบโรงเรียนในฝันของเด็กพลัดถิ่น

“ผมเป็นคนไทย ส่วนเพื่อนผมเป็นคนมอญจากพม่า  ครูให้เราสองคนนั่งเรียนด้วยกัน  ผมมีหน้าที่ช่วยเพื่อนอ่านภาษาไทย เวลามีขนมเราก็แบ่งกันกิน เราเลยเป็นเพื่อนสนิทกัน แล้วก็เลยตั้งชื่อเล่นใหม่กันเองว่า “ด็อกเตอร์”  คนหนึ่งชื่อ“ด็อก” อีกคนชื่อ “เตอร์” ครับ”


พูดจบเด็กชายก็ส่งเสียงหัวเราะกับชื่อเล่นใหม่ที่ตั้งขึ้นกันเอง   ทั้งสองคนเป็นนักเรียนชั้น ป. 3 ของโรงเรียนวัดศิริมงคล  ตำบลบ้านเกาะ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาครหรือมหาชัย โรงเรียนแห่งแรกที่เปิดโอกาสให้กับบุตรหลานแรงงานอพยพเข้าเรียนจำนวนมากที่สุดในพื้นที่นี้  อันที่จริง เด็กชายทั้งสองเพิ่งมีโอกาสได้เป็นเพื่อนร่วมชั้นกันเพียงครึ่งปี แม้ว่าเด็กชายชาวมอญจะยังพูดภาษาไทยไม่ชัดถ้อยชัดคำ แต่ความบริสุทธิ์ใสซื่อที่ซ่อนอยู่ในใจของเด็ก ๆ   ทำให้พรมแดนด้านภาษาหรือรัฐชาติไม่อาจปิดกั้นน้ำใจที่ทั้งคู่มีให้กันได้  เด็กชายทั้งสองจึงกลายเป็นคู่หูกันอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับเด็กนักเรียนเกือบ 300 คนในโรงเรียนแห่งนี้ แม้ว่ากว่า 250 คนจะเป็นลูกของแรงงานอพยพหลากหลายเชื้อชาติ แต่บรรยากาศภายในโรงเรียนกลับไม่ได้แบ่งแยกความแตกต่างที่มีอยู่เลย  ตรงกันข้าม เด็ก ๆ กลับส่งเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขมากไปกว่าเด็ก ๆ ในโรงเรียนอีกหลายแห่ง เพราะได้รับการปฏิบัติจากครูอย่างเท่าเทียมกัน    

นางเสาวนีย์  สว่างอารมณ์
นางเสาวนีย์  สว่างอารมณ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดศิริมงคลกล่าวถึงเหตุผลที่ตัดสินใจเปิดรับบุตรหลานแรงงานอพยพเข้าเรียนว่า   “ดิฉันเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งนี้มาสามปี เมื่อก่อนเวลาขับรถผ่านตามซอยโรงงานจะเห็นเด็กวิ่งเล่นเต็มไปหมด เพราะเด็กไม่มีโอกาสได้ไปโรงเรียนเหมือนอย่างเด็กไทย  ดิฉันรู้สึกสงสาร อยากเปิดโอกาสให้เด็กได้เรียน แต่ตอนนั้นรัฐบาลไทยยังไม่มีนโยบายสนับสนุน  ดิฉันจึงเริ่มแอบรับเด็กบางคนมาเข้าโรงเรียน เพราะ ถึงแม้เรียนจบจะไม่ได้ใบประกาศรับรอง แต่อย่างน้อยเด็ก ๆ ก็ยังได้ความรู้ติดตัวไป หลังจากรัฐบาลออกมติ ครม. 5 ก.ค. 48 ขยายโอกาสทางการศึกษาให้แก่บุคคลที่ไม่มีหลักฐานทางทะเบียนราษฎรหรือไม่สัญชาติไทย ก็เลยเปิดรับแบบเต็มที่เลย เพราะอยากให้โอกาสเด็กเหล่านี้อยู่แล้ว”  

ทว่า แม้นโยบายรัฐบาลจะประกาศให้เด็กทุกคนมีสิทธิเข้าเรียนในทุกโรงเรียน แต่ในทางปฏิบัติเด็กส่วนใหญ่ยังคงถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าเรียน เนื่องมาจากทัศนคติของบุคลากรในโรงเรียนที่ยังคงแบ่งแยกความเป็นเด็กด้วย “สัญชาติ”   เด็กที่ไม่มีสัญชาติไทยจึงถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าเรียน ด้วยเหตุผล “ห้องเรียนเต็ม” ผลก็คือ เด็กส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสได้เข้าเรียนในโรงเรียนใกล้ชุมชนที่พ่อแม่ทำงาน  แต่ต้องเดินทางมาเรียนที่โรงเรียนวัดศิริมงคล ซึ่งเปิดรับนักเรียนทุกสัญชาติอย่างเต็มใจ  และแม้ว่า “ห้องเรียนจะเต็ม” จนล้นออกมาเรียนนอกอาคาร  แต่ผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งนี้ก็ไม่เคยปฏิเสธเด็กที่มาสมัครเรียนเลยสักคนเดียว ทำให้ปัจจุบันโรงเรียนแห่งนี้มีเด็กนักเรียนเพิ่มขึ้นจากเดิม 80 คนเป็น 300 คน ในจำนวนนี้เป็นบุตรหลานแรงงานอพยพจากประเทศพม่าประมาณ 250 คน กว่าร้อยละ 70 เป็นชาวมอญ ส่วนที่เหลือเป็นชาวทวาย ชาวพม่าแท้ และชาวกะเหรี่ยง  

ผู้อำนวยการโรงเรียนกล่าวถึงขั้นตอนเตรียมความพร้อมของบุคคลการครูและชาวบ้านในละแวกโรงเรียนก่อนรับบุตรหลานแรงงานอพยพเข้าเรียนว่า    
“ก่อนเปิดรับเด็ก เราจะมีประชุมครู ปรึกษากันว่า ถ้าเราไม่เอาเด็กเหล่านี้มาเข้าโรงเรียน เด็ก ๆ ก็จะไม่มีอะไรทำ เด็กบางคนจะแอบมาขโมยของที่โรงเรียน  แต่ถ้าเราเอาเด็กมาเข้าโรงเรียน เค้าจะรู้สึกรักโรงเรียน  ครูทุกคนก็เห็นด้วย  หลังจากนั้น พวกเราก็จะแบ่งกันลงชุมชนทำความเข้าใจกับชาวบ้านถึงเหตุผลที่เราเปิดรับเด็กเข้าเรียน ใช้เวลาประมาณ 5 เดือน ชุมชนก็เข้าใจ”

โรงเรียนวัดศิริมงคลเปิดรับบุตรหลานแรงงานอพยพอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนกันยายน 2549 โดยได้รับความร่วมมือจากเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน หรือ LPN  (Labour Rights Promotion Network) โดยสนับสนุนครูที่มีความรู้ด้านภาษาพม่าและภาษาไทยมาช่วยสอนในชั้นเตรียมความพร้อมด้านภาษาไทยก่อนที่เด็กจะได้เรียนร่วมกับเด็กนักเรียนไทยในชั้นเรียนปกติ  โดยทางโรงเรียนจะจัดให้เด็กต่างสัญชาตินั่งเรียนคู่กับเด็กไทยเพื่อให้เด็กได้ช่วยเหลือกัน ส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการอย่างรวดเร็วทั้งในด้านภาษาไทยและความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนต่างสัญชาติ และกลายเป็นเพื่อนสนิทกันในเวลาอันรวดเร็วเหมือนดังเช่น คู่หู “ด็อก” กับ “เตอร์”

นอกจากนี้ ทางโรงเรียนยังส่งเสริมให้เด็กนักเรียนเล่นกีฬาและสนับสนุนประเพณีวัฒนธรรมของเด็กหลากหลายเชื้อชาติด้วยการจัดส่งการแสดงในชุดประจำชาติไปร่วมงานชุมชน  ทำให้เด็กมีความมั่นใจในตนเอง ไม่มีความรู้สึกแปลกแยก และทุ่มเทใจให้กับการร่วมกิจกรรมของโรงเรียนอย่างเต็มที่ ทำให้เด็กนักเรียนหลายคนได้สร้างชื่อเสียงให้โรงเรียน เช่น  ได้รับรางวัลรองชนะเลิศมินิวอลเลย์บอลอันดับ 2 วอลเลย์ชายอายุ 11 ปี จ.สมุทรสงคราม เป็นต้น  

เด็กชายสะอาด พาสูง เชื้อสายมอญ อายุ 12 ปี เป็นหนึ่งในทีมวอลเลย์บอล และเป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งขันกีฬาหลายประเทศ เขาสามารถเล่นกีฬาได้หลายประเภทตั้งแต่ฟุตบอล วอลเลย์บอล กรีฑา เปตอง ปิงปอง และตะกร้อ  โดยเมื่อปีที่ผ่านมา เขาเป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งกรีฑาระดับจังหวัดและคว้ารางวัลที่หนึ่งกลับมาให้โรงเรียนได้ภาคภูมิใจ  

ผู้อำนวยการผู้มีหัวใจสัญชาติกล่าวถึงความเปลี่ยนแปลงก็เริ่มเกิดขึ้นในรั้วโรงเรียนเล็ก ๆ แห่งนี้ว่า   “ตั้งแต่รับเด็กมาเข้าเรียน โรงเรียนไม่เคยมีของหายอีกเลย ขนาดเด็กไม่มีเงินซื้อขนม แต่เมื่อเก็บเงินได้ก็ยังเอามาส่งครู  เด็กรักครูและรักโรงเรียนมาก  เวลาเป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งกีฬาแล้วแพ้ ยังอยากเล่นใหม่เพราะอยากสร้างชื่อเสียงให้โรงเรียน  เราเคยจัดประชุมผู้ปกครอง พ่อแม่เด็กบางคนร้องไห้ บอกว่า เหมือนเค้าถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1 เพราะเราเปิดโอกาสให้ลูกได้เรียน บางคนมีเงินห้าบาทสิบบาทก็เอามาช่วยโรงเรียน”  

ปัจจุบัน ปัญหาที่โรงเรียนต้องเผชิญ คือ ห้องเรียนมีไม่พอกับจำนวนนักเรียน  อุปกรณ์การศึกษาต่าง ๆ และทุนสนับสนุนอาหารกลางวัน ซึ่งทางโรงเรียนได้จัดทำในรูปแบบของจ่ายคนละ 10 บาท กินได้ไม่จำกัด สำหรับเด็กที่มีเงินไม่พอหรือไม่มีเงิน ทางโรงเรียนก็จะช่วยเหลือเป็นพิเศษ  โดยทางโรงเรียนได้รับข้าวสารฟรีจากโรงงานลีลาเศรษฐกิจในจังหวัดสมุทรสาคารแห่งนี้ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้เด็ก ๆ ได้มีข้าวกินอิ่มทุกมื้อ และในช่วงเช้าของทุกวัน ทางโรงเรียนจะมีกล้วยแขวนไว้หน้าห้องเรียนสำหรับเป็นอาหารเช้าของเด็กที่ไม่ได้กินอาหารเช้ามาจากบ้าน

แม้ว่าปัญหาด้านงบประมาณจะเป็นอุปสรรคต่อการเปิดรับเด็ก ๆ เข้าเรียนอย่างเต็มที่ แต่ปัญหาเหล่านี้ก็ยังไม่ได้สร้างความกังวลใจและส่งผลกระทบต่อการเข้าถึงทางการศึกษาของเด็กมากเท่ากับปัญหา “อคติ” ที่คนไทยมีต่อประชาชนจากประเทศพม่า ซึ่งได้รับการตอกย้ำมายาวนาน  ผู้อำนวยการคนเดิมกล่าวถึงเรื่องนี้ด้วยสีหน้ากังวลใจว่า
“มีผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งหนึ่งบอกว่า  ถ้าคิดผิดก็ขอให้ถอนตัว เพราะพวกนี้ไม่ใช่ลูกหลานของเรา  เราคิดว่า เรามีจุดยืนในการทำงาน โดยยึดพระราชดำรัสของพระเทพฯ  ซึ่งเปิดโอกาสให้กับเด็กทุกคน เราคิดว่า ถ้าเขาอยู่บ้านเรา เราดูแลเค้าอย่างดี เค้าก็จะเป็นทรัพยากรที่ดีของเรา ถ้าเขาต้องกลับบ้านเขา เขาก็จะเป็นทรัพยากรที่ดีในบ้านของเขา ซึ่งก็เป็นเพื่อนบ้านของเรานั่นเอง  อยากให้คนไทยเปิดใจกว้าง ประวัติศาสตร์การสู้รบระหว่างไทยพม่าเป็นเรื่องอดีต เราจะมาผูกใจเจ็บทำไม  ให้อภัยและให้โอกาสกันไม่ได้หรือ”

ปัจจุบัน จังหวัดสมุทรสาคร เด็กอายุ 0-15 ปี ประมาณ 3,000 คน และอายุ 15-18 ปี เกือบ 20,000 คน   แต่เด็กที่ได้มีโอกาสเข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ยังไม่ถึง 300 คน เด็กส่วนที่เหลือยังคงวิ่งเล่นตามท้องถนน หรือเข้าทำงานในโรงงานก่อนวัย  หากโรงเรียนอื่น ๆ เปิดใจให้กว้าง ลบเลือนเส้นพรมแดนออกจากดวงตาเวลามองเด็กเหล่านี้ เด็กทุกคนก็คงจะมีโอกาสได้เรียนหนังสือ และเป็นอนาคตที่มีคุณค่าไม่ว่าพวกเขาจะอยู่บนแผ่นดินของรัฐชาติผืนใดก็ตาม

ฉบับที่ 37 (16 ก.พ. -30 มี.ค.50),