โดย ฮานอย
“คืนนี้เราจะไปท่องราตรีกัน” เสียงของเพื่อนร่วมเดินทางบอกถึงโปรแกรมลำดับสุดท้ายของวันที่สามในการท่องเที่ยวพม่า ก็พอจะทำให้คนฟังกระเด้งจากเตียงลืมความอ่อนเพลียจากการแพ้อาหาร ไปได้ฉับพลัน อันที่จริงแล้วด้วยนิสัยส่วนตัวก็ไม่ได้ชอบไปในสถานที่อึกทึกครึกโครมแวดล้อม ด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา แต่เพราะด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าบ้านเมืองนี้แหล่งบันเทิงยามค่ำคืน จะมีรูปแบบเหมือนหรือต่างกับบ้านเราอย่างไร สิ้นเสียงคำบอกกล่าวจึงตอบกลับไปว่า “ที่ไหนดีล่ะ” เห็นทีว่าคงจะมีเรื่องไว้เล่าถึงชีวิตการแบกเป้ในประเทศพม่าอีกหนึ่งเรื่องเป็นแน่
หลังจากที่ตะลอนดูโบสถ์ ชมวัดในย่างกุ้งมาทั้งวันเรานั่งแท็กซี่มายังสุเหล่เจดีย์ แม้ขณะนี้เป็นช่วง เวลาหัวค่ำแล้วแต่ย่านนี้ก็ยังคึกคักไปด้วยผู้คน ทั้งที่มารอขึ้นรถกลับบ้านหลังจากเลิกงาน บ้างก็มาจับจ่าย ซื้อของกินของใช้ตามร้านค้าและแผงขายของแบกะดินริมทาง พ่อค้าแม่ขายส่งเสียงเรียกลูกค้าเป็นระยะ บวกกับเสียงของกระเป๋ารถเมล์ระคนกันไป เมื่ออิ่มท้องด้วยข้าวผัดมังสวิรัติสไตล์อินเดียแล้ว มองดูนาฬิกา ก็ได้เวลาเหมาะเจาะโปรแกรมสุดท้ายของวันที่วางไว้ เราจึงเดินย้อนศรขึ้นไปตามถนนโบจ๊กอองซาน บางช่วงก็มืดสนิทจนต้องควักไฟฉายช่วยส่องทาง บางช่วงก็ส่องสว่างด้วยอิทธิฤทธิ์เครื่องปั่นไฟจากร้านทั้ง สองฝั่งถนน เจ้าของโปรแกรมบอกถึงสถานที่ๆ กำลังจะไปว่ามองเห็นป้ายร้านขณะที่นั่งอยู่บนรถเมล์เมื่อวาน ไม่ทันจะขาดคำจุดหมายปลายทางก็ปรากฏให้เห็น ห้องแถว 2 คูหา ด้านบนมีป้ายไฟสีเหลืองล้อมรอบด้วย ไฟกระพริบตัวหนังสือสีน้ำเงินเขียนว่า Kyaw Pub (จ่อ ผับ)
บริเวณหน้าร้านไม่มีพนักงานต้อนรับสาวสวยออกมานั่งรอรับแขกเช่นในบ้านเรา จะมีก็เพียงบริกร หนุ่มยิ้มโชว์ฟันขาวทาแก้มด้วยตะนาคา ยืนรับลูกค้าอยู่หน้าร้านด้วยชุดสูทผูกหูกระต่ายเรียบร้อยกับ รองเท้าคีบที่มองเห็นนิ้วเท้าชัดเจนครบทุกนิ้ว อาจจะมองดูขัดแย้งกับชุดเท่ห์ที่สวมอยู่แต่คนใส่ก็ไม่ได้แสดง อาการเคอะเขินแต่อย่างใด กลับใส่ใจลูกค้าอย่างแข็งขันพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า บรรยากาศในร้านไม่ต่าง กับร้านจำพวกผับแอนด์เรสเทอรองทั่วไปในบ้านเราแต่สภาพอาจจะดูเก่าไปสักหน่อยเพราะไม่ได้มีการ ตกแต่งอย่างสวยงามมากนัก ผู้คนที่นั่งอยู่มีหลากหลายวัยโดยสังเกตจากการแต่งตัวแล้ว จะพบว่ามีทั้งวัยรุ่น และคนหนุ่มในวัยทำงานเป็นส่วนใหญ่ซึ่งแทบจะไม่มีผู้หญิงนั่งอยู่เลย
พื้นที่ในร้านถูกใช้ไปกับการวางโต๊ะที่จัดให้หันหน้าไปยังเวที เล็กๆ แต่ก็ไม่รู้สึกคับแคบหรืออึดอัด ที่นี่มีเครื่องทำความเย็นคือพัดลมเพดาน มองไปบนโต๊ะมีจานใส่ถั่วลิสงต้มวางอยู่เคียงกับกระดาษทิชชู เนื้อหยาบ ที่บริกรหนุ่มตั้งใจพับอย่างประณีตให้เป็นรูปสามเหลี่ยม วางทับด้วยตะเกียบสำหรับคีบถั่วเข้าปาก มองไปรอบตัวก็ไม่เห็นจะมีใครใช้มือหยิบถั่วต้มกินสักคน ครานี้จึงต้องพึ่งตำราเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่ว ตาตาม ถึงจะลำบากสักหน่อยแต่ก็ได้รสชาติของการกินไปอีกแบบ
หลังจากได้ลองลิ้มรสเบียร์ยี่ห้อท้องถิ่นสักพัก เสียงดนตรีก็เริ่ม บรรเลงขึ้นพร้อมแสงไฟแต่ละสีสลับกันสาดส่องสร้างสีสันบนเวทีให้ น่าสนใจ ไม่นานก็ได้ยินเสียงนักร้องแต่เราก็ยังไม่เห็นต้นเสียงจนกระทั่ง จบวรรคแรกของเพลง นักร้องสาวเดินก้มหน้าออกมายืนอยู่กลางเวที ด้วยเสื้อเชิ้ต กางเกงขายาว จังหวะเพลงแสนคึกคักชวนให้โยกตัวตาม เหลือเกิน แต่ใบหน้านักร้องกลับเรียบเฉย ไม่มีอวัยวะส่วนใดของร่างกาย ขยับตามเพลงนอกจากการขยับปาก ไม่ส่งยิ้มและสบตาใครเมื่อร้องเพลง จนจบวรรคสุดท้าย แต่ดนตรียังไม่จบเธอก็เดินกลับเข้าไปด้านหลังเวที ดื้อๆ อย่างนั้น ทำให้นั่งอมยิ้มและนึกย้อนไปตอนสมัยเด็กที่ถูกจับให้ ยืนร้องเพลงอยู่หน้าชั้นเรียนที่มีแต่เพื่อนๆ ทั้งห้องจ้องมองสีหน้าท่าทาง ไม่ต่างกับนักร้องคนนี้เลยแถมจะร้องไห้ด้วยซ้ำไป
หลังจากเพลงแรกจบไปก็มีนักร้องคนอื่นๆ สับเปลี่ยนหมุนเวียน กันขึ้นมาแต่พวกเธอทุกคนยังคงคอนเซ็ปต์เดียวกันในเสื้อผ้าเครื่อง แต่งกายที่ไม่หวือหวาและใบหน้าออกอารมณ์โกรธนิดๆ ชวนให้สงสัย ว่าเป็นกฎข้อห้าม หรือทำเพื่อกลบเกลื่อนอาการเขิน แต่ถึงอย่างไร ก็ทำให้เราตั้งใจฟังนักร้องทุกคนที่ขึ้นมาบนเวทีและลุ้นอยู่ในใจว่าคืนนี้ จะได้เห็นรอยยิ้มจากพวกเธอหรือไม่ นอกจากนั้นแล้วยังมีการเดินแบบ ประกอบดนตรีของเหล่านักร้องสาวมาแทรกเป็นระยะเพื่อไม่ให้คนดู เบื่อจนเกินไป แต่ที่สร้างความตื่นตาตื่นใจได้มากไม่ยิ่งหย่อนกับการ ร้องเพลงและลีลาการเดินแบบสำหรับเราก็คือ การโชว์สเต็ปแดนซ์ของ นักเต้นหนึ่งกลุ่มที่นำโดยหนุ่มหน้ามนท่าทางอ้อนแอ้น ที่ถือว่าเป็น ไฮไลท์เลยของการแสดงเลยก็ว่าได้ เขาเรียกรอยยิ้มและสามารถตรึง ทุกคนให้อยู่กับการแสดงบนเวทีได้ชะงัด ทำให้อีกสองสาวที่ยืนอยู่ด้าน หลังหมดเสน่ห์ไปโดยปริยาย ลีลาการยักย้ายส่ายสะโพกแต่พองามตาม จังหวะเพลงทำให้เราคิดว่า กำลังชมภาพยนตร์อินเดียสักเรื่องในฉากที่ พระนางร้องเพลงวิ่งไล่จีบกัน แต่ก็สะดุดกับความหวาดเสียวจากกางเกง ที่หลวมไปสักนิดของหนุ่มผู้นี้ เราจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกทุกครั้งที่เขาหยุดส่ายสะโพกแล้วเปลี่ยนไปเต้นท่าอื่น เพราะกลัวเหลือเกินว่า หากกางเกงหลุดต่ำลงมาแล้วเราจะเห็นอะไรต่อบนเวที ซึ่งคงไม่ใช่ภาพ ที่น่าดูแน่
นอกเหนือไปจากแสงสีบนเวทีแล้ว สิ่งที่แสดงถึงความชื่นชม พอใจของผู้ชมที่มีต่อนักร้องก็คือ การมอบพวงมาลัย ที่น่าสนใจเพราะ วิธีการค่อนข้างแปลกทั้งผู้ให้และการตอบรับของผู้รับ เริ่มจากมีเสียง ปรบมือเป็นจังหวะจากพนักงานทั้งร้าน ก่อนที่จะมีตัวแทนพนักงานคน หนึ่งขึ้นไปมอบให้บนเวที หากลูกค้าคนใดชื่นชอบในน้ำเสียงและ อยากส่งพวงมาลัยเป็นการชื่นชมนั้น สามารถสั่งซื้อจากพนักงานร้านได้ สนนราคาอยู่ระหว่าง 2,000-3,000 จั๊ต หรือประมาณ 65 บาท แล้วแต่รูปแบบ แน่นอนว่าหน้าตาของนักร้องที่ได้พวงมาลัยยังคงมีสีหน้า ไม่ปฏิเสธและไม่แสดงความยินดีต่อสิ่งที่ได้รับ
ตลอดระยะเวลาสองชั่วโมงที่เรานั่งอยู่ สังเกตเห็นว่าผู้คนใน ร้าน นั่งดื่มกินด้วยพฤติกรรมที่เป็นไปอย่างสุภาพเรียบร้อย ไม่มีการ ตะโกนแซวนักร้องหรือคนเมาเดินไปเกาะแกะใครหน้าเวที ไม่มีการลุก เต้นตามจังหวะหรือโห่ร้องใดๆ ต่างคนต่างนั่งพูดคุยกับกลุ่มของตนอยู่ ที่โต๊ะโดยที่ไม่มีการเชิญให้นักร้องมานั่งพูดคุยด้วย เสียงเพลงภาษา พม่ายังคงบรรเลงไปเรื่อยๆ ตามนักร้องที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกัน ขึ้นมาขับร้องทั้งเพลงช้าเพลงเร็ว โชว์การเดินประกอบเพลงหลายต่อ หลายชุดผ่านสายตาเราไป จนเวลาล่วงเลยมาเกือบครึ่งค่อนคืน จึงได้ เวลากลับที่พักเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการท่องเที่ยวในวันต่อไป ก่อนจะกลับก็ได้ยินเสียงจากโต๊ะด้านหน้าเรียกให้พนักงานเก็บเงินค่า เครื่องดื่มและอาหาร พนักงานเสิร์ฟกลับมาพร้อมบิลและขวดพลาสติก เปล่า เบียร์เย็นๆ ที่ยังมีเหลือกว่าครึ่งค่อนเหยือก พนักงานเสิร์ฟกลับ ช่วยกรอกใส่ขวดให้นำกลับไปดื่มต่อที่บ้านหน้าตาเฉย ซึ่งก็ไม่กล้า จะทะลึ่งไปถามว่าเป็นความประสงค์ของลูกค้า หรือเป็นธรรมเนียม ปฏิบัติของร้านนี้ แล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าถั่วต้มที่วางอยู่บนโต๊ะของเรา จะถูกจัดใส่ถุงให้นำกลับด้วยหรือไม่
เมื่อเราก้าวพ้นประตูร้านออกมา รถแท็กซี่พาหนะเดียวที่จะพา กลับสู่ที่พักได้ในเวลานี้จอดเรียงรายให้เลือกอยู่แล้วหน้าร้าน รถแล่น ผ่านเส้นทางเดิมเมื่อหัวค่ำที่เราย่ำเท้าผ่านมา แสงไฟส่องสว่างเพียง บางมุมของถนนเห็นเงาคนเก็บขยะใต้แสงไฟสลัว บรรยากาศดูเงียบ เหงาคล้ายงานเลี้ยงเพิ่งเลิกรา ระหว่างที่นั่งแท็กซี่กลับเรายังคงพูดถึงสิ่ง ที่ได้พบเจอพร้อมเสียงหัวเราะ เพื่อนร่วมทางเปรยว่า“ถ้ามีเวลาเหลือ ก่อนกลับบ้านน่าจะหาเวลาไปชมบรรยากาศที่ร้านอื่นอีก” คนฟัง พยักหน้าและยิ้มกว้างแทนคำตอบ
ประเทศนี้ยังมีอีกหลายอย่างที่มักจะมีเรื่องที่เราคาดไม่ถึง ให้ได้อมยิ้ม ซาบซึ้ง และแปลกใจได้เสมอๆ