วิถีชนเผ่า จากรัฐคะเรนนีในค่ายผู้ลี้ภัย

โดย ธันวา สิริเมธี


เมื่อ 11 ปีก่อน ขณะที่ผมอายุได้เพียง 10 ขวบ ฝันร้ายที่สุดก็มาเยือนชีวิตผม วันนั้นทหารพม่าบุกเข้ามาที่หมู่บ้านในรัฐคะเรนนี ขับไล่ชาวบ้านออกจากหมู่บ้าน ยึดทรัพย์สิน และเผาหมู่บ้านทิ้ง แม่ของผมวิ่งหนีเข้าไปในป่า ส่วนพ่อยอมถูกทหารพม่าควบคุมไปอยู่ที่แปลงอพยพเพราะยังเป็นห่วงผม ซึ่งกำลังเรียนหนังสือและพักกับญาติในเมือง  

หลังจากพ่อย้ายไปอยู่ที่แปลงอพยพ พ่อได้ออกไปหาอาหารประทังชีวิตพร้อมกับชาวบ้านอีกสองคน ทหารพม่าฆ่าพ่อและชาวบ้านทั้งหมดอย่างโหดร้าย ไม่มีใครได้เห็นหน้าพ่ออีกเลย มีเพียงร่างไร้วิญญาณในสภาพไม่มีศีรษะ สิ่งที่ยืนยันว่าพ่อได้จากโลกนี้ไปแล้วคือเสื้อผ้าชุดสุดท้ายที่พ่อใส่เท่านั้น


เมื่อไม่มีครอบครัวส่งเงินมาให้ผมเรียนหนังสือ ครูจึงให้ผมย้ายไปอยู่ด้วย โดยมอบหมายให้ผมทำงานบ้านและดูแลม้าของครอบครัวและเครือญาติรวม 4 ครอบครัว ในช่วงฤดูหนาว ผมมีผ้าห่มเพียงผืนเดียว สำหรับให้ความอบอุ่นร่างกาย เมื่อทนหนาวไม่ไหว ผมมักจะเอาหมาที่ผมเลี้ยงไว้มานอนกอด หลังจากมันตายจากไป ผมก็เข้าไปในคอกม้า กระโดดขึ้นไปขี่บนหลังแล้วนอนคว่ำหลับอยู่บนนั้น

หลังจากผมอาศัยอยู่ที่นี่เป็นเวลา 3 ปี วันหนึ่งมีคนจากหมู่บ้านเดิมของผมมาบอกว่า เขาเจอแม่ของผมที่ค่ายผู้ลี้ภัยบนชายแดนไทย เขาจะพาผมไปหาแม่ ผมดีใจจนบอกไม่ถูกที่รู้ว่าแม่ยังมีชีวิตอยู่ กลางดึกคืนต่อมา ผมจึงแอบเก็บเสื้อผ้าหนีออกมาและเดินทางมายังค่ายผู้ลี้ภัยที่ชายแดนประเทศไทย จังหวัดแม่ฮ่องสอน

ผมยังจำได้ดีถึงวินาทีที่ได้เห็นหน้าแม่อีกครั้ง ตอนนั้นแม่กำลังยืนหันหลัง ผมวิ่งเข้าไปกอดแม่ด้วยน้ำตานองหน้า นับจากวันนั้น ชีวิตใหม่ของผมก็เริ่มต้นที่นี่ ที่ซึ่งผมและประชาชนหลากหลายชาติพันธุ์จากรัฐคะเรนนีกว่าสองหมื่นคนได้นอนหลับสนิทโดยไม่ต้องผวากับเสียงปืนในยามค่ำคืนอีกต่อไป

จากรัฐคะเรนนีสู่ค่ายผู้ลี้ภัย

รัฐคะเรนนีเป็นรัฐชนกลุ่มน้อยที่มีขนาดเล็กที่สุดในพม่า  อยู่ติดกับจังหวัดแม่ฮ่องสอน ประกอบด้วยประชากรหลากหลาย กลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มชาติพันธุ์หลัก คือ ชาวคะยา รองลองมา คือ ชาวกะเหรี่ยง ชาวคะยัน (กะเหรี่ยงคอยาว) และอีกหลายกลุ่มชาติพันธุ์(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในล้อมกรอบ) ผมเป็นชาวกะเหรี่ยง(เชื้อสายสะกอ) หมู่บ้านของผมอยู่ทางตอนใต้ของรัฐคะเรนนีใกล้กับรัฐกะเหรี่ยง พวกเราอาศัยอยู่บนแผ่นดินผืนนี้มาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย แต่ต้องอพยพโยกย้ายมาอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยเพราะถูกทหารพม่าละเมิดสิทธิมนุษยชนหลากหลายรูปแบบจนทำให้เด็กหลายคนต้องกลายเป็นเด็กกำพร้า

แม่ของผมมีชื่อว่า นูนู  เป็นผู้ก่อตั้งบ้านเด็กกำพร้าหรือ Child Care Centre (CCC) ในค่ายผู้ลี้ภัยแห่งนี้  ผมอาศัยอยู่ที่นี่ร่วมกับเด็กกำพร้ากว่า 30 คน พ่อแม่ของบางคนถูกทหารพม่าฆ่าทิ้งอย่างโหดร้ายไม่ต่างจากพ่อของผม  หลายคนเสียชีวิตจากการป่วยหรือขาดอาหารระหว่างหลบหนีทหารพม่าอยู่ในป่า   อย่างเช่นพ่อแม่ของลูคุพอ หญิงสาวอายุ 17 ปี  พ่อของเธอถูกทหารพม่าฆ่าทิ้งระหว่างไปตัดไม้ไผ่ในป่าขณะเธออายุเพียง 3 ขวบ อีก 7 ปีต่อมา ทหารพม่าเข้ามาเผาหมู่บ้านของเธอ ชาวบ้าน ต่างพากันวิ่งไปหลบอยู่ในป่า ระหว่างนั้นแม่ของเธอไม่สบายมากและเสียชีวิตลงกลางป่า ชาวบ้านช่วยกันนำศพแม่ของเธอกลับหมู่บ้าน  หลังจากนั้นเธอต้องกลายเป็นเด็กกำพร้า ทหารคะเรนนีจึงพาเธอและพี่น้องมาส่งที่ชายแดนไทย เธอจึงได้เข้ามาเป็นสมาชิกของบ้านเด็กกำพร้าแห่งนี้ตั้งแต่เมื่อหกปีที่ผ่านมา

ส่วนชะตากรรมของต่าซอทู เด็กชายวัย 12 ปี แตกต่างไปจากเพื่อน ๆ ในบ้านหลังนี้  แม่ของเขาต้องกลายเป็นคนเสียสติ ตั้งแต่อายุเพียง 13 ปี เนื่องจากเห็นทหารพม่าฆ่าพ่อและพี่ชายของแม่ทิ้งต่อหน้าต่อตา แม่ของเขาช็อกเป็นลมหมดสติไป และเมื่อฟื้นขึ้นมาอีกทีหนึ่งก็กลายเป็นคนเสียสติไปแล้ว หลังจากนั้น แม่ถูกข่มขืนจนตั้งครรภ์ เขาลืมตาดูโลกโดยไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อ ยายช่วยเลี้ยงดูเขามาจนโต เขาเป็นเด็กที่มีพัฒนาการช้ากว่าเด็กปกติ คือ พูดช้าและจำได้น้อย แต่มักจดจำบางเรื่องได้ชัดเจนและแม่นยำกว่าเด็กอื่นๆ โดยเฉพาะความทรงจำเรื่องกับระเบิด ที่ฝังอยู่รอบๆ หมู่บ้าน เขาเคยขอพรพระเจ้าให้ช่วยคุ้มครองคนที่เข้าไปช่วยเหลือชาวบ้านที่หลบอยู่กลางป่าให้รอดพ้นจากกับระเบิดซึ่งถูกฝังอยู่ทั่วเขตชนบทของรัฐคะเรนนี

การเดินทางจากรัฐคะเรนนีมาถึงชายแดนไทยของผู้ลี้ภัยทุกคนเป็นไปอย่างยากลำบาก  พวกเราต้องเดินผ่านป่าที่เต็มไปด้วยกับระเบิด หลบหนีการซุ่มยิงของทหารพม่า และต้องข้ามแม่น้ำสาละวินอันเชี่ยวกราก ระหว่างทางต้องนอนกลางป่า ซึ่งเต็มไปด้วยเชื้อมาเลเรีย  หากใครมีเด็กทารกร่วมเดินทางมาด้วยก็จะต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น โดยพยายามอย่าให้เด็กร้องไห้ระหว่างทางผ่านค่ายทหารพม่า  เพราะคนร่วมทางทั้งหมดอาจถูกทหารพม่าฆ่าทิ้งได้ทันที

งา เล ชายวัย 37 ปีซึ่งเดินทางมาถึงที่นี่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาพร้อมกับชาวบ้านรวม 30 คน เล่าประสบการณ์พาภรรยาและลูกสาววัย 1 เดือนข้ามชายแดนให้ผมฟังว่า เวลาลูกร้องไห้ ภรรยาของเขาจะต้องรีบให้ลูกดูดนม ทันทีเพราะกลัวทหารพม่าจะได้ยิน ส่วนเด็กคนอื่นที่ร่วมเดินทางมาด้วยกัน พ่อแม่ก็ต้องเตรียมขนมไว้ให้กินเวลางอแง  เส้นทางที่เสี่ยงอันตรายมากที่สุดจุดหนึ่งก็คือบริเวณแม่น้ำสาละวิน เพราะสายน้ำกว้างใหญ่และเชี่ยวกราก พาหนะที่ใช้ข้ามส่วนใหญ่ คือ แพไม้ไผ่ ซึ่งเด็กๆ มักร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว

งา เล เล่าเหตุผลของการตัดสินใจพาลูกน้อยเสี่ยงชีวิตมาจนถึงชายแดนไทยว่า ก่อนหน้านี้ เวลาทหารพม่ามาที่หมู่บ้าน เขาพยายามหลบหนีอยู่ในป่า โดยเขาจะเตรียมข้าวสาร เกลือ พริก และหม้อหุงข้าวซ่อนไว้ในป่าห่างจากหมู่บ้านประมาณ 1 ไมล์ บางครั้งทหารพม่ามาอยู่นานนับสัปดาห์จนอาหารที่ซ่อนไว้ไม่พอ เขาต้องแอบไปขออาหารจากหมู่บ้านอื่นประทังชีวิต หลังจากภรรยาคลอดลูก เขาจึงตัดสินใจอพยพมาเมืองไทย เพราะหากเดินทางมาถึงที่นี่ได้ เขาและครอบครัวก็จะได้ไม่ต้องอยู่อย่างหวาดผวาอีกต่อไป

สิ่งที่ผู้ลี้ภัยทุกคนได้รับเป็นของแถมติดตัวมาจากการเดินทางผ่านป่ารัฐคะเรนนีก็คือ เชื้อมาเลเรีย เนื่องจากระหว่างทางต้องนอนกลางป่า ถูกยุงกัดทุกค่ำคืน  เมื่อเดินทางมาถึงเมืองไทย เชื้อมาเลเรียก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายไปเสียแล้ว ผมเองก็ได้รับเชื้อมาเลเรียบนเส้นทางเดียวกัน และยังคงเป็นๆ หายๆ มาจนถึงทุกวันนี้

วิถีชนเผ่าที่ยังยืนหยัด

ปัจจุบัน ค่ายผู้ลี้ภัยชาวคะเรนนีแบ่งออกเป็น 2 ค่าย คือ แคมป์ 1 มีประชากรกว่า 20,000 คน และแคมป์ 2 มีประชากร กว่า 3,000 คน ในส่วนของหมู่บ้านกะเหรี่ยงคอยาวซึ่งมีประชากรประมาณ 50 ครอบครัว ก่อนหน้าปี พ.ศ. 2542 หมู่บ้านแห่งนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของแคมป์ 1 แต่หลังจากนั้นทางการไทยได้มีคำสั่งย้ายผู้ลี้ภัยที่ไม่ใช่กะเหรี่ยงคอยาวไปอยู่ในเขตลึกเข้าไปทางชายแดน โดยห่างจากหมู่บ้านในสอยซึ่งเป็นจุดเดิมหลายกิโลเมตร ปัจจุบัน หมู่บ้านกะเหรี่ยงคอยาวจึงแยกบริเวณออกจากผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่จากรัฐคะเรนนีอย่างชัดเจน

เครื่องแต่งกาย ชนเผ่าคะเรนนี หรือ
คะยา
แม้ว่าภายในค่ายผู้ลี้ภัยจะมีประชาชนหลายกลุ่มชาติพันธุ์อาศัยอยู่ร่วมกัน โดยแต่ละกลุ่มมีภาษาพูดของตนเอง แต่พวกเรา ก็สามารถสื่อสารกันได้โดยใช้ภาษาคะยาซึ่งเป็นภาษาของกลุ่มชาติพันธุ์หลัก โดยส่วนใหญ่ผู้ลี้ภัยจะพูดได้มากกว่าหนึ่งภาษา คือ ภาษาชนเผ่าของตนเอง ภาษาคะยาและภาษาพม่า บางคนอาจพูดภาษาของชนเผ่าอื่นได้ด้วยเช่นกันหากพวกเขาอาศัยอยู่ใกล้กับชนเผ่านั้นๆ เช่น ชาวไทยใหญ่บางคนสามารถพูดได้ทั้งภาษาคะยาและภาษากะเหรี่ยง หรือชาวกะเหรี่ยงสะกอสามารถพูดภาษาคะยันหรือกะเหรี่ยงคอยาวได้


ตามปกติ ผู้ลี้ภัยจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่มีขายตามท้องตลาดทั่วไป และจะแต่งกายชุดประจำเผ่าในงานประเพณีสำคัญ แต่สำหรับกลุ่มผู้หญิงชาวคะยาที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป พวกเธอจะยังคงนิยมแต่งกายชุดประจำเผ่าในชีวิตประจำวัน เพราะเป็นเครื่องแต่งกายที่เคยใส่มาตั้งแต่อยู่ในรัฐคะเรนนี เครื่องประดับต่าง ๆ ที่สวมใส่กับชุดชนเผ่าก็ดูจะเป็นสมบัติเพียงไม่กี่ชิ้นที่พวกเธอสามารถนำติดตัวมาได้จากแผ่นดินเกิด
เครื่องแต่งกายชาวคะยัน หรือ ปะด่อง

ลักษณะเครื่องแต่งกายของหญิงชาวคะยาจะประกอบด้วยผ้าสองชิ้น คือ เสื้อตัวยาวสีดำซึ่งเกิดจากการนำผ้าทอหนึ่งผืนพันรอบตัวมัดมุมไว้บริเวณหัวไหล่ขวา เปิดไหล่ซ้าย มีผ้าสีขาวอีกผืนหนึ่งคาดเอว อีกชิ้นคือซิ่นสีแดงความยาวเหนือเข่า มีสร้อยลูกปัดหลากสีห้อยคอตัดกับชุดสีดำ ใส่ต่างหูเงินแท้ขนาดใหญ่และกำไลข้อมือซึ่งนำมาจากหมู่บ้านเดิมในรัฐคะเรนนี บริเวณหัวเข่ามีเชือกสีดำทำจากยางต้นไม้ชนิดหนึ่ง ซึ่งพวกเธอปีนขึ้นไปเก็บน้ำยางด้วยตนเอง จากนั้นจึงนำมาปั้นเป็นเส้น แต่ละคนจะพยายาม หาเชือกสีดำมาสวมใส่จนแน่นหัวเข่ายาวลงมาด้านล่างเป็นระยะประมาณหนึ่งคืบ  เมื่อเชือกเส้นเก่าเปื่อยหรือขาด พวกเธอจะต้องทำเส้นใหม่มาแทน

ปัจจุบัน ผู้หญิงคะยารุ่นใหม่ไม่ได้แต่งกายชุดประจำเผ่า เนื่องจากขาดแคลนวัสดุและเครื่องประดับต่าง ๆ ตามแบบฉบับดั้งเดิม นอกจากนี้ แพทย์สมัยใหม่ยังไม่แนะนำให้ผู้หญิงตั้งครรภ์รัดเชือกสีดำบริเวณเข่า ทำให้ผู้หญิงรุ่นใหม่เลิกแต่งกายแบบดั้งเดิม  ส่วนเครื่องแต่งกายของผู้ชายคะยา ประกอบด้วยเสื้อแขนสั้น ผ่าหน้าและกางเกงสีแดงยาวแค่เข่าซึ่งทำจากผ้าทอมือสีแดง

นอกจากผู้หญิงคะยารุ่นเก่าจะนิยมแต่งกายชุดชนเผ่าในวิถีชีวิตประจำวัน ผู้หญิงคะยันหรือกะเหรี่ยงคอยาวก็เป็นอีกชนเผ่าหนึ่งที่จะแต่งกายด้วยชุดชนเผ่าในชีวิตประจำวัน โดยพวกเธอจะเป็นคนทอผ้าสำหรับเย็บเสื้อและกระโปรงด้วยตนเอง  เหตุผลสำคัญที่ทำให้พวกเธอยังคงรักษาวัฒนธรรมการใส่ห่วงทองเหลืองและใส่ชุดประจำเผ่ากันทุกครัวเรือนไม่ว่าลูกเด็กเล็กแดงเพราะหมู่บ้านของพวกเธอเป็นสถานที่ต้อนรับนักท่องเที่ยว ซึ่งการรักษาวัฒนธรรมชนเผ่าเอาไว้จะเป็นสิ่งดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมาที่นี่ และนั่นหมายถึงคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นตามมาด้วยเช่นกัน

มะนัง หญิงคะยันวัย 50 ปี เป็นผู้อพยพมาตั้งถิ่นฐานที่นี่ ชุดแรกเมื่อ 17 ปีก่อน บนบ่าของเธอแบกรับห่วงทองเหลืองน้ำหนักกว่า 7 กิโลกรัม และลูกสาวของเธอก็ยังคงสืบทอดการใส่ห่วงทองเหลืองเช่นกัน เธอให้เหตุผลว่า การใส่ห่วงเป็นความเชื่อ ของชาวคะยันมาตั้งแต่บรรพบรุษที่ต้องการป้องกันไม่ให้ชนเผ่าอื่นลักพาตัวผู้หญิงคะยันไปเป็นเมีย ปัจจุบันการรักษาประเพณีใส่ห่วงและใส่เครื่องแต่งกายประจำเผ่านอกจากจะช่วยสืบทอดวัฒนธรรมดั้งเดิมของชนเผ่าคะยันให้ดำรงอยู่ต่อไปแล้ว ยังทำให้พวกเธอมีรายได้โดยไม่ต้องออกไปรับจ้างทำงานข้างนอกด้วยเช่นกัน

คณะกรรมการหมู่บ้านซึ่งเก็บค่าเข้าชมจากนักท่องเที่ยวจะจัดสรรเงินเดือนให้พวกเธอเดือนละ 1,500 บาทต่อผู้หญิงที่สวมห่วงหนึ่งคน นอกจากนั้นยังมีข้าวสาร เกลือ พริก และน้ำมัน ซึ่งได้รับแจกฟรีสำหรับสมาชิกในครอบครัวทุกคน ด้วยเหตุนี้ หากบ้านไหนให้กำเนิดเด็กหญิงมากกว่าเด็กชาย บ้านหลังนั้นก็จะมีรายได้ดีกว่า เด็กส่วนใหญ่จะไม่กล้าใส่ห่วงทองเหลืองในระยะแรก แต่เมื่อเห็นเพื่อนๆ ใส่กันหลายคน ก็อยากจะใส่บ้าง เมื่อเริ่มโตเป็นสาว พวกเธอก็เรียนรู้วิธีการแต่งหน้าทาปากและแต่งตัวหลากสีสันเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ จนสิ่งเหล่านี้ ได้กลายเป็นวิถีชีวิตปกติไปในที่สุด


ทุก ๆ ปีที่ค่ายผู้ลี้ภัยคะเรนนีจะมีงานประเพณีสำคัญของชนเผ่าคะยาและคะยัน คือ ประเพณีกะโทโบ ซึ่งมีความหมายเช่นเดียวกับงานขึ้นปีใหม่ โดยจะจัดในช่วงเดือนเมษายนของทุกปี ใกล้เคียงกับงานสงกรานต์ของไทย คณะกรรมการกะโทโบ ประจำค่ายผู้ลี้ภัยจะผู้กำหนดวันจัดงานและเตรียมงานในแต่ละปีขึ้นและบอกกล่าวไปยังผู้ลี้ภัยให้มาร่วมพิธี

อูเล ผู้นำพิธีกรรมวัย 58 ปี เล่าให้ฟังว่า แต่เดิมการประกอบพิธีกรรมและเฉลิมฉลองในรัฐคะเรนนีจะมีระยะเวลา 5 วัน  แต่ด้วยข้อจำกัดหลายอย่างในค่ายผู้ลี้ภัย จึงลดเวลาจัดงานเหลือเพียง 3 วัน โดยวันแรกจะต้องไปหาเสาไม้ขนาดยาวกว่า 10 เมตรมาทาสีขาว อาหารประกอบพิธี คือ หมูและไก่ รวมทั้งไวน์ข้าว ซึ่งชาวคะยาทำขึ้นเอง วันที่สองมีการเต้นรำรอบ ๆ ลานดินที่ประกอบพิธีและชักชวนผู้คนในหมู่บ้านให้ออกมาเต้นรำเฉลิมฉลองร่วมกัน วันสุดท้ายประกอบพิธีตั้งเสาขึ้นตระหง่านสู่ท้องฟ้าถือเป็นการเริ่มต้นปีใหม่

ประเพณีดีกู เป็นอีกหนึ่งประเพณีของชาวคะยาที่ยังคงสืบทอดในค่ายผู้ลี้ภัยแห่งนี้ โดยจะจัดขึ้นหลังฤดูเก็บเกี่ยวประมาณเดือนกันยายน ภายในพิธีมีการทำข้าวต้มมัด 3 อัน เพื่อแสดงถึงความสามัคคีไม่ทอดทิ้งกัน และระลึกถึงทหารคะเรนนีที่เคยสู้รบในป่า ซึ่งต้องกินข้าวเหนียวประทังชีวิต ประเพณีนี้จะจัดขึ้นตามบ้านของแต่ละคน โดยเจ้าของบ้านจะนำข้าวต้มมัดพร้อมกับกิ่งไม้แห่งปักไว้ที่ฝาผนังนอกบ้าน หลังเสร็จพิธีจึงนำข้าวต้มมัดมากินเพื่อความเป็นสิริมงคล ถ้าพิธีนี้จัดขึ้นในรัฐคะเรนนีจะมีการยิงปืนขึ้นฟ้าหรือจุดพลุเพื่อขับไล่สิ่งไม่ดีออกไป

ทุกวันนี้ แม้วิถีชีวิตในค่ายผู้ลี้ภัยจะมีข้อจำกัดหลายอย่าง แต่พวกเราทุกชนเผ่ายังคงพยายามสืบทอดประเพณีวัฒนธรรมของพวกเราเท่าที่สามารถทำได้ อาทิเช่น การปรุงอาหารประจำเผ่าซึ่งดัดแปลงใช้วัตถุดิบเท่าที่หาได้ในค่ายผู้ลี้ภัย  อาหารของชาวกะเหรี่ยงสะกอที่พวกเราทำกินบ่อย ๆ คือ “ต้ากะป่อ” มีลักษณะคล้ายกับโจ๊ก โดยเพิ่มสีสันต่าง ๆ ตามวัตถุดิบที่มี (ดูภาพประกอบ) ส่วนชาวคะยันมักจะปรุงอาหารชื่อว่า “กะละแบ” คือ ต้มน้ำกับผักต่างๆ ใส่เกลือและพริกลงไป ถ้ามีเนื้อหมูใส่เพิ่มเข้าไป ก็จะอร่อยขึ้น หรือชาวคะยามักนิยมปรุงอาหารชื่อว่า “เบี่ยเชะ” หรือแกงหน่อไม้ดองในช่วงฤดูฝนเพราะหาหน่อไม้ได้ง่าย เป็นต้น

นอกจากนี้ สิ่งที่ผู้ลี้ภัยยังคงสืบทอดต่อกันมาคือ ความคิดความเชื่อต่าง ๆ อาทิ ความเชื่อเรื่องการเสี่ยงทายกระดูกไก่ของชาวคะยาและชาวกะเหรี่ยงคอยาว (อ่านรายละเอียดในคอลัมน์วัฒนธรรมบันเทิง) หรือความเชื่อเกี่ยวกับการจัดงานแต่งงาน 2 ครั้งของชาวคะยา โดยเชื่อว่า การแต่งงานครั้งแรกหมายถึงการอนุญาตให้ทดลองอยู่ด้วยกัน ส่วนการแต่งงานครั้งที่สองคือการประกาศว่าจะอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวต่อไป


การแต่งงานทั้ง 2 ครั้งจะต้องผ่านการเสี่ยงทายกระดูกไก่ โดยหากเสี่ยงทายกระดูกไก่ครั้งแรก ได้ผลว่าทั้งสองเป็นคู่กัน ก็อนุญาตให้ทดลองอยู่ด้วยกันได้หนึ่งถึงสองปี และการแต่งงาน
ครั้งแรกจะถูกจัดขึ้นแบบเล็กๆ หลังจากอยู่ด้วยกันประมาณสองปี จึงให้ลองเสี่ยงทายกระดูกไก่อีกครั้ง ถ้ากระดูกไก่บอกว่าควรอยู่ ด้วยกันต่อไป การแต่งงานครั้งที่สองจึงเกิดขึ้นเต็มรูปแบบ แต่ถ้า กระดูกไก่ทำนายว่าไม่ดีทั้งคู่ควรจะเลิกกัน บางคน มีลูกด้วยกันแล้วก็ต้องเลิกกันถ้ากระดูกไก่ทำนายไม่ดี หากพยายามฝืนอยู่ด้วยกันต่อไปอาจทำให้ครอบครัวนั้นพบกับเรื่องโชคร้าย เช่น เจ็บป่วยบ่อย หรือใครคนใดคนหนึ่งตายก่อน ซึ่งมีหลายคู่เคยประสบกับเหตุการณ์ร้ายเหล่านี้

การแต่งงานครั้งที่สองจะจัดใหญ่กว่าครั้งแรก ต้องเลี้ยงหมูและมีพิธีกรรมหลายอย่าง โดยภายในงานอาจมีลูกของคู่บ่าวสาววิ่งเล่นด้วย เพราะเคยอยู่ด้วยกันมาแล้ว ปัจจุบันมีบางครอบครัว ที่ไม่ได้แต่งงานครั้งที่สอง แต่อยู่ด้วยการมาหลายสิบปี เนื่องจากไม่มีเงินสำหรับจัดงานแต่งงาน หลังจากแต่งงานครั้งที่สอง หากมีการเลิกรากันไป ฝ่ายที่บอกเลิกจะต้องจ่ายเงินชดใช้อีกฝ่ายหนึ่ง ปัจจุบันการแต่งงานสองครั้งยังมีปรากฏในค่าย เฉพาะกลุ่มชาวคะยาที่ยังนับถือผี ส่วนผู้นับถือคริสต์จะจัดงานแต่งงานครั้งเดียว และไม่มีการเสี่ยงทายกระดูกไก่

สำหรับการแต่งงานในกลุ่มผู้นับถือศาสนาคริสต์ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ใด การจัดงานพิธีทางศาสนาจะเหมือนกันคือ การทำพิธีในโบสถ์ โดยคู่บ่าวสาวจะจัดงานภายใต้ข้อจำกัดทั้งงบประมาณและสถานที่อย่างดีที่สุด อย่างเช่นงานแต่งงานของเพื่อนชาวกะเหรี่ยงเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา พวกเขาพยายามหาสิ่งพิเศษสำหรับชีวิตในค่ายผู้ลี้ภัยมารวมไว้ในงาน อาทิ การเช่าชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาว การสั่งซื้อน้ำแข็งและน้ำหวานจากภายนอกเลี้ยงผู้มาร่วมงาน รวมทั้งการทำอาหารประเภทเนื้อหมูซึ่งถือว่าเป็นเมนูพิเศษ เพราะอาหารปกติจะเป็นถั่วเหลืองต้มกับเกลือ คนที่มีความสุขมากไม่แพ้เจ้าบ่าวเจ้าสาวในงานก็คือพวกเด็ก ๆ ซึ่งนาน ๆ จะได้กินน้ำแข็งใส่น้ำหวานฟรี เพราะน้ำแข็งที่นี่มีราคาแพงกว่าตามท้องตลาด ด้วยเหตุนี้ น้ำแข็งจึงเป็นสิ่งพิเศษของเด็กๆ ที่นี่ จนเด็กกำพร้าคนหนึ่งเคยประกาศว่า

“ถ้าผมได้อพยพไปอยู่ประเทศที่สามที่มีหิมะเมื่อไหร่ ผมจะขนน้ำแข็งใส่เครื่องบินมาแจกทุกคนในค่ายฟรี ๆ”

ทุกวันนี้ แม้ว่าพวกเราจะต้องดำเนินชีวิตภายใต้ข้อจำกัดต่าง ๆ แต่พวกเราก็ยังพยายามรักษาวัฒนธรรมชนเผ่าของเราให้ดำรงอยู่ต่อไปให้ยาวนานที่สุดเท่าที่จะทำได้


ศักดิ์ศรีในพื้นที่จำกัด

น้อหล่าทู เป็นหญิงชาวคะยาวัย 50 ปี อพยพมาจากรัฐคะเรนนีตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535  มีลูกทั้งหมด 9 คน เธอได้รับการยกย่องจากคนในค่ายให้เป็นแม่ดีเด่นเมื่อปีที่ผ่านมา ด้วยเหตุผลที่ว่า เธอสามารถเลี้ยงลูกทุกคนให้รอดชีวิตมาจนถึงวันนี้ได้เพราะหลายครอบครัวมักสูญเสียสมาชิกคนใดคนหนึ่งไปกว่าจะเติบใหญ่ เธอยังจำได้ดีถึงความยากลำบากเมื่อครั้งเดินทางจากรัฐคะเรนนีสู่ชายแดนไทย ในเวลานั้นเธอมีลูก 8 คน คนเล็กสุดอายุ 5 ขวบ ก่อนเดินทางเธอต้องเตรียมข้าวสารและหม้อหุงข้าวใบใหญ่กว่าครอบครัวอื่น แบ่งข้าวสารให้ลูก ๆ ช่วยกันถือคนละนิดละหน่อย ตอนกลางวันพยายามเดินในไกลที่สุด กลางคืนนอนบนพื้นดินกลางป่า เมื่อเด็ก ๆ งอแงต้องเตรียมขนมไว้ให้กินตลอดทาง เพื่อป้องกันทหารพม่าได้ยิน พอถึงช่วงข้ามแม่น้ำสาละวินอันเชี่ยวกรากต้องปิดตาเด็ก ๆ ไว้เพื่อลดความหวาดกลัวและป้องกันเสียงกรีดร้อง ทุกคนมาถึงชายแดนไทยด้วยความปลอดภัย

น้อหล่าทูเริ่มต้นชีวิตในค่ายผู้ลี้ภัยด้วยการนำทรัพย์สินเงินทองที่ติดตัวมาขายเป็นเงินเพื่อนำเงินมาซื้อแม่หมู เป็ด ไก่ เธอค่อย ๆ เลี้ยงดูจนหมูออกลูก แล้วค่อย ๆ นำไปขาย ได้เงินมาเลี้ยงลูกๆ จนเติบใหญ่เธอมีความสุขกับชีวิตในแต่ละวัน เพราะอย่างน้อยที่นี่ทำให้เธอและลูก ๆ ได้กินอิ่มนอนหลับ แม้ว่าเด็กรุ่นใหม่จะมีความใฝ่ฝันอพยพไปประเทศที่สาม เพราะหวังจะมีอนาคตที่ดี  แต่สำหรับคนรุ่นเธอ ความฝันสูงสุดคือการได้กลับไปทำมาหากินบนแผ่นดินเกิดของตนเอง

ทุกวันนี้ คนภายนอกอาจมองเห็นชีวิตของผู้ลี้ภัยสุขสบาย เพราะมีข้าวกินทุกวันโดยไม่ต้องลำบากทำมาหากิน แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า สิ่งที่พวกเราต้องการมากที่สุดในชีวิตไม่ใช่ “ของฟรี” ที่ได้มาง่ายๆ แต่เป็น “เสรีภาพ” ของการได้ลงมือทำงานแลกกับสิ่งที่ต้องการ และสิ่งที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือการได้อยู่อย่างมีศักดิ์ศรี ดังเช่นคำพูดของหญิงชาวคะยาคนหนึ่งเคยพูดให้ผมฟังว่า

“อาหารที่เราหากินด้วยตนเอง มันอร่อยกว่าอาหารฟรีที่คนอื่นให้เรา ถ้าวันใดแผ่นดินเกิดของพวกเราสงบสุข
ฉันจะรีบเก็บของกลับบ้านเดี๋ยวนั้นเลย แต่วันนี้ เราจำเป็นต้องยอมรับสภาพของตนเองว่าเป็นเพียงผู้ลี้ภัย แค่เพียงเราได้มีลมหายใจสำหรับวันพรุ่งนี้ก็ดีถมไปแล้ว”


------------------ล้อมกรอบ ------------------- 



ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับรัฐคะเรนนี


รัฐคะเรนนีตั้งอยู่ภาคตะวันออกสุดของพม่า อยู่ระหว่างกลางจังหวัดแม่ฮ่องสอนของไทยทางตะวันออกกับรัฐฉานทางตอนเหนือและรัฐกะเหรี่ยงทางตอนใต้ (โปรดดูแผนที่) โดยมีพื้นที่ใกล้เคียงกับจังหวัดเชียงราย แต่ที่ต่างกันก็คือที่เชียงรายมีประชากร 1.23 ล้านคน แต่ที่รัฐคะเรนนีมีประชากรเพียง 300,000 คน โดยแบ่งออกเป็น 7 เมืองได้แก่ เดมอโซ พรูโซ ลอยก่อ ปาสวง บ่อเล็ก ชะดอ และแม่เส็ต ลอยก่อเป็นเมืองหลวงและมีประชากรประมาณ 50,000 คนโดยเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในรัฐ

ชาวคะยาเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ใหญ่ที่สุดของรัฐนี้ นอกเหนือไปจากกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ อย่างเช่น เก็กโก เกบา กะเหรี่ยง คะยัน (ปะด่ง) คะยอ เบร มะนูมะนอ ฉาน ยินบ่อ และยินตาเล ชนเผ่าต่าง ๆ เหล่านี้สืบเชื้อสายจากบรรพชนกลุ่มเดียวกันแต่แยกกันออกเป็นกลุ่มต่าง ๆ1 แต่ละชนเผ่าจะมีภาษา วัฒนธรรมและความเชื่อเป็นของตนเอง โดยในแต่ละเผ่าจะมีภาษาพูดที่หลากหลายและมีความแตกต่างหลายอย่าง บางเผ่ามีประชากรเหลืออยู่ไม่มากนัก อย่างเช่น ชนเผ่ายินตาเลมีประชากรอยู่ประมาณ 1,000 คน

ความหลากหลายทางวัฒนธรรมในรัฐคะเรนนีมีต้นกำเนิดจากเทือกเขา พื้นที่ของรัฐส่วนใหญ่ตั้งอยู่บนส่วนปลายของที่ราบสูงฉาน ยกเว้นแต่พื้นที่ราบซึ่งอยู่ตามหุบเขาริมฝั่งแม่น้ำ สาละวินเป็นแม่น้ำสายหลักที่นี่โดยไหลจากเหนือสู่ใต้ทางตะวันออก ของรัฐ รวมทั้งแม่น้ำสาขาสายสำคัญคือแม่น้ำปุ่น บาลูชองเป็นแม่น้ำสาขาที่สำคัญของแม่น้ำปุ่นและมีการสร้างเขื่อนโมเบียที่นี่ แม่น้ำปุ่นไม่เหมาะกับการล่องเรือ ในขณะที่แม่น้ำสาละวินมีความลึก มากเพียงพอที่จะให้เรือล่องได้ทุกฤดูกาล ส่งผลให้กลายเป็นเส้นทางคมนาคมหลักของรัฐ

ประชาชนส่วนใหญ่ในรัฐทำเกษตรแบบพอเพียงตามที่ราบและภูเขา รวมทั้งการล่าสัตว์ จับปลาและการหาของป่า นอกจากนั้นยังมีการประกอบอาชีพเป็นผู้ตัดไม้รายย่อยและการค้าขายตามเส้นทางแม่น้ำ โดยเฉพาะการค้าขายกับประเทศไทยผ่านแม่น้ำสาละวิน KDRG ประมาณว่าประชาชน 100,000 คนหรือหนึ่งในสามของประชากรของรัฐต้องพึ่งพากับแม่น้ำสาละวิน ปุ่นและปายเพื่อการเลี้ยงชีพ ไม่ว่าจะเป็นการจับปลา การค้าขายหรือการเกษตร

รัฐคะเรนนีตั้งอยู่ภาคตะวันออกสุดของพม่า อยู่ระหว่างกลางจังหวัดแม่ฮ่องสอนของไทยทางตะวันออกกับรัฐฉานทางตอนเหนือและรัฐกะเหรี่ยงทางตอนใต้ (โปรดดูแผนที่) โดยมีพื้นที่ใกล้เคียงกับจังหวัดเชียงราย แต่ที่ต่างกันก็คือที่เชียงรายมีประชากร 1.23 ล้านคน แต่ที่รัฐคะเรนนีมีประชากรเพียง 300,000 คน โดยแบ่งออกเป็น 7 เมืองได้แก่ เดมอโซ พรูโซ ลอยก่อ ปาสวง บ่อเล็ก ชะดอ และแม่เส็ต ลอยก่อเป็นเมืองหลวงและมีประชากรประมาณ 50,000 คนโดยเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในรัฐ

ชาวคะยาเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ใหญ่ที่สุดของรัฐนี้ นอกเหนือไปจากกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ อย่างเช่น เก็กโก เกบา กะเหรี่ยง คะยัน (ปะด่ง) คะยอ เบร มะนูมะนอ ฉาน ยินบ่อ และยินตาเล ชนเผ่าต่าง ๆ เหล่านี้สืบเชื้อสายจากบรรพชนกลุ่มเดียวกันแต่แยกกันออกเป็นกลุ่มต่าง ๆ1 แต่ละชนเผ่าจะมีภาษา วัฒนธรรมและความเชื่อเป็นของตนเอง โดยในแต่ละเผ่าจะมีภาษาพูดที่หลากหลายและมีความแตกต่างหลายอย่าง บางเผ่ามีประชากรเหลืออยู่ไม่มากนัก อย่างเช่น ชนเผ่ายินตาเลมีประชากรอยู่ประมาณ 1,000 คน

ความหลากหลายทางวัฒนธรรมในรัฐคะเรนนีมีต้นกำเนิดจากเทือกเขา พื้นที่ของรัฐส่วนใหญ่ตั้งอยู่บนส่วนปลายของที่ราบสูงฉาน ยกเว้นแต่พื้นที่ราบซึ่งอยู่ตามหุบเขาริมฝั่งแม่น้ำ สาละวินเป็นแม่น้ำสายหลักที่นี่โดยไหลจากเหนือสู่ใต้ทางตะวันออก ของรัฐ รวมทั้งแม่น้ำสาขาสายสำคัญคือแม่น้ำปุ่น บาลูชองเป็นแม่น้ำสาขาที่สำคัญของแม่น้ำปุ่นและมีการสร้างเขื่อนโมเบียที่นี่ แม่น้ำปุ่นไม่เหมาะกับการล่องเรือ ในขณะที่แม่น้ำสาละวินมีความลึก มากเพียงพอที่จะให้เรือล่องได้ทุกฤดูกาล ส่งผลให้กลายเป็นเส้นทางคมนาคมหลักของรัฐ

ประชาชนส่วนใหญ่ในรัฐทำเกษตรแบบพอเพียงตามที่ราบและภูเขา รวมทั้งการล่าสัตว์ จับปลาและการหาของป่า นอกจากนั้นยังมีการประกอบอาชีพเป็นผู้ตัดไม้รายย่อยและการค้าขายตามเส้นทางแม่น้ำ โดยเฉพาะการค้าขายกับประเทศไทยผ่านแม่น้ำสาละวิน KDRG ประมาณว่าประชาชน 100,000 คนหรือหนึ่งในสามของประชากรของรัฐต้องพึ่งพากับแม่น้ำสาละวิน ปุ่นและปายเพื่อการเลี้ยงชีพ ไม่ว่าจะเป็นการจับปลา การค้าขายหรือการเกษตร

ทรัพยากรด้านเศรษฐกิจที่สำคัญในรัฐคะเรนนีได้แก่ทรัพยากรป่าไม้อย่างเช่น ไม้สัก นอกจากนั้นในรัฐนี้ยังเป็นแหล่งดีบุกและทังสเตนที่สำคัญโดยเฉพาะเหมืองแร่ที่อยู่แถบเมืองมอจี แร่อื่น ๆ ซึ่งพบประกอบด้วยหินอ่อน พลวง ทองคำและนิล

เนื่องจากความยากลำบากด้านการคมนาคมและความขัดแย้งซึ่งดำรงอยู่มาเป็นเวลานาน เป็นเหตุให้การพัฒนาด้านมนุษย์ในรัฐคะเรนนีล้าหลังกว่าที่อื่น อัตราการรู้หนังสือในรัฐนี้ต่ำกว่าพื้นที่อื่น ๆ ของพม่าเป็นอย่างมาก จากข้อมูลของกระทรวงศึกษาธิการในปี 2541 มีโรงเรียนมัธยมเพียง 10 แห่งในรัฐคะเรนนี ที่เมืองแม่เส็ตและชะดอไม่มีโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายเลย โดยมีแต่โรงเรียนที่สอนจนถึงระดับมัธยมต้นเมืองละแห่ง

สภาพการณ์ด้านสาธารณสุขอยู่ในสภาพเลวร้าย มีปัญหาการขาดสารอาหารและการขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรงในหลายพื้นที่ การเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุขมีอยู่จำกัด และมีเฉพาะในเมืองใหญ่ ๆ โรคติดต่อเป็นสาเหตุสำคัญของการเจ็บไข้ได้ป่วยและการตาย รวมทั้งการบังคับโยกย้ายยังทำให้โรคเหล่านี้แพร่กระจายกว้างขวางยิ่งขึ้น รัฐคะเรนนีมีอัตราการเจ็บป่วยและเสียชีวิตเนื่องจากโรคมาลาเรียสูงสุดแห่งหนึ่งในพม่า การฉีดวัคซีนป้องกันโรคอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั้งประเทศมาก และประชาชนไม่สามารถเข้าถึงน้ำดื่มที่ปลอดภัย


ข้อมูลด้านประวัติศาสตร์โดยย่อของรัฐคะเรนนี 


เมืองเอกทั้ง 7 ในรัฐคะเรนนีตั้งขึ้นตามโครงสร้างการปกครองแบบเดิมภายใต้ระบอบกษัตริย์ หรือ ซอพระยา ซึ่งปกครองแต่ละเมืองเป็นอิสระจากกัน แต่จะร่วมมือกันเมื่อมีภัยคุกคามจากภายนอก ที่ผ่านมาเมืองเหล่านี้ไม่เคยตกอยู่ใต้อำนาจจากภายนอก แม้ในช่วงที่อังกฤษเข้ามาเป็นเจ้าอาณานิคม มีการยอมรับให้รัฐคะเรนนีมีเอกราชของตนเอง โดยเป็นข้อตกลงที่ลงนามโดยผู้แทนจากรัฐบาลอังกฤษและพม่าเมื่อปี 2418 เมืองเอกต่าง ๆ ยังคงปกครองแยกจากกันและเป็นอิสระจนถึงปี 2491 เมื่อพม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษ

เมื่อได้รับเอกราช ชนเชื้อสายพม่าในรัฐคะเรนนีจัดตั้งรัฐบาลสันนิบาตเพื่อเสรีภาพของประชาชนและต่อต้านฟาสซิสม์ (Anti-Fascist People’s Freedom League: AFPFL) ส่วนชาวคะเรนนีก็จัดตั้งรัฐบาลของตนเองซึ่งนำโดยอูเบตูเร ในวันที่ 9 สิงหาคม 2491 ทหารพม่าได้เข้ามารุกรานรัฐคะเรนนี และในวันที่ 8 กันยายน พวกเขาได้จับตัวอูเบตูเรและอุ้มใส่กระสอบป่าน และนำไปตัดหัวพร้อมกับโยนร่างของเขาทิ้งในแม่น้ำบาลูชองที่เมืองลอยก่อ เป็นเหตุให้มีการสู้รบอย่างต่อเนื่องระหว่างกองกำลังฝ่ายต่อต้านชาวคะเรนนีกับรัฐบาลทหารพม่าในยุคต่อ ๆ มา

ในปี 2500 มีการปฏิรูปรัฐบาลของชาวคะเรนนีโดยเปลี่ยนชื่อเป็นพรรคเพื่อความก้าวหน้าแห่งชาติคะเรนนี (Karenni National Progressive Party: KNPP) ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กองกำลังติดอาวุธฝ่ายต่อต้านของคะเรนนีหลายกลุ่มได้ต่อสู้กับทหารพม่าแบบกองโจร โดยเฉพาะอย่างเช่นกลุ่มแนวร่วมเพื่อการปลดปล่อยประชาชนแห่งชาติคะเรนนีหรือ KNPLF (Karenni National Peoples Liberation Front) ซึ่งเป็นกลุ่มที่แยกออกมาจาก KNPP เมื่อปี 2522 จนถึงปี 2545 กลุ่มต่าง ๆ ยกเว้น KNPP ได้ลงนามในสัญญาหยุดยิงกับ SPDC

ระหว่างปี 2491-2504 ทหารพม่าได้ถูกส่งมาประจำการในรัฐคะเรนนี โดยผลัดเปลี่ยนมาหลายกองพัน แต่จนภายหลังการก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่ลอปิต๊ะสำเร็จลงเมื่อปี 2504 มีการส่งกองพันทหารเบามาประจำการอย่างถาวรที่เมืองลอยก่อ และส่งทหารมาเพิ่มขึ้นตามส่วนอื่น ๆ ของรัฐ หลังจากการประท้วงของนิสิตนักศึกษาในปี 2531 ทำให้มีการส่งทหารมามากยิ่งขึ้น ในปัจจุบันมีกองพันทหาร 24 กองพันซึ่งประจำการและปฏิบัติหน้าที่ใน รัฐคะเรนนี


รัฐบาลเผด็จการทหารที่ย่างกุ้งพยายามหลายครั้งหลายคราวที่จะเข้ามายึดครองรัฐคะเรนนี และนับตั้งแต่ปี 2503 เป็นต้นมา ทหารพม่าใช้ยุทธวิธี “4 ตัด” ในพื้นที่ของกลุ่มชาติพันธุ์ โดยมีเป้าหมายให้พลเรือนตัดการส่งเสบียงและความสนับสนุนให้กับกองกำลังติดอาวุธฝ่ายต่อต้าน นโยบาย “4 ตัด” ซึ่งดำเนินการโดยพรรค BSPP ครั้งใหญ่เป็นครั้งแรกในรัฐคะเรนนีเกิดขึ้นราวปี 2517-2518 โดยมีเป้าหมายที่จะกวาดล้างพื้นที่ตามริมฝั่งแม่น้ำปายและสาละวิน มีการทำลาย 24 หมู่บ้านและเป็นเหตุให้ประชาชนประมาณ 3,270 คนต้องไร้ที่อยู่ การต่อสู้ดำเนินไปตลอดทศวรรษ 1980 และพื้นที่บริเวณแม่น้ำสาละวินยังคงเป็นจุดที่มั่นทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญของกองกำลังทั้งสองฝ่าย

การพลัดถิ่นของพลเรือนในรัฐคะเรนนีตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ทั่วไป มีการใช้กำลังผลักดันให้หมู่บ้านอพยพออกไป จากนั้นก็เผาหมู่บ้านเพื่อป้องกันไม่ให้ชาวบ้านกลับมาอีก พลเรือนเหล่านี้ต้องย้ายไปอยู่ในพื้นที่ซึ่งมีทหารควบคุม หรือไม่ก็ต้องแยกเป็นกลุ่มเล็ก ๆ เพื่อซ่อนตัว โดยอาศัยป่าและลำธารเป็นแหล่งอาหารเพื่อให้อยู่รอด เมื่อสถานการณ์ดีขึ้น พวกเขาอาจจะกลับมาที่หมู่บ้านหรือไม่ก็ย้ายไปอยู่อย่างถาวรในพื้นที่ใหม่ ด้วยลักษณะดังกล่าว ประชาชนจึงต้องอพยพหลายครั้ง ระหว่างป่ากับหมู่บ้าน ซึ่งส่งผลกระทบทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ทหารพม่าไม่ได้ให้ความช่วยเหลือในขณะที่มีการโยกย้าย แม้แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามคำสั่งโยกย้าย บางส่วนก็อาจจะต้องเสียชีวิตก่อนจะไปถึงยังที่หมาย

หลังจากมีการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงระหว่างฝ่าย KNPP และ SPDC ในปี 2538 ทหารพม่าก็เริ่มยุทธการโจมตีอย่างรุนแรงเพื่อหวังจะยึดครองรัฐคะเรนนีให้ได้ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมารัฐบาลทหารพม่าได้ใช้ยุทธวิธีหลายอย่างทั้งการโจมตีโดยกองกำลังทหารโดยตรง การบังคับโยกย้ายหมู่บ้าน การกดดันให้ทั้งกลุ่มหยุดยิงและกลุ่มอื่น ๆ ต่อสู้กับกองกำลังฝ่ายต่อต้านของ KNPP ตลอดการสู้รบที่ผ่านมา รัฐบาลทหารได้ทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนเพื่อเข้ามายึดครองพื้นที่มากขึ้น ส่งผลให้มีชาวคะเรนนีซึ่งต้องหลบหนีหรืออพยพเข้ามาสู่ประเทศไทยเพิ่มจำนวนขึ้น

สถานการณ์ผู้พลัดถิ่นในประเทศและผู้อพยพในปัจจุบัน

จากข้อมูลขององค์การ Thailand Burma Border Consortium ในปี 2548 มีผู้พลัดถิ่นในประเทศอยู่ประมาณ 92,500 คนในรัฐคะเรนนี หรือคิดเป็นเกือบ 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมดในรัฐ ผู้พลัดถิ่นในประเทศเหล่านี้แยกกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ กระจายไปอยู่ตามป่า และมักจะต้องโยกย้ายอยู่บ่อย ๆ ขึ้นอยู่กับสภาพการต่อสู้ การลาดตระเวนของทหารและการโจมตีสู้รบกันทำให้พวกเขาต้องถูกโยกย้ายและ/หรือต้องเผชิญกับความรุนแรงเมื่อใดก็ได้

พลเรือนจำนวนมากอพยพเข้ามาในไทยเพื่อความปลอดภัย จำนวนผู้อพยพชาวคะเรนนีที่ลี้ภัยจากสงครามและจดทะเบียนในไทยเพิ่มจำนวนถึง 22,333 คน ในช่วงระหว่างปี 2533-2548 2 ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่ปรากฏข้อมูลชัดเจนว่ามีผู้ลี้ภัยชาวคะเรนนีที่อพยพและยังอยู่ในประเทศไทยแต่ไม่ได้อยู่ในค่ายผู้อพยพอีกเท่าไร