โดย สนิทสุดา เอกชัย คอลัมน์ Commentary
น.ส.พ.บางกอกโพสต์ ฉบับวันที่ 29 กรกฎาคม 2547 หน้า 11
![]() |
www.nelshael.com |
มีคนเคยกล่าวถึงความจริงข้อหนึ่งของการดำรงอยู่บน แผ่นดินแห่งความเสมอภาคผืนนี้ว่า ยิ่งคุณยากจนมากเท่าไหร่ คุณก็จะได้รับความเป็นธรรมจากกระบวนการยุติธรรมอันแสน ยืดเยื้อและราคาแพงน้อยลงเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าคุณเป็น แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายที่ยากจนด้วยแล้ว คุณแทบจะไม่มี โอกาสดำเนินคดีความตามกระบวนการยุติธรรมได้เลย โดยเฉพาะ หากอาชญากรเหล่านั้นมีอิทธิพลและมีเส้นสาย
สิ่งเหล่านี้คือสาเหตุที่ “มาซู” ต้องเสียชีวิตอย่างทุกข์ทรมาน
มาซู เด็กสาวอายุเพียง 18 ปี เชื้อสายมอญจากประเทศพม่า เธอจ่ายเงินค่านายหน้าค้าแรงงานเถื่อนเพื่อลักลอบพาเธอเข้ามา ในประเทศไทย สถานที่ที่เธอหวังว่าจะได้งานทำและหาเงิน ส่งไปจุนเจือครอบครัวที่ยากจน เธอได้งานทำเป็นแม่บ้านที่ร้าน ขายเฟอร์นิเจอร์แห่งหนึ่งในจังหวัดลพบุรีซึ่งมีนายทหาร กับภรรยาเป็นเจ้าของและได้ตกลงจะให้เงินเดือน 1,500 บาท
สามเดือนต่อมา มีคนพบเธออยู่ข้างถนนในเขตจังหวัด อุทัยธานีในสภาพเกือบสิ้นลมหายใจ บนศีรษะมีร่องรอยที่เกิดจาก การถูกทุบตีอย่างรุนแรง เนื้อตัวคล้ายถูกเผาจนไหม้เกรียม มือข้างหนึ่งขาด ตัวเธอถูกห่อหุ้มด้วยผ้าพันแผล เสียงของเธอ แผ่วเบาและน่าสงสาร แต่ถึงกระนั้นเธอก็ได้พยายามเล่าเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นก่อนจากโลกนี้ไป
เธอเล่าว่า นายจ้างกล่าวหาเธอว่าขโมยโทรศัพท์มือถือ สร้อยคอทองคำและเงินของเขาไป เธอถูกตีอย่างหนักจนหมดสติ ไป จากนั้น พวกเขาก็มัดเธอติดกับต้นไม้ ราดน้ำมันลงบนตัวเธอ และจุดไฟเผา เมื่อเธอยังยืนกรานว่าไม่ได้ขโมยของเหล่านั้นไป พวกเขาจึงดับไฟ และขังเธออยู่ในห้องเป็นเวลา 3 วัน โดยปราศจากอาหารและไม่ได้รับการเยียวยารักษา เธอบอกว่า พวกเขาคงคิดว่าเธอตายแล้ว จึงขับรถพาเธอไปทิ้งไว้ที่ข้างถนน แถวจังหวัดอุทัยธานี เมื่อเธอรู้สึกตัวอีกครั้ง จึงพยายาม คลานมาออกจนถึงถนนใหญ่ จนในที่สุดมีชายคนหนึ่งมาพบ และนำตัวเธอส่งโรงพยาบาลในจังหวัดนครสวรรค์ ขณะที่พัก รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเธอหวังเพียงอย่างเดียวคืออยากจะกลับ ไปบ้านเกิดเพื่อไปทำบุญปิดทองที่เจดีย์ เพื่อให้เกิดชาติหน้า เธอจะไม่ต้องเผชิญชะตากรรมอันเลวร้ายแบบนี้อีก
มาซูได้เสียชีวิตลงใน 9 วันต่อมา
เวลาผ่านไปสองปี นับเป็นเวลานานกว่าอาชญากรผู้โหดเหี้ยม จะถูกดำเนินคดีในศาล หลังจากคดีนี้ได้รับความช่วยเหลือจาก ทนายความสิทธิมนุษยชน มาซูเป็นหนึ่งในบรรดากลุ่มคนผู้โชคดี ที่สามารถเรียกตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมาย ทว่า ยังมี ประชาชนจากประเทศพม่าอีกนับไม่ถ้วนที่ถูกทรมานและจบชีวิต ลงด้วยน้ำมือของนายจ้างและคนในเครื่องแบบ ซึ่งเราแทบไม่เคย ได้ยินว่ามีการจับตัวอาชญากรมาลงโทษในสิ่งที่พวกเขากระทำเลย
ท่านยังจำเรื่องการสังหารหมู่ในอำเภอแม่สอดเมื่อปีที่แล้ว ได้หรือไม่? แรงงานอพยพชาวพม่าถูกทำร้ายร่างกายและถูกเผา นั่งยาง คนทั้งเมืองรู้ดีว่าใครเป็นผู้ลงมือก่อเหตุดังกล่าว แต่จนถึง บัดนี้ กำนันและลูกน้องผู้ต้องสงสัยกลับยังคงลอยนวลอยู่เช่นเดิม
อีกคดีหนึ่ง ถ้ายังจำกันได้ กลุ่มแรงงานพม่าถูกสังหารและ ทิ้งลงแม่น้ำเมยในอำเภอแม่สอดเสียชีวิตทั้งหมด จากนั้นเรื่องก็เงียบ เพราะไม่มีผู้เสียหายคนใดฟื้นขึ้นมาเล่าเรื่องได้
คนไทยส่วนใหญ่ มีทัศนคติที่ตายตัวต่อแรงงานอพยพ ชาวพม่าว่ามาแย่งอาชีพของคนไทย มองว่าคนเหล่านี้เป็น อาชญากร เป็นภัยต่อความมั่นคงในประเทศ เป็นพาหะนำโรค ติดต่อและเป็นศัตรูตัวสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย
แม้เพื่อนร่วมชาติของเราเองก็ได้หาประโยชน์ คุกคาม และเข่นฆ่าแรงงานอพยพชาวพม่าเหล่านี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่เรากลับสกัดกั้นความโหดเหี้ยมทารุณเหล่านี้ไม่ให้อยู่ในใจ ของเรา เราไม่เคยสนใจว่าคนเหล่านี้จะต้องทนทุกข์ทรมานเพียงใด ลูกหลานของพวกเขาจะได้เล่าเรียนหรือไม่ เราแทบจะไม่ใส่ใจว่า พวกเขามีตัวตนอยู่ด้วยซ้ำไป
พวกเราคนไทยมีความภูมิใจที่เป็นชาวพุทธ แต่การเป็นชาว พุทธที่ดีนั้นเราเอาอะไรมาตัดสิน จำนวนเงินที่เราบริจาคให้พระ จำนวนครั้งที่เราทำสมาธิ หรือว่าการได้ช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ ยากกว่าเรา
ความตายของมาซูและชีวิตของแรงงานพม่าอพยพ จำนวนนับไม่ถ้วนที่ต้องสูญเสียไป เป็นสิ่งที่กำลังท้าทายคำถาม เหล่านี้ ส่วนคำตอบเป็นอย่างไรนั้น ล้วนรออยู่ในใจของเราทุกคน