โดย Ma Aye Pwint
แปลจากบทความ“Make-up smears on crumpled paper”
หนังสือ“Burma-Women’s Voices Together”จัดพิมพ์โดย ALTSEAN BURMA
ใคร ๆ ก็เรียกพวกเธอว่า “หญิงขายบริการทางเพศ” ผู้หญิงที่ใช้เรือนร่างตัวเองเป็นสินค้าเพื่อแลกกับเงิน พวกเธอ เหล่านั้นถูกกีดกันออกจากสังคมและถูกตราหน้าด้วยคำพูดดูถูก เหยียดหยามต่าง ๆ นานา โสเภณีบ้างหละ กะหรี่บ้างหละ แม้ว่าชื่อเรียกนั้นจะแตกต่างกันไปตามแต่ยุคสมัย แต่ทว่า ชีวิตของ หญิงบริการเหล่านั้น ไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบัน หรือสมัยใดก็ตาม ก็แทบจะไม่ได้แตกต่างจากกันเลย ในอดีตหญิงบริการถูกมองว่า เป็นสิ่งที่น่าอับอาย เป็นผู้หญิงสำส่อน ปัจจุบันกลับกลายเป็น อาชีพอย่างหนึ่งซึ่งมีให้เห็นกันเปิดเผยในประเทศไทย
ผู้หญิงบริการเหล่านี้จะต้องพยายามทำให้ตัวเองสวยอยู่ตลอด เวลา พวกเธอจะติดป้ายเบอร์ของตัวเองไว้ที่ตัวและยืนอวดโฉม อยู่ภายในตู้กระจกเพื่อรอลูกค้าที่ต้องการแสวงหาความสุขสม ทางกาย สถานที่แบบนี้กระจายอยู่ตามเมืองหลวงและเมือง ใหญ่ ๆ ในประเทศไทย ถ้าจะถามว่า “แล้วที่ประเทศพม่าล่ะ เป็นอย่างไร?” ฉันก็ขอตอบว่าในพม่าก็มีแบบนี้เหมือนกัน ในบรรดา สินค้าจากพม่าที่ทำการซื้อขายง่ายที่สุดก็คือการ ขายบริการทางเพศนี่แหละ มีนักเรียนนักศึกษาสาวจำนวนไม่น้อย ที่เข้าสู่อุตสาหกรรมทางเพศและลักลอบเข้ามาขายบริการทางเพศ ตามแถบชายแดนไทย-พม่ามากขึ้น โดยหนึ่งในปัจจัยผลักดัน ให้เธอเข้าสู่อาชีพนี้ เนื่องมาจากความยากจน คุณอาจจะแทบช็อก ไปเลย หากได้รับรู้เรื่องราวชีวิตของพวกเธอ สิ่งที่ฉันจะเล่าต่อไปนี้ คือชีวิตของเด็กผู้หญิงและหญิงสาวบางส่วนในจำนวนนั้น...
เด็กผู้หญิงคนหนึ่งทำงานในโรงงาน ต่อมาเธอได้แอบมี ความสัมพันธ์อย่างลับ ๆ กับเจ้าของโรงงาน เธอได้รับความเมตตา จากเจ้านายผู้เป็นชู้รัก แต่เวลาผ่านไปไม่นานประมาณหกเดือน ให้หลัง ความสัมพันธ์ของเธอก็ถูกเปิดเผยหลังจากภรรยาเจ้าของ โรงงานรู้เรื่อง เธอจึงถูกไล่ออกจากโรงงานเธอไม่กล้าพอที่จะ บากหน้าหอบหิ้วเอาชีวิตที่ล้มเหลวของเธอกลับไปยังบ้านเกิด เธอจึงตัดสินใจที่จะหางานทำและตระเวนไปเรื่อย ๆ จนได้พบกับ สถานที่ที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต เธอเริ่มงานใหม่ด้วยการเป็นเด็กเสิร์ฟ โดยได้ค่าตอบแทนเดือนละ 1000-1500 บาท ต่อมาไม่นานเธอ ก็ได้รับรู้จากเพื่อนๆ ว่ามีงานอื่นที่ได้ค่าตอบแทนสูงกว่ามาก งานเด็กเสิร์ฟหรือ..ทำทั้งวันทั้งคืนก็ได้แค่เดือนละพันห้า แต่ถ้าเธอ ออกไปข้างนอกกับแขกเพียงแค่คืนเดียว เธอจะได้เงินถึงครั้งละ หนึ่งพันบาท ในตอนนั้นเธอไม่ได้คิดถึงเรื่องพรหมจรรย์หรือเรื่อง ศักดิ์ศรีหน้าตาของครอบครัวแต่อย่างใด คิดอยู่เพียงแค่ว่า เธอไม่มีอะไรจะเสียอีกต่อไปแล้ว ตั้งแต่เกิดเรื่องที่โรงงาน และอีกอย่าง เธออยู่ห่างไกลจากบ้านเกิด ทางบ้านไม่มีใครรู้หรอก ว่าเธอทำอะไร ระหว่างนั้นเธอเห็นเพื่อนที่ทำงานแบบนั้นมีชีวิตที่ หรูหราร่ำรวยได้กินข้าวนอกบ้านแต่งตัวสวย ๆ และเธอก็ปรารถนา ที่จะมีชีวิตที่น่าสุขสบายเช่นนั้น เธอไม่อยากทำงานสุจริตอีกต่อ ไปแล้ว และแล้วเธอก็ได้ถลำเข้าไปในอุตสาหกรรมค้ามนุษย์ในที่สุด
ส่วนเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่ง พ่อกับแม่ของเธอลำบากมาก มีหนี้สินท่วมหัว ตอนนั้นเธอมีอายุได้เพียง 13 -14 ปี ยังไม่ ประสีประสาเรื่องความรัก เธอถูกทางบ้านบังคับให้ไปทำงานอย่างว่า ครอบครัวเธอบอกว่าจะได้เงินมากสำหรับ“ครั้งแรก”ของเธอ เพราะคนที่ถูกเปิดบริสุทธิ์จะได้รับค่าตอบแทนหนึ่งหมื่นบาทขึ้นไป แต่ต้องหักเงินให้เจ้าของซ่องกว่าครึ่ง จะตกถึงมือเธอจริงๆ ประมาณ 4-6 พันบาท หรือเทียบเท่ากับค่าเงินพม่าหนึ่งแสนจั๊ต ซึ่งเป็นเงินจำนวนมากเป็นที่ยั่วใจใครหลายคน แต่สำหรับเธอแล้ว เธอไม่ได้ต้องการเงินและไม่อยากทำงานแบบนี้เลย เธออยากไป โรงเรียนเหมือนคนอื่นๆมากกว่า แต่ทางบ้านเธอไม่สามารถอด คิดถึงเงินจำนวนนั้นที่จะได้มาง่าย ๆ และด้วยหนี้สินที่ท่วมท้น ประกอบกับต้องการตอบแทนพระคุณพ่อแม่ เธอจึงต้องจำใจ เดินทางไปชายแดนและประกอบกิจการส่วนตัวที่ลงทุนด้วย ร่างกายเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว แต่กระนั้นพ่อกับแม่ก็ไม่ได้พอใจ กับจำนวนเงินที่ได้รับจากเธอเท่าใดนัก
เธอรู้สึกอับอายกับอาชีพแบบนี้ที่เธอทำ กลัวว่าคนที่เธอรู้จัก ที่เป็นคนพม่าชาติเดียวกับเธอจะล่วงรู้ในสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่ แต่ถึงเธอจะกลัวคนรู้มากเพียงใด ขณะเดียวกันเธอก็มีความต้องการ เงินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คนที่เคยได้หนึ่งพันบาทก็อยากจะได้สองพัน หรือมากกว่านั้น ครอบครัวของเธอใช้เงินที่เธอแลกมาด้วยความ บริสุทธิ์ครั้งนั้นจนหมดและขอให้เธอไปทำงานแบบนั้นอีก หนึ่งเดือน เท่านั้น เธอไม่อยากให้ครอบครัวผิดหวังแม้ว่าจะไม่อยาก ทำงานแบบนั้นอีกแล้วก็ตาม เธอไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากเธอ จะปฏิเสธไม่ทำตามความต้องการของครอบครัว ทว่า ชะตาชีวิต กลับผลักดันให้เธอเดินเข้าไปสู่วงจรอาชีพนี้อีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่า การเริ่มทำงานครั้งที่สองจะไม่ฝืนใจเหมือนครั้งแรก เธอรู้สึกว่า เงินหามาได้ง่ายและไม่รู้สึกเสียใจหรือเดียวดายอีกต่อไป เพราะเธอ มีเพื่อน ๆ ที่ทำอาชีพแบบเดียวกับเธอมากมาย แต่ถึงกระนั้นก็ดี ทุกครั้งที่เธอได้เห็นเพื่อนไปโรงเรียนในพม่า เธอรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ มาก ความตั้งใจที่จะกลับบ้านก็ลอยลับหายไปเมื่อนึกถึงสิ่งเหล่านี้
เมื่อไหร่ก็ตามที่เกิดความทุกข์ในจิตใจ พวกสาวๆ ที่ทำงาน แบบนี้มักจะออกไปปลดปล่อยที่โรงน้ำชาหรือไม่ก็ที่ร้านคาราโอเกะ นั่งดื่มเบียร์หรือยาแก้ไอ* และเสพยาบ้า ไม่มีใครบังคับขืนใจพวกเธอ ให้เสพยาหรอก แต่พวกเธอเห็นคนอื่นเสพจึงอยากลองดูบ้าง เด็กผู้หญิงบางคนติดอยู่ในวงการค้าบริการและเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ในขณะที่บางคนก็ตั้งหน้าตั้งตาเก็บเงิน เมื่อได้จำนวนมากตามที่ พอใจ แล้วจึงนำไปลงทุนทำกิจการเพื่อเป็นการเริ่มชีวิตใหม่ ที่บ้านเกิด ซึ่งนับว่าเก่งมาก แต่น้อยคนนักที่จะทำได้แบบนี้
นี่เป็นเพียงภาพบางส่วนเท่านั้นของเด็กและหญิงสาว จาก พม่าจำนวนมากในอุตสาหกรรมการค้าบริการตามแนวชายแดน
เด็กสาวจำนวนไม่น้อยที่ทำงานขายบริการต้องเผชิญกับโรคภัย ไข้เจ็บต่าง ๆ โดยเฉพาะโรคเอดส์ และโรคที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เนื่องจากไม่มีความรู้เกี่ยวกับโรคเหล่านี้และวิธีการป้องกันตัวเอง ประเทศของเรากลายเป็นแหล่งของโรคเอดส์และหญิงบริการไปเสียแล้ว
เด็กผู้หญิงที่ครั้งหนึ่งเคยเข้าไปในอุตสาหกรรมค้ามนุษย์เล่าให้ฟังว่า..
“ในตอนเช้าตรู่ ประมาณตีห้าหรือหกโมงเช้า พวกเราจะคุย กันถึงเรื่องประสบการณ์ในคืนที่เพิ่งผ่านไป และจะเข้านอนเมื่อ ฟ้าสาง ซึ่งเป็นเวลาที่คนปกติทั่วไปตื่นนอน สมัยที่อยู่ที่หมู่ในบ้าน เราเคยตื่นตอนกันเวลานี้ แต่คนขายบริการต้องนอนเวลา ที่คนตื่น ไปจนถึงบ่าย 2หรือบ่าย 3 จึงตื่นมากินข้าว จากนั้นบางคนก็ออก ไปเที่ยวคาราโอเกะหรือซื้อของ บางคนที่มีนัดกับแฟนก็จะไปหาแฟน แต่จะไม่ได้นอน ทั้งวัน พอถึง 5-6โมงเย็นก็กลับมาแต่งตัวแต่งหน้าเตรียมพร้อม ที่จะทำงานต่อไป”
นี่แหละคือชีวิตของพวกเธอ
บางครั้งพวกเธอต้องรับแขกในเวลากลางวันด้วย แม่เล้า จะให้ลูกค้าไปเลือกสาวๆเองถึงในห้องของพวกเธอ ในเวลานั้น ผู้หญิงบางคนก็นอนหลับพักผ่อนด้วยร่างกายที่เปลือยเปล่า หรือมีแค่เพียงชุดชั้นในปกปิดร่างกายเอาไว้เท่านั้น
ผู้หญิงในพม่าหลายอาจคิดว่า ‘ผู้หญิงพวกนี้หน้าไม่อาย กันเลยหรือไร?’ ความสัมพันธ์ระหว่าหญิงบริการกับผู้ใช้บริการ ก็เปรียบเสมือนการซื้อขายสินค้าทั่วไป ค่าตอบแทนที่ได้รับคิดตาม ชั่วโมงที่ใช้บริการ หรือบางทีอาจเหมาเวลาทั้งคืน
ผู้ใช้บริการบางคนไม่กล้าต่อรองราคาและจ่ายเท่าที่ผู้หญิงเสนอ ลูกค้าส่วนใหญ่ดื่มเหล้าอุ่นเครื่องก่อนปฏิบัติกิจ พวกเธอต้องอดทน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น บางครั้งต้องทนกับกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ หรือลูกค้าที่ชอบความรุนแรง
หญิงสาวอีกคนหนึ่งพูดถึงประสบการณ์ของตนเองว่า...
“ลูกค้าบางคนจะนั่งก็ต่อเมื่อเราเชิญเท่านั้น บางคนไม่กล้า เราต้องเชื้อเชิญมากหน่อย ‘เชิญนั่งก่อนสิคะ จะดื่มอะไรไหมคะ? จะทานอะไรสักหน่อยไหมคะ? ’ อะไรแบบนี้เป็นต้น บางคนที่พูด ตรง ๆ เลยก็มี อย่างเช่น ‘เรามีผู้หญิง เอาไหม? บางคนที่ตรงกว่า นั้นก็พูดว่า ต้องการโสเภณีไหม? และบอกราคาค่างวดกับลูกค้า ไปเลย ถ้าลูกค้าที่เคยมาแล้วมีสาวประจำ คนเชียร์แขกก็จะ เรียกผู้หญิงคนนั้นออกมาบริการ จากนั้นก็จะเสิร์ฟเบียร์หรือเหล้า คนที่ไม่เคยมาก็จะสั่งอาหารและเครื่องดื่ม จากนั้นไม่นาน พอเหล้าได้เข้าปากความกล้าก็จะเพิ่มขึ้น และเรียกหาสาวบริการ ไปนอนด้วย เราจะบอกราคาที่ห้าร้อยบาทต่อหนึ่งชั่วโมง ถ้าเหมา ทั้งคืนก็พันห้าร้อยบาท บางคนอาจต่อรองเหลือพันสองหรือ พันสาม? ถ้าผู้หญิงตกลงก็ไปด้วยกัน ถ้าไม่พอใจก็ปฏิเสธไป แต่ถ้าลูกค้ามากับเจ้าของซ่อง เราจะเลือกไม่ได้ก็ต้องไป
บางคนก็ไม่อยากจะไปกับคนที่เมาเละเทะไม่โดยไม่สนใจ ว่าเขาจะเสนอราคาสูงแค่ไหน แต่จะไปกับคนที่ดูเป็นผู้เป็นคน หน่อยเพราะต้องอยู่กับคนๆ นั้นตลอดทั้งคืน และต้องรองรับในสิ่งที่ คนๆ นั้นกระทำด้วย แต่บางทีต้องจำใจไปกับคนที่ไม่ค่อยเข้าท่า เพราะเขามากับเจ้าของซ่อง ปฏิเสธไม่ได้ ถ้าไม่ไปด้วยจะถูกหักเงิน ห้าร้อยหรือหนึ่งพันบาท พวกเราจำใจต้องไปแม้ว่าลูกค้าจะ หยาบคายป่าเถื่อนแค่ไหน เจ้าของซ่องเขาถือว่าเป็นเจ้าของ ร่างกายของเรา”
บางคนเล่าถึงประสบการณ์ของตนเกี่ยวกับความหยาบคาย ของลูกค้าว่าบางครั้งลูกค้าจะจับเธอมัดไว้ก่อนที่ละลงมือ ปฏิบัติภารกิจ บางคนก็ชอบใช้อุปกรณ์และมีวิธีร่วมรักแบบพิสดาร บางคนเจอแบบนี้แล้วถึงกับอยากเลิกทำงานขายบริการเลยก็มี เหล่านี้คือบางเรื่องราวของหญิงสาวที่ฉันได้พูดคุยด้วย
ในประเทศของเรา เงินเปรียบได้กับเศษกระดาษที่แทบจะ ไม่มีมูลค่าอะไร เงินต่างประเทศเท่านั้นที่เป็นชีวิตอนาคต ความฝัน และความหวังของผู้หญิงบริการเหล่านั้น ชีวิตของพวกเธอเหล่านั้น ก็เปรียบได้กับเศษกระดาษเช่นกัน แต่คงเป็นกระดาษที่ขาดวิ่น เปื่อยยุ่ย และเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเครื่องสำอาง