เขื่อนสาละวิน โศกนาฏกรรมแห่งกอทูแล

โดย อาทิตย์ ธาราคำ

ชาวบ้านกะเหรี่ยงในเขตสาละวินฝั่งพม่ากล่าวถึงอภิมหา โครงการที่กำลังจะมาเยือนฟากตะวันออกของแผ่นดินกอทูเล หรือรัฐกะเหรี่ยงบนฝั่งน้ำสาละวิน

เมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา กลุ่มปกป้องแม่น้ำกะเหรี่ยง (Karen Rivers Watch-KRW) ได้ออกรายงาน Salween Dams: Development Version of Burma Military Regime (เขื่อนสาละวิน: “การพัฒนา” ของรัฐบาลทหารพม่า) ซึ่งให้ข้อมูล ผลกระทบโดยเฉพาะมิติการเมืองและสังคมที่จะเกิดขึ้นหากโครงการ เขื่อนสาละวินเป็นจริง


โครงการเขื่อนสาละวินชายแดนไทย-พม่าจะกั้นลำน้ำ นานาชาติที่ยาวที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สายสุดท้าย ที่ยังคงไหลอย่างอิสระ โครงการยักษ์ขนาดสองแสนล้านบาทนี้ ประกอบด้วยสองเขื่อนบนแม่น้ำสาละวินชายแดนไทย-พม่า เขตจังหวัดแม่ฮ่องสอน ตรงกันข้ามกับรัฐกะเหรี่ยง โดยเขื่อนเล็ก ตั้งอยู่ใกล้บ้านท่าตาฝั่ง และเขื่อนใหญ่อยู่ที่เว่ยจี มีกำลังผลิตติดตั้ง รวมกว่า 5,000 เมกกะวัตต์ เพื่อผลิตไฟฟ้าขายให้แก่ประเทศไทย ในราคาที่เจ้าของโครงการ คือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) อ้างว่าถูกแสนถูก

การลงทุนทั้งหมดเป็นภาระของประเทศไทยที่จะต้องจัดหา เงินทุน โดยเป็นโครงการร่วมกันระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาล ทหารพม่า ซึ่งหมายความว่าทหารพม่าจำนวนมากจะเข้ามายึดพื้นที่ บริเวณสร้างเขื่อนทั้งสอง และสิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คือการทำลาย ล้างชาวกะเหรี่ยงและกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ที่อาศัยในบริเวณดังกล่าว โดยอาศัยเขื่อนในฐานะสัญลักษณ์แห่งการพัฒนา เหมือนกับที่ รัฐต่างๆ ทั่วโลกเคยทำเสมอมาเมื่อต้องการยึดพื้นที่ และขับไล่ ทำลาย “ศัตรู” กองกำลังต่างๆ หรือชนกลุ่มน้อยที่รัฐไม่ต้องการ

รายงานฉบับดังกล่าวของกลุ่มปกป้องแม่น้ำกะเหรี่ยงระบุ อย่างชัดเจนถึงความกังวลของชาวกะเหรี่ยงต่อเขื่อนสาละวิน ในประเด็นทางการเมือง การเข้ามาของทหารพม่าที่จะนำมาซึ่ง การควบคุมพื้นที่และประชาชนอันหมายถึงการละเมิดสิทธิมนุษย- ชน ในรูปแบบต่างๆ อาทิ ทำลายเผาหมู่บ้าน บังคับอพยพ ข่มขืน ทารุณกรรม และเกณฑ์แรงงาน ดังจะเห็นได้จากรายงาน “แรงงานทาสในพม่า : อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ” ที่รวบรวม คำสัมภาษณ์ของผู้ใหญ่บ้านจาก 10 หมู่บ้านในเขตภาคตะวันออก ของพม่า โดยรายงานได้เปิดเผยให้เห็นถึงการบังคับใช้แรงงาน ทาสอย่างเป็นระบบโดยทหารพม่า ซึ่งหมายความว่าโครงการเขื่อน มาทหารพม่ามา ประชาชนก็ต้องเผชิญชะตากรรมเดิมๆ แต่รุนแรง กว่าเดิม

“ในประเด็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ปัจจุบันก็เห็นได้ อย่างแจ่มชัดแล้วว่าทหารพม่าทำการทารุณกับชาวบ้านอย่างไร หากมีเขื่อน ชาวบ้านก็ต้องอพยพหนีน้ำ และถูกไล่ออกไปจากเขต สร้างเขื่อนเพื่อความปลอดภัยของเขื่อน และดูเหมือนว่าชาวบ้านจะ มิได้รับความช่วยเหลือในการอพยพหรือค่าชดเชย ที่ผ่านมา รัฐบาลทหารพม่าก็เคยใช้โครงการพัฒนาเป็นข้ออ้างในการอพยพ ชาวบ้านกลุ่มชาติพันธุ์ เช่นกรณีโครงการท่อก๊าซยาดานาไทย-พม่า” รายงานของกลุ่มปกป้องแม่น้ำกะเหรี่ยงระบุไว้

คณะทำงานของกลุ่มปกป้องกะเหรี่ยงได้รวบรวมข้อมูลจาก พื้นที่จังหวัดมือตรอว์ (Mutraw) ของรัฐกะเหรี่ยงติดกับลำน้ำ สาละวิน ซึ่งเป็นบ้านของประชาชนราว 54,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่ เป็นชาวกะเหรี่ยง จากการสำรวจของหน่วยพยาบาลเคลื่อนที่ (Backpack Health Worker Team) ซึ่งเป็นคณะหมอที่เข้าไปช่วย รักษาผู้ป่วยตามหมู่บ้านหรือหลบซ่อนอยู่ในป่า ในจำนวนนี้กว่า 1 ใน 3 มีชาวบ้านที่ต้องหลบหนีทหารพม่าเป็นผู้พลัดถิ่นภายใน ประเทศ (Internally Displaced Persons-IDPs)

สถิติของกองทัพสหภาพกะเหรี่ยง (KNU) ระบุว่าชาวบ้าน ถูกทหารพม่าปฏิบัติเยี่ยงศัตรู โดยพื้นที่ส่วนใหญ่ในเขตจังหวัด มือตรอว์ เป็นเขต “ยิงเสรี” ที่ทหารพม่ากำหนดไว้ ระหว่างปี 2540-2545 มีชาวบ้านในเขตนี้ถูกทหารพม่าสังหารและทำร้ายกว่า 150 คน

นับตั้งแต่ปี 2540 หน่วยทหารพม่า 5 กอง ถูกส่งมา ประจำการในพื้นที่มือตรอว์และในปี 2545 ทหารพม่าก็สามารถ ตั้งฐานที่มั่นริมฝั่งน้ำสาละวินได้อีกหลายจุดเพื่อควบคุมเขตชายแดน

ล่าสุดมีรายงานข่าวจากแหล่งข่าวในพื้นที่ว่าช่วงปีที่ผ่านมา มีการสำรวจพื้นที่เพื่อสร้างเขื่อนสาละวินตลอดแนวชายแดนไทย-พม่าและในเขตพม่า โดยมีทหารพม่านำทีมสำรวจชาวไทยเข้าไปใน ฝั่งพม่าด้วย ขณะที่ทหารเคเอ็นยูซึ่งคัดค้านโครงการก็ได้ถูกกดดัน มิให้ขัดขวางการทำงานของทีมสำรวจ

แม้ประชาชนในพื้นที่และกองกำลังกู้ชาติจะไม่ต้องการ เขื่อนสาละวินเพียงใด แต่ก็ดูเหมือนว่าหน่วยงานเจ้าของโครงการ มิเคยมองเห็น มิเคยคำนึงถึงหยาดน้ำตาและเลือดที่จะหลั่งลงสู่ แผ่นดินและสายน้ำหากมีการสร้างเขื่อน
เสียงหนึ่งของชาวบ้านจากริมฝั่งสาละวินแว่วมา

“เราอยากปกป้องแม่น้ำและชีวิตของเรา แต่เราเป็น ชาวบ้าน เป็นชนกลุ่มน้อย เราไม่มีสิทธิมีเสียงบนแผ่นดินนี้ เราอยากให้คนที่ช่วยเราได้ช่วยปกป้องพวกเราด้วย ชาวบ้านจะได้ อยู่กันอย่างสงบสุขและไม่ต้องจากบ้าน ไม่ต้องจากไร่นาของเราไป”