โดย ธันวา สิริเมธี
สงครามและการข่มขืนในพม่า
กล่าวกันว่า สงครามและการข่มขืนมักเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ควบคู่กัน แต่ตัวเลขของผู้ถูกข่มขืนไม่ได้ถูกระบุไว้ในรายงานความ เสียหายจากสงคราม ทั้ง ๆ ที่ความเสียหายอันเกิดจากการข่มขืน จะปรากฏในความทรงจำของหญิงสาวผู้ถูกข่มขืนไปตลอดชีวิต และบางครั้งปรากฏอยู่ในร่างกายของเธอผู้นั้นในรูปทารกน้อย ๆ ซึ่งหญิงสาวส่วนใหญ่เลือกทำลายชีวิตเล็กๆ เหล่านี้มากกว่าปล่อยให้ ลืมตาดูโลกท่ามกลางความเกลียดชังของผู้เป็นแม่ สงครามจึงไม่ใช่ การเอาชนะกันด้วยอาวุธเพียงอย่างเดียว แต่ยังหมายถึงการ เอาชนะเรือนร่างหญิงสาวสายเลือดเดียวกับศัตรู จำนวนผู้หญิงที่ ถูกข่มขืนในยามสงครามจึงมีมากมาย
สำหรับประเทศพม่า ประเทศซึ่งเต็มไปด้วยไฟสงคราม กลางเมืองระหว่างรัฐบาลทหารและชนกลุ่มน้อยมายาวนาน กว่า ครึ่งศตวรรษจึงเต็มไปด้วยผู้หญิงชนกลุ่มน้อยซึ่งถูกข่มขืนโดย ทหารพม่าจำนวนมากมายจนโลกตะลึง!
การข่มขืนในประเทศพม่ามีความสัมพันธ์กับสงครามระหว่าง รัฐบาลทหารกับชนกลุ่มน้อยอย่างแยกไม่ออก พื้นที่ซึ่งการสู้รบมาก กองกำลังทหารทั้งสองฝ่ายในพื้นที่นั้นก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว แต่สาเหตุที่ทหารพม่ามีข่าวหรือรายงานการข่มขืนหญิงชนกลุ่มน้อย มาโดยตลอด เนื่องมาจากพื้นที่สู้รบอยู่ในเขตรัฐชนกลุ่มน้อย ไม่ว่าจะเป็นรัฐฉาน รัฐกะเหรี่ยง รัฐคะยา รัฐมอญ และรัฐอื่น ๆ ตลอดแนวชายแดนพม่าและประเทศเพื่อนบ้าน
ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมามีรายงานการข่มขืนผู้หญิงชนกลุ่มน้อย โดยทหารพม่าออกมาหลายฉบับ รายงานฉบับที่สร้างความฮือฮา มากที่สุดก็คือรายงาน “License to Rape” หรือ “ใบอนุญาต ข่มขืน” จัดทำโดยเครือข่ายปฏิบัติงานสตรีไทยใหญ่ หรือ Shan Women’s Action Network (SWAN) และองค์กร สิทธิมนุษยชนไทยใหญ่ หรือ Shan Human Rights Foundation (SHRF)ออกเผยแพร่เมื่อปลายปี 2002 เนื้อหาของรายงาน เปิดเผยถึงกรณีข่มขืนผู้หญิงในรัฐฉาน ระหว่างปี1996-2001 จำนวน 173 กรณี โดยมีผู้หญิงตกเป็นเหยื่อถึง 625 คน มีทหารพม่า เกี่ยวข้องทั้งหมด 52 กองพัน ผู้จัดทำรายงานสามารถระบุชื่อ ทหารและหน่วยบัญชาการที่ก่อเหตุได้อย่างละเอียด และเนื่องจาก การข่มขืนเป็นความอัปยศอดสูที่สุดในชีวิตของลูกผู้หญิง การ เปิดเผยเรื่องนี้ต่อผู้อื่นเป็นเรื่องไม่ง่ายนัก ตัวเลขของผู้ถูกข่มขืนกว่า หกร้อยคนจึงน่าจะต่ำกว่าความเป็นจริง
นับตั้งแต่ปี 1988 เป็นต้นมา กองทัพพม่าได้ส่งกำลังทหาร เข้ามาในรัฐฉานเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนล่าสุดในปี 2002 กำลังทหารพม่าในรัฐฉานมีจำนวนมากถึง 116 กองพัน ขณะที่ กองกำลังทั่วประเทศมีทั้งหมด 500 กองพัน นั่นหมายความว่า รัฐฉานมีกองกำลังทหารพม่าจำนวน 1 ใน 4 ของกองกำลัง ทั้งหมดในประเทศ จากสถิติที่ปรากฏในรายงานฉบับนี้พบว่า พื้นที่ซึ่งมีผู้หญิงถูกข่มขืนมากที่สุด คือ รัฐฉานตอนกลาง ซึ่งรัฐบาล ดำเนินนโยบายกวาดล้างกองกำลังไทยใหญ่อย่างรุนแรงนับตั้งแต่ ปี 1996 เป็นต้นมา (หลังการวางอาวุธของขุนส่าต้นปี 1996 รัฐบาลทหารได้ดำเนินการกวาดล้างกองกำลังไทยใหญ่ที่แยกตัวออกไป สู้รบต่อ คือ กองกำลังเอส เอส เอ นำโดยเจ้ายอดศึก)
สิ่งที่น่าตกใจก็คือ ผู้ก่อเหตุเหล่านี้เป็นนายทหารระดับ บังคับบัญชาที่มียศตั้งแต่ระดับสิบโทถึงพันตรี โดยนายทหาร หลายคนได้ส่งเหยื่อที่ตนข่มขืนให้กับลูกน้องรุมโทรมต่อจากตน หรือแม้กระทั่งปล่อยให้ลูกน้องฆ่าเหยื่อทิ้งโดยไม่หวาดกลัวการลงโทษ เมื่อผู้เสียหายแจ้งความเพื่อดำเนินคดี เจ้าหน้าที่ฝ่ายบังคับบัญชา ของรัฐบาลทหาร กลับไม่มีความพยายามจับตัวผู้กระทำผิดมา ลงโทษแต่อย่างใด ตรงกันข้าม เจ้าหน้าที่บางคนยังข่มขู่และทำร้าย ร่างกายให้ยุติการเรียกร้องความเป็นธรรม
ปี 2003 หนึ่งปีต่อมาหลังจากรายงาน “ใบอนุญาตข่มขืน” ออกเผยแพร่ องค์กร Refugees International ได้จัดทำรายงาน การข่มขืนผู้หญิงชนกลุ่มน้อย 5 กลุ่มชาติพันธุ์ออกเผยแพร่ ภายใต้ชื่อ “No Safe Place” หรือ “ไม่มีที่ปลอดภัย” ประกอบด้วย ผู้หญิงชาวกะเหรี่ยง คะยา(คะเรนนี) มอญ ทวาย และไทยใหญ่ จากทั้งหมด 43 เหตุการณ์
ล่าสุด เมื่อเดือนเมษายน 2004 ที่ผ่านมา กลุ่มผู้หญิง กะเหรี่ยง หรือ Karen Women’s Organization (KWO) ได้จัดทำรายงานเรื่อง “Shattering Silences” หรือ “เมื่อความเงียบ ถูกทำลาย” เปิดเผยกรณีทหารพม่าข่มขืนผู้หญิงชาวกะเหรี่ยง ระหว่างปี1988 - 2004 จำนวน 125 กรณี รายงานฉบับนี้เรียกได้ว่า เปิดมิติใหม่ให้กับหญิงชาวกะเหรี่ยง เนื่องจากที่ผ่านมาผู้หญิง กะเหรี่ยงส่วนใหญ่ไม่เคยกล้าออกมาเปิดเผยเรื่องราวเหล่านี้ต่อ ชุมชนของตน แต่ผู้จัดทำรายงานฉบับนี้ เป็นกลุ่มผู้หญิงกะเหรี่ยง ซึ่งเป็นเชื้อสายเดียวกัน จึงสะท้อนให้เห็นว่าสังคมของหญิง กะเหรี่ยงเริ่มกล้าลุกขึ้นมาเรียกร้องความเป็นธรรรมให้กับตนเองมาก ยิ่งขึ้นและความลับดำมืดซึ่งถูกเก็บไว้ในใจของหญิงกะเหรี่ยง จำนวนมากจึงได้รับการเปิดเผยอยู่ในรายงานฉบับนี้
รายงานฉบับนี้ยังได้ชี้ให้เห็นประเด็นสำคัญที่ว่า การข่มขืน ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับการสู้รบระหว่างทหารพม่าและทหาร กะเหรี่ยงเพียงอย่างเดียว แต่มีความสัมพันธ์กับการส่งกำลังทหาร พม่าจำนวนมากเข้ามาประจำการในพื้นที่ของรัฐกะเหรี่ยงมากกว่า เพราะถึงแม้รัฐบาลทหารกับกองกำลังกะเหรี่ยงตกลงเจรจาหยุดยิงไปแล้ว แต่จำนวนทหารพม่าในรัฐกะเหรี่ยงยังคงมีจำนวนมาก และทหาร เหล่านี้ยังคงกระทำการข่มขืนอย่างต่อเนื่อง บรรดาหญิงสาว กะเหรี่ยงจึงหวาดวิตกว่า หากรัฐบาลไทยรีบตัดสินใจส่งกลับ ผู้ลี้ภัยชาวกะเหรี่ยงกลับประเทศโดยไม่มีข้อตกลงกับรัฐบาลทหาร เรื่องการถอนกำลังออกจากพื้นที่รัฐกะเหรี่ยง โอกาสที่หญิงสาว กะเหรี่ยงจะถูกข่มขืนก็ยังคงเท่าเดิม แต่บรรดาเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย จะมีทางเลือกน้อยลง เนื่องจากไม่มีโอกาสหนีเข้ามาพึ่งพิง ประเทศไทยได้อีกต่อไป
นอ ซิพพอรา เส่ง (Naw Zipporah Sein) เลขาองค์กร ผู้หญิงกะเหรี่ยงได้กล่าวไว้ในแถลงการณ์เพื่อเผยแพร่รายงานฉบับนี้ว่า
“เราจะเชื่อมั่นได้อย่างไรว่ารัฐบาลทหารพยายามที่จะนำ ความสงบและประชาธิปไตยมาสู่ประเทศพม่าอย่างแท้จริง เมื่อทหารของพวกเขายังคงกระทำการข่มขืนอย่างชั่วร้ายต่อไป โดยปราศจากการลงโทษ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศพม่าจะต้องมี การปฏิรูปการเมืองอย่างแท้จริง และถอนกำลังทหารพม่าออกจาก รัฐกะเหรี่ยงทั้งหมดก่อน พวกผู้หญิงกะเหรี่ยงจะได้รู้สึกปลอดภัย ก่อนที่กลับไปในอยู่ที่นั่น”
โรงเรียนสอนการข่มขืน
หนังสือเรื่อง“School for Rape”หรือ “โรงเรียนสอน การข่มขืน”เขียนโดย Besty Apple จัดพิมพ์โดยองค์กรเอิร์ทไรธ์ อินเตอร์เนชั่นแนล (EarthRights International หรือ ERI) เมื่อปี 1998 ได้พยายามทำการวิเคราะห์ถึงปัญหาการข่มขืน ซึ่งเกิดขึ้น อย่างกว้างขวางในพื้นที่ชนกลุ่มน้อยว่า เริ่มมาจากระบบการฝึก ทหารของกองทัพพม่า ซึ่งบ่มเพาะแนวคิดที่ว่าผู้หญิงชนกลุ่มน้อย คือพวกเดียวกับศัตรู การทำร้ายผู้หญิงเหล่านี้ด้วยการข่มขืนและ ความรุนแรงจึงเป็นเรื่องชอบธรรม นอกจากนี้ ระบบการฝึกทหาร ยังบ่มเพาะนิสัยก้าวร้าวและรุนแรงตั้งแต่เริ่มเข้ารับการฝึก โดยทหารจำนวนมากถูกบังคับให้เป็นทหารตั้งแต่อายุไม่ถึง 18 ปี ดังเห็นได้จากประเทศพม่าติดอันดับประเทศที่มีทหารเด็กมากที่สุด ในโลก โดยทหารเด็กส่วนใหญ่อยู่ในกองทัพของรัฐบาลทหารพม่า
เมื่อเข้ารับการฝึกทหาร รุ่นพี่หรือครูฝึกมักใช้ความรุนแรง กับเด็กเหล่านี้อยู่เสมอจนทำให้เด็กๆ รู้สึกชินชากับการใช้ความ รุนแรง หลังจากผ่านหลักสูตรการฝึก ทหารใหม่มักถูกส่งไปรบ แนวหน้าหรือเขตชนกลุ่มน้อย ความห่างไกลจากครอบครัว ตั้งแต่อายุยังน้อยผนวกกับการถูกปลูกฝังให้ใช้ความรุนแรง และการมองหญิงชนกลุ่มน้อยเป็นศัตรูได้ทำให้การข่มขืนหญิง ชนกลุ่มน้อยเกิดขึ้นอย่างดาษดื่น เมื่อทหารเด็กเหล่านี้เติบโตขึ้นไป เป็นทหารระดับสูงขึ้น การข่มขืนได้กลายเป็นแบบอย่างให้ทหาร ชั้นผู้น้อยโดยอัตโนมัติ วงจรอุบาทว์เช่นนี้จึงหมุนเวียนและ ดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุดลง ตรงไหน ด้วยเหตุนี้ ระบบการฝึกอบรมทหารในกองทัพพม่า จึงไม่ต่างอะไรกับ“โรงเรียนสอนการข่มขืน” ซึ่งมีนักเรียนจบ หลักสูตรนี้ปีละไม่น้อย
และสิ่งที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้ คือ ผลงานของนักเรียน ที่จบหลักสูตรจาก “โรงเรียนสอนการข่มขืน” แห่งนี้ ในรายงาน เรื่อง “ใบอนุญาตข่มขืน” ของกลุ่มสตรีไทยใหญ่
“นางหล้า เป็นหญิงอายุ 16 ปี แต่งงานเมื่อสามปีที่ผ่านมา นางอาศัยอยู่กับสามีวัย 26 ปีในกระท่อมหลังเล็ก ๆ ปลูกบนที่นา เดือนสิงหาคม 2001 ทหารพม่าบุกเข้ามาที่บ้าน ทำการทุบตี และทรมานสามีของเธอ หลังจากนั้นใช้ผ้าปิดตาและมัดสามี ไว้ที่ต้นไม้ และลากนางหล้าซึ่งขณะนั้นตั้งครรภ์ได้ 7 เดือน เข้าไปในกระท่อม เธอถูกฟาดด้วยกิ่งไม้และด้ามปืนที่ใบหน้า และลำตัวจนเลือดไหลออกจากจมูก แม้ว่าเธอจะตั้งครรภ์ได้ 7 เดือน ทหารเหล่านั้นก็ยังรุมข่มขืนเธอ คนแล้วคนเล่าประมาณ 10 คน ขณะที่คนหนึ่งข่มขืนเธอ ทหารที่เหลือรออยู่นอกกระท่อม หัวเราะกันเป็นที่สนุกสนานเมื่อได้ยินเสียงเธอหวีดร้องและร่ำไห้
“เธอต้องนอนพักที่โรงพยาบาล 5 วัน ทหารพวกนั้นมัด สามีของเธอไว้ให้ไกล้พอที่จะได้ยินเสียงว่าเกิดอะไรขึ้นกับภรรยา ของเขาในกระท่อม ใกล้พอที่จะได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด และทรมานของเธอ พวกทหารทำราวกับเธอไม่ใช่มนุษย์ ข่มขืนเธอ ตั้งแต่สองทุ่มจนถึงตีสี่ของวันใหม่ ตลอดค่ำคืนแห่งความเลวร้ายนั้น นางหล้าสลบไปหลายครั้งหลายครา พวกทหารทิ้งเธอไว้หลังจาก ข่มขืนจนหนำใจ พวกเขานำตัวสามีของเธอไปด้วยเพื่อเป็นลูกหาบ ในกองทัพ สามีของเธอไม่ได้กลับมาอีกเลย และเธอก็ได้รู้ว่าในเวลา ต่อมาว่า สามีของเธอตายแล้ว”
อดีตทหารพม่าหนีทัพให้สัมภาษณ์ในหนังสือ “โรงเรียน สอนการข่มขืน” ถึงเหตุการณ์เพื่อนทหารข่มขืนหญิงชนกลุ่มน้อย เมื่อครั้งที่เขายังเป็นทหารอยู่ในกองทัพพม่าว่า
“ผมคิดว่า พวกทหารกลุ่มนั้นต้องการรังแกชนกลุ่มน้อย ผมคิดว่าพวกเขาทำกับชนกลุ่มน้อยแย่มากๆ ผู้หญิงที่ผมรู้ว่าถูก ข่มขืนเป็นหญิงชาวมอญ ส่วนทหารเป็นเชื้อสายพม่า ผมไม่คิดว่า ทหารเหล่านี้จะข่มขืนหญิงพม่าด้วยกัน มันอาจจะมีอยู่บ้าง แต่ผม ยังไม่เคยได้ยินใครพูดถึงเลย”
การข่มขืนที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในเขตชนกลุ่มน้อยส่งผลให้ บรรยากาศแห่งความหวาดกลัวแผ่กระสานซ่านเซ็นไปทั่ว แม้ว่าไม่ใช่ทหารพม่าทุกคนจะเป็นคนก่อเหตุก็ตาม แต่เพียงแค่การ ได้ยินชื่อทหารพม่าเข้ามาในหมู่บ้าน บรรดาผู้หญิงก็เกิดความ หวาดกลัวอยู่ลึก ๆ ข้างใน ทำให้ผู้หญิงหลายคนหาทางไปสมัคร เป็นทหารหญิงในกองทัพชนกลุ่มน้อย มีสถานะเป็นศัตรูของฝ่าย รัฐบาลเต็มตัว ด้วยคิดว่าอย่างน้อยก็ยังมีอาวุธเอาไว้ปกป้องตนเอง และถึงแม้ถ้าพวกเธอไม่ได้สมัครเป็นทหาร พวกเธอก็ถูกมองว่า เป็นศัตรูของรัฐบาลอยู่ดี
นอกจากนี้ องค์กรผู้หญิงชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น องค์กรผู้หญิงกะเหรี่ยง ผู้หญิงไทยใหญ่ มักถูกมองว่าเป็นศัตรูของ กองทัพพม่า แม้ว่าพวกเธอจะไม่ได้จับปืนสู้รบก็ตาม ดังนั้น เมื่อทหารพม่ารู้ว่าผู้หญิงชนกลุ่มน้อยคนไหนทำงานกับองค์กรผู้หญิง พวกเธอจะถูกฆ่าทิ้งในฐานะศัตรู
หนึ่งในผู้นำกลุ่มหญิงกะเหรี่ยงคนหนึ่งให้สัมภาษณ์ในหนังสือ เล่มเดียวกันว่า
“ทหารพม่าคิดว่าฉันทำงานกับกองกำลังกะเหรี่ยงเคเอ็นยู มีผู้หญิงที่ทำงานกับกลุ่มผู้หญิงกะเหรี่ยงเจ็ดคนถูกยิงในคืนเดียวกัน ไม่ว่าพวกเราจะชี้แจงอย่างไร พวกเขาก็ยังคิดว่าเราคือกองกำลัง กะเหรี่ยงเคเอ็นยูอยู่เสมอ”
หนังสือเล่มเดียวกันนี้ยังเปิดเผยว่า ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การ ข่มขืนผู้หญิงชนกลุ่มน้อยมีอัตราสูงก็คือ นโยบายกลืนชาติ หรือล้างเผ่าพันธุ์ชนกลุ่มน้อย ซึ่งให้การสนับสนุนโดยรัฐบาลทหาร ในรูปแบบเงินเดือนและรางวัลพิเศษ สำหรับทหารคนใดสามารถ แต่งงานหรือทำให้หญิงชนกลุ่มน้อยตั้งครรภ์ เพราะเป็นการเพิ่ม ปริมาณประชากรเชื้อสายพม่า และลดจำนวนประชากรเชื้อสาย ชนกลุ่มน้อยแท้ๆให้น้อยลง
อดีตทหารพม่าคนหนึ่งให้สัมภาษณ์ให้หนังสือเล่มนี้ว่า เขาเคยได้รับจดหมายจากทางราชการซึ่งระบุว่า ทหารที่แต่งงาน กับหญิงชนกลุ่มน้อยจะได้รับรางวัลพิเศษ โดยทหารเหล่านี้ ไม่จำเป็นต้องโสด สายเลือดของคุณควรจะถูกทิ้งไว้ในหมู่บ้าน
แต่ทว่า นโยบายนี้ใช้ได้ผลเฉพาะกับผู้หญิงชนกลุ่มน้อย บางคน เพราะหญิงสาวซึ่งถูกข่มขืนจนตั้งครรภ์จำนวนมาก เลือกทำแท้งเด็กในท้องมากกว่าเก็บลูกเอาไว้ พวกเธอเหล่านี้ ประสบปัญหามากมาย โดยเฉพาะคนที่อยู่ห่างไกลสถานพยาบาล พวกเธอจึงจัดการทำแท้งด้วยตนเอง หลายคนป่วยและเสียชีวิต หลังการทำแท้ง ส่วนคนที่ปล่อยให้เด็กเกิดขึ้นมาก็ต้องเผชิญ กับการรังเกียจของสังคมเนื่องจากท้องไม่มีพ่อ หญิงจำนวน ไม่น้อยได้ตัดสินใจทิ้งทารกไว้ตามยถากรรม แล้วอพยพเข้ามา เมืองไทยเพื่อหลีกหนีการประณามจากชุมชนเดิม
นอ เลอ พอ (นามสมมติ) เป็นหนึ่งในหญิงสาวกะเหรี่ยง ที่ถูกข่มขืนและตั้งครรภ์จากรายงานเรื่อง “เมื่อความเงียบ ถูกทำลาย”
“เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในเดือนตุลาคม พวกเขาสั่งให้ฉันและ เพื่อนผู้หญิงในหมู่บ้านไปทำงานเป็นลูกหาบเป็นเวลาหนึ่งเดือน กับสองวัน ฉันต้องแบกลูกกระสุนปืนใหญ่ 6 ลูก หรือไม่ก็ข้าว จำนวนถังครึ่ง น้ำหนักประมาณ 32 กิโลกรัม พอฉันเดินไม่ไหว พวกเขาก็เตะฉันจนล้มลง และบังคับให้ฉันแบกต่อไป พวกเขาทำ กับลูกหาบทุกคนแบบนี้ ตอนกลางคืนพวกเราต้องนอนรวมกัน บนพื้นดินเหมือนกับหมูกับหมา ทหารพวกนั้นหันปืนมาชี้ที่ฉัน และเพื่อนผู้หญิงให้ลุกขึ้นและตามพวกเขาไป ผู้หญิงทุกคนที่ไป พร้อมกับฉันถูกข่มขืน หลังจากผ่านไป 33 วัน พวกเขาปล่อยให้เรา กลับหมู่บ้าน เพื่อนผู้หญิงบางคนป่วยและเสียชีวิตระหว่างทาง ตอนนี้พวกเรากลับมาได้สองเดือนแล้วบางคนตั้งท้อง ส่วนฉัน ประจำเดือนยังไม่มาเหมือนกัน ถ้าฉันตั้งท้องฉันจะทำแท้งอย่าง แน่นอน”
ชีวิตของหญิงสาวหลังถูกข่มขืน ไม่เพียงแค่การบาดเจ็บ ทางร่างกายอย่างสาหัส หากยังบาดเจ็บทางจิตใจซึ่งไม่มีวันจะ เลือนหายไปจากชีวิตของพวกเธอ
เสียงเพรียกที่ไม่มีใครได้ยิน
อาจกล่าวได้ว่า เสียงร้องของผู้หญิงชนกลุ่มน้อยในพม่า ซึ่งถูกข่มขืนเป็นเสียงเงียบที่ไม่มีใครได้ยินหรือได้ยินแต่ไม่สามารถ เข้าไปช่วยเหลือได้ ผู้หญิงหลายคนถูกข่มขืนต่อหน้าสามีซึ่งถูก จับมัด ผู้หญิงจำนวนไม่น้อยถูกข่มขืนต่อหน้าแม่หรือลูกของตนเอง หลังการถูกข่มขืนผู้หญิงเหล่านี้ต้องหลบหนีความอับอายไป อยู่นอกชุมชนเดิม ซึ่งทำให้การข่มขืนมีความสัมพันธ์กับการอพยพ เข้ามายังประเทศไทยอย่างแยกไม่ออก
ผู้หญิงบางคนถูกสามีทอดทิ้งและดูถูกว่าเธอเป็น “ของ เหลือเดนของพม่า” ดังเช่นเรื่องราวของนาเล (นามสมมติ) จากรายงาน “ใบอนุญาตข่มขืน”
“พอสามีกลับมาบ้าน ฉันเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง เขาโกรธมากและทุบตีฉัน การที่ฉันถูกข่มขืนกลายเป็นความผิด ของฉัน ความสัมพันธ์ในครอบครัวระหว่างฉันกับสามีและลูก ๆ แย่ลงมาก ทุกวันสามีกับลูก ๆ ก็จะพูดว่า “นังโสเภณี”...สุดท้าย ฉันไม่สามารถทนอยู่ต่อไปได้ ฉันหย่ากับสามีและเมื่อฉันกลับไป เยี่ยมลูก พวกเขาก็พูดกับฉันว่า “อีกะหรี่ แกไม่ใช่แม่ของพวกเรา ไม่ต้องมาเยี่ยม” ส่วนฝ่ายสามีก็ดูถูกว่า “แกมันร่าน อยากจะนอน กับผู้ชายอื่น แกไม่ใช่เมียฉันอีกต่อไป ออกไปจากบ้านนี้ได้แล้ว” สุดท้ายฉันก็ตัดสินใจมาอยู่ประเทศไทย”
แม้ว่าการอาศัยอยู่ในประเทศไทยในฐานะผู้หลบหนีเข้าเมืองจะ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การอาศัยอยู่ในประเทศพม่าต่อไปกลับเป็นเรื่อง ยากเย็นยิ่งกว่า เพราะพวกเธออาจถูกข่มขืนซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยไม่ได้ รับความเป็นธรรรม เนื่องมาจากผู้กระทำความผิดส่วนใหญ่เป็น เจ้าหน้าที่ของรัฐ การจับกุมผู้กระทำผิดมาลงโทษจึงเปรียบเสมือน การประจานตนเอง แม้ว่าหลายงาน “ใบอนุญาตข่มขืน” จะโด่งดัง จนทำให้องค์การกาชาดสากลเข้ามาติดตามตรวจสอบคดีนี้ แต่เนื่องจากการเดินทางเข้าไปในประเทศพม่าต้องอยู่ภายใต้การ ควบคุมของรัฐบาลทั้งหมด โอกาสที่เจ้าหน้าที่เหล่านี้จะดำเนินการ ตรวจสอบอย่างเป็นอิสระจึงเกิดขึ้นได้ยาก อาจกล่าวได้ว่า ความเป็นธรรมสำหรับผู้หญิงซึ่งถูกข่มขืนในประเทศพม่าหาได้ยาก ยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก
ทางออกของการช่วยเหลือหญิงสาวเหล่านี้ ไม่เพียง การยุติสงครามและความขัดแย้งระหว่างฝ่ายรัฐบาลทหารและ ชนกลุ่มน้อย หากยังหมายถึงการปลูกฝังให้เจ้าหน้าที่ฝ่าย รัฐมองชนกลุ่มน้อย ในฐานะประชาชนของรัฐมิใช่ศัตรู รวมทั้งเลิก ปลูกฝังการใช้ความรุนแรง และเมื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำความผิด จำเป็นต้องมีการตรวจสอบที่เปิดเผยและเป็นธรรม
หากผู้ปกครองประเทศพม่ามองชนกลุ่มน้อยในฐานะพลเมือง ของรัฐที่ต้องดูแล ไม่ว่าประเทศพม่าจะปกครองด้วยระบอบ เผด็จการทหาร สังคมนิยม หรือประชาธิปไตย ประชาชนก็จะมี ความสุขสงบได้ แต่หากผู้ปกครองยังคงมองว่า ชนกลุ่มน้อยคือศัตรู สงครามก็จะไม่มีวันยุติ ไม่ว่าสงครามนั้นจะห้ำหั่นกันด้วยอาวุธหรือ กระทำบนเรือนร่างของหญิงสาวชนกลุ่มน้อยก็ตาม