โดย รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร
บทนำ : แนะนำส่วยอุและครอบครัวสายไทย...คนเดินเรื่อง สิทธิในสถานะบุคคลตามกฎหมายของคนไร้สัญชาติ แห่งอำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่
ผู้เขียนอยากจะเล่าถึงสิทธิในสถานะบุคคลตามกฎหมายไทยของคนไร้สัญชาติเชื้อสายไทยใหญ่แห่งเวียงแหง โดยใช้ข้อเท็จจริงของครอบครัวของนางส่วยอุ สายไทย เป็นตัวเดินเรื่องในทางข้อเท็จจริง และนำข้อกฎหมายมาปรับใช้ต่อคนแต่ละคนในครอบครัวต้นแบบที่นำมาเป็นตัวเดินเรื่อง
เริ่มต้นจาก “ชิดส่วย สายไทย” ซึ่งเป็นอดีตทหารไทยใหญ่ที่หนีภัยความตายเข้ามาในประเทศไทย และ“ส่วยอิ่ง สายไทย” ซึ่งเป็นภรรยาของชิดส่วยที่หนีภัยความตายตามสามีเข้ามาในประเทศไทย พวกเขาทั้งสองเข้ามาอาศัยบนแผ่นดินอันสงบสุขของอำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่
“ส่วยอุ สายไทย” เป็นลูกคนแรกที่เกิดในประเทศไทยในปีที่บิดามารดาหนีภัยความตายเข้ามาในประเทศไทย กล่าวคือ ปี พ.ศ. 2512 ส่วยอุจึงเป็นบุตรที่ได้มีโอกาสเผชิญกับปัญหาต่างๆ ร่วมกับบิดามารดาในขณะที่บิดามารดายังไม่ได้รับอนุญาตให้อาศัยอยู่ในประเทศไทย นอกจากส่วยอุ ชิดส่วยและส่วยอิ่งมีบุตร อีก 3 คน ซึ่งเกิดที่เวียงแหงเช่นกัน กล่าวคือ (1) นายฮิงส่วย ซึ่งเกิดที่เวียงแหง ในปี พ.ศ.2513 (2) นายฮิตึง ซึ่งเกิดที่เวียงแหงในปี พ.ศ. 2515 และ (3) นางขวัญนิด ซึ่งเกิดที่เวียงแหงในปี พ.ศ. 2523
ชิดส่วยและส่วยอิ่งหาเลี้ยงครอบครัวโดยการทำสวนชาที่เวียงแหง ครอบครัวสายไทยก็กลายเป็นครอบครัวใหญ่ประดุจเมล็ดพันธุ์พืชเมล็ดเดียวที่ตกลงบนดินและเติบใหญ่ให้ดอกออกผลอีกมากมาย อาทิ ส่วยอุซึ่งเติบโตบนแผ่นดินไทยและต่อมาได้อยู่กินฉันสามีภริยากับสามี “สงคราม คำหมาย” ซึ่งเป็นคนเชื้อสายไทยใหญ่ที่อพยพเข้ามาในประเทศไทย เขาเกิดที่อำเภอเวียงแหงเมื่อ พ.ศ. 2511 เช่นเดียวกับส่วยอุ ในวันนี้ เขามีอายุ 37 ปี บรรพบุรุษของสงครามเป็นคนเชื้อสายไทยใหญ่ซึ่งอพยพเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่ก่อนวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2519 เช่นเดียวกับครอบครัวสายไทย
ส่วยอุและสงครามมีบุตรด้วยกัน 3 คน กล่าวคือ (1) “เนตรนภา สายไทย” ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2535 (2) “พรจิญา สายไทย” ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 และ (3) “รณกร สายไทย” ซึ่งเกิดเมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2541 บุตรทั้งสามของส่วยอุได้มีโอกาสเรียนหนังสือในสถาบันการศึกษาไทย
ชิดส่วยและส่วยอิ่ง : จากคนหนีภัยความตายจากพม่าในพ.ศ.2512...มาสู่ราษฎรไทยประเภทคนเข้าเมืองผิดกฎหมายแต่มีสิทธิอาศัยชั่วคราว ในพ.ศ.2519...และกำลังจะเป็นราษฎรไทยประเภทคนเข้าเมืองถูกกฎหมายและมีสิทธิอาศัยถาวร
เราคงคาดหวังไม่ได้ว่า คนที่หนีภัยความตายเข้ามาในประเทศไทยจะมีโอกาสร้องขอวีซ่าเข้าเมืองจากสถานทูตไทยในประเทศพม่า เป็นที่แน่นอนว่า พวกเขาจะต้องรีบเข้ามาในประเทศไทยโดยไม่มีการอนุญาตใดๆ ตามกฎหมายไทยว่าด้วยการเข้าเมืองของคนต่างด้าว
แต่อย่างไรก็ตาม โดยหลักกฎหมายระหว่างประเทศ รัฐไทยก็ไม่อาจจะผลักดันคนหนีภัยความตายออกไปนอกประเทศไทย เพราะการกระทำเช่นนั้นย่อมนำไปสู่การละเมิดสิทธิในชีวิตของมนุษย์ ดังนั้น จึงมีการอนุญาตให้บุคคลในสถานการณ์การหนีภัยความตายจากการสู้รบในประเทศพม่าที่เข้ามาในประเทศไทยก่อนวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ.2519 ได้รับสิทธิอาศัยชั่วคราวในประเทศไทย แต่ยังถูกถือว่า “เป็นคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย” กล่าวคือ รัฐบาลไทยในขณะนั้นยังไม่ยอมให้สถานะคนเข้าเมืองถูกกฎหมาย อันมีผลให้สามารถอาศัยได้ในเขตที่กำหนด แต่ไม่อนุญาตให้เดินทางออกนอกพื้นที่ดังกล่าว เว้นแต่จะได้รับอนุญาต โดยกฎหมายและนโยบายดังกล่าวของรัฐไทยอันได้แก่ พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2493 ชิดส่วยและส่วยอิ่งจึงได้รับสถานะเป็นคนต่างด้าวที่มีสิทธิอาศัยชั่วคราวในประเทศไทย แต่ยังถูกถือเป็น “คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย”
แม้จะมีนโยบายให้สิทธิอาศัยแก่ชิดส่วยและส่วยอิ่ง ตลอดจนบุคคลในสถานการณ์เดียวกันมาตั้งแต่ พ.ศ. 2519 แต่อำเภอเวียงแหงซึ่งมีหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรที่จะต้องเข้าทำทะเบียนประวัติและออกบัตรประจำตัวบุคคลให้แก่พวกเขา เพิ่งทำการบันทึกพวกเขาในแบบพิมพ์ทะเบียนประวัติตามกฎหมายไทยว่าด้วยการทะเบียนราษฎร เมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2538 และได้รับบัตรประจำตัวผู้พลัดถิ่น สัญชาติพม่าเมื่อวันที่ 24 เมษายน พ.ศ.2541
ขอให้สังเกตว่า ชิดส่วยและครอบครัว รวมถึงบุคคลในสถานการณ์เดียวกันถูกรัฐบาลไทยเรียกว่า “ผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่า” ทั้งที่พวกเขาไม่มีชื่อในทะเบียนราษฎร์ของประเทศพม่า หรือของประเทศใดเลยในโลก พวกเขาไร้รัฐผู้ให้สัญชาติ พวกเขามีแต่รัฐไทยเท่านั้นที่ให้สิทธิอาศัย พวกเขาจึงมีสถานะเป็น “ราษฎรไทย” แต่ไม่มีสัญชาติไทย และถือบัตรประจำตัวที่กรม
การปกครองออกให้ โดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร มีชื่อว่า “บัตรประจำตัวผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่า” แต่เรียกกันโดยทั่วไปว่า “บัตรสีชมพู” เพราะมีสีชมพู
และแล้วรัฐบาลไทยก็มีนโยบายยอมรับให้สิทธิเข้าเมืองแก่ชิดส่วยและครอบครัว รวมถึงบุคคลในสถานการณ์เดียวกันในปี พ.ศ. 2543 กล่าวคือ รัฐบาลไทยโดยคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ.2543 พิจารณาให้สถานะ คนต่างด้าวที่มีสิทธิเข้าเมืองถูกกฎหมายและมีสิทธิอาศัยอยู่ถาวรในประเทศไทย” ทั้งนี้ เพราะประจักษ์ว่า กลุ่มผู้ถือบัตรผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่าอาศัยอยู่จนกลมกลืนกับสังคมไทยแล้ว อันทำให้เชื่อได้ว่า ความเป็นไปได้ ที่จะมีผลกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงลดลง และการให้สถานะคนเข้าเมืองที่ชอบด้วยกฎหมายย่อมจะเป็นปัจจัยบวกต่อความมั่นคง นโยบายดังกล่าวย่อมทำให้บุคคลกลุ่มดังกล่าวมี ความรู้สึกและจิตสำนึกที่ดีต่อประเทศไทย อันทำให้ไม่คิดที่จะมีการกระทำร้ายๆ ต่อประเทศไทย
แต่อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันซึ่งเป็น พ.ศ. 2549 แล้ว ชิดส่วยและส่วยอิงก็ยังไม่ได้รับเอกสารแสดงสถานะคนต่างด้าวที่เข้าเมืองชอบด้วยกฎหมายและมีสิทธิอาศัยอยู่ถาวร กล่าวคือ ในประการแรก เขาควรจะได้รับการลงรายการสถานะบุคคลใน ทร.14 แต่เขาก็ยังมีชื่อใน ทร.13 และในประการที่สอง เขาควรได้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว แต่เขาก็ยังคงถือบัตรผู้พลัดถิ่น สัญชาติพม่า แล้วเราจะทำอย่างไรดีสำหรับปัญหาที่ฝ่ายปกครองแปลงนโยบายดังกล่าวให้มีผลในทางปฏิบัติอย่างล่าช้าจนเกินสมควร? ผู้ที่ได้รับผลกระทบควรจะทำเช่นไรดี ?
สิ่งที่ชิดส่วยและส่วยอิ่งไม่อาจเข้าใจ ก็คือ คนจีนฮ่อรุ่นแรกที่เข้ามาอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านเปียงหลวงพร้อมกับตน ในปัจจุบัน ็ได้รับแปลงสัญชาติเป็นคนสัญชาติไทยและถือบัตรประชาชนไทยและลูกที่เกิดในไทยก็ได้รับบัตรประชาชนไทยไปแล้ว[1] อะไรคือความเป็นธรรมสำหรับคนที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินเวียงแหง เหมือนกัน ? ชาติพันธุ์มีบทบาทในเรื่องนี้หรือไม่ ? เมื่อเหลียวมองหลักกฎหมายสัญชาติ[2] ก็มีความเป็นไปได้ที่ชิดส่วยและส่วยอิ่งจะร้องขอแปลงสัญชาติเป็นไทย แต่ก็จะต้องได้รับสถานะคนต่างด้าวที่เข้าเมืองถูกกฎหมายและมีสิทธิอาศัยอยู่ถาวรเสียก่อน จึงต้องหันกลับมาถามกรมการปกครองว่า สักเมื่อไหร่ที่ชิดส่วยและส่วยอิ่งจะได้รับสถานะคนต่างด้าวที่เข้าเมืองถูกกฎหมายและมีสิทธิอาศัยอยู่ถาวรซึ่งคณะรัฐมนตรี เห็นชอบมานานแล้ว? หลังจากได้สถานะนี้แล้ว 5 ปี ชิดส่วยและส่วยอิ่งก็อาจจะฝันได้ถึงการแปลงสัญชาติเป็นไทย กฎหมายให้โอกาส และนโยบายก็มีแล้ว แล้วอุปสรรคอยู่ตรงไหนกัน?
ส่วยอุและสงคราม....จากคนสัญชาติไทยโดยการเกิด....มาสู่คนต่างด้าวที่เกิดในไทย...แล้วกลายเป็นคนเข้าเมืองผิดกฎหมายโดยข้อสมมติของกฎหมาย
สภาพชีวิตของครอบครัวสายไทยดีขึ้นหลังจากรัฐบาลไทยมีโยบายชัดเจนยอมรับให้สิทธิอาศัยชั่วคราวแก่คนหนีภัยความตายจากประเทศพม่าก่อน พ.ศ. 2519 พวกเขาไม่ต้องหวาดกลัว ต่อการถูกส่งกลับออกไปนอกประเทศไทย
ในอดีต ส่วยอุได้รับโอกาสทางการศึกษาตามสมควร เธอเรียนที่โรงเรียนเชียงใหม่คริสเตียนตั้งแต่ ป.1 - ม.3 หลังจากนั้น ก็ต้องเรียนกศน. จนจบชั้น ม. 6 แต่โรงเรียนไม่ได้ออกวุฒิการศึกษาให้ เพราะโรงเรียนไม่อาจเอาชื่อของส่วยอุเข้าในทะเบียนนักเรียน ส่วนหลักฐานการศึกษาที่ได้รับจากโรงเรียนก็มีแค่ระเบียนการแสดงผลการเรียนการศึกษาซึ่งมีการประทับตราว่า “ไม่มีหลักฐานตามทะเบียนราษฎร์”
สิ่งที่บุคคลในสถานการณ์ดังส่วยอุและสงครามอาจ ไม่รู้หรือเพิ่งรู้ ก็คือ พวกเขาเคยมีสัญชาติไทยโดยการเกิด และในวันนี้ พวกเขาเป็นอดีตคนสัญชาติไทย และมีสถานะเป็นคนต่างด้าวในทะเบียนคนต่างด้าวของประเทศไทย
ส่วยอุและสงครามเคยได้รับสัญชาติไทยโดยการเกิด ทั้งนี้ เพราะปรากฏข้อเท็จจริงตามแบบพิมพ์ประวัติที่จัดทำโดยอำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ว่า “ส่วยอุ เกิดที่เวียงแหงในปี พ.ศ. 2512” และ “สงครามเกิดที่เวียงแหงในปี พ.ศ.2511” กฎหมายไทยว่าด้วยสัญชาติในขณะที่ส่วยอุและสงครามเกิด ก็คือ พ.ร.บ. สัญชาติ พ.ศ. 2508 ซึ่งมีผลในช่วงเวลาที่ส่วยอุและสงครามเกิด บัญญัติว่า “บุคคลจะมีสัญชาติไทย หากเกิดในประเทศไทยโดยไม่ปรากฏว่า บิดาและมารดาเป็นคนต่างด้าวซึ่งผู้ใดผู้หนึ่งมีสถานะเป็นคนต่างด้าวที่มีเอกสิทธิ์และความคุ้มกันตามกฎหมายระหว่างประเทศ เมื่อฟังชัดเจนว่า ส่วยอุเกิดในประเทศไทย และบิดามารดามิใช่ทูต หรือกงสุล หรือเจ้าหน้าที่องค์การระหว่างประเทศ” โดยข้อกฎหมายนี้ จึงฟังต่อไปได้ว่า ส่วยอุและสงครามมีสัญชาติไทยตั้งแต่เกิด มีสถานะเป็นคนสัญชาติไทยโดยการเกิด กล่าวคือ ส่วยอุ และสงครามจึงมีสัญชาติไทยโดยผลของกฎหมายตั้งแต่วินาทีที่เธอเกิด จนถึงวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2515 ซึ่งเธอเสียสัญชาติไทย ทำไมเด็กอายุเพียง 4 หรือ 5 ขวบ จึงถูกทำให้เสียสัญชาติ? เขาและเธอทำผิดอะไรกันหนักหนา?
ในวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2515 รัฐบาลปฏิวัติได้ประกาศกฎหมายออกมา 1 ฉบับ กล่าวคือ ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 337 โดยให้เหตุผลว่า คนที่เกิดในไทยจากบิดามารดาที่เป็นคนต่างด้าวที่มีการเข้าเมืองชั่วคราวเป็นคนที่ไม่จงรักภักดีต่อประเทศไทย กล่าวคือ เป็นภัยต่อรัฐ กฎหมายนี้ส่งผลประการแรกให้คนในลักษณะดังกล่าวที่ได้สัญชาติไปแล้วก่อนการประกาศกฎหมายเสียสัญชาติไทยโดยทันที และผลประการที่สอง ก็คือ คนในลักษณะดังกล่าวที่เกิดภายใต้ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 337 นี้ไม่ได้สัญชาติไทย โดยผลของข้อ 1 แห่งประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 337 ลงวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2515 บุคคลในสถานการณ์ดังส่วยอุและสงครามจึงเสียสัญชาติไทย แต่กฎหมายนี้ไม่ได้กำหนดให้ส่วยอุ และสงครามถูกถือเป็น “คนเข้าเมืองผิดกฎหมาย” กฎหมายนี้ส่งผลให้บุคคลในสถานการณ์ดังส่วยอุและสงครามมีสถานะเป็น “คนต่างด้าวที่เกิดในประเทศไทย” เท่านั้น การถูก “ถือเป็น” คนต่างด้าวที่เข้าเมืองผิดกฎหมายเกิดขึ้นโดยมาตรา 11 แห่ง พ.ร.บ. สัญชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535 ซึ่งมีผลในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535
ดังนั้น สำหรับบุคคลในสถานการณ์ดังส่วยอุและสงคราม จึงมีสถานะเป็นคนต่างด้าวที่เกิดในประเทศไทยในช่วงเวลาระหว่างวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2515 จนถึง วันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 และมีสถานะเป็นคนต่างด้าวที่เข้าเมืองผิดกฎหมายในช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 จนถึงปัจจุบัน แต่ส่วยอุและสงคราม รวมถึงบุคคลในสถานการณ์เดียวกัน โดยหลักกฎหมายไทยว่าด้วยสถานะบุคคลเช่นกัน ก็มีสถานะ “เป็นราษฎรไทย แม้จะเสียสัญชาติไทย” ทั้งนี้ เพราะมาตรา 8 แห่งพ.ร.บ.การทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. 2478 บัญญัติว่า “คนสัญชาติไทยผู้เสียไปซึ่งสัญชาติไทยไม่ว่าด้วยเหตุใด ให้ไปขอใบสำคัญประจำตัวจากนายทะเบียนในท้องที่ที่ตนอยู่ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รู้หรือควรรู้ว่าตนได้เสียไปซึ่งสัญชาติไทย” ซึ่งหมายความว่า เมื่อส่วยอุและสงครามเสียสัญชาติไทย บุคคลทั้งสองจึงมีหน้าที่ไปขอใบสำคัญประจำคนต่างด้าวต่อนายทะเบียนคนต่างด้าว ซึ่งก็ได้แก่ ผู้บังคับกองตำรวจภูธรอำเภอเวียงแหง 3 และแม้หากจะยื่นคำขอเกินไปจาก 30 วัน นับแต่วันที่ได้รู้หรือควรรู้ว่า ตนได้เสียไปซึ่งสัญชาติไทย ส่วยอุและสงครามไม่หมดสิทธิหรือเสียสิทธิที่จะขอใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวหรือไม่ นายทะเบียนท้องที่ยังจะมีหน้าที่ออกใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวให้อีก แต่อาจปรับผู้ขอที่ไม่ยื่นคำขอ ภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด (คำพิพากษาศาลฎีกา 1486/2529 คำพิพากษาศาลฎีกา 5996 - 5999/2534 คำพิพากษาศาลฎีกา 2162/2536 และคำพิพากษาศาลฎีกา 1559-1563/2538) แต่จนถึงวันนี้ ทั้งส่วยอุและสงครามหรือคนในสถานการณ์เดียวกันก็ไม่ได้รับรู้ถึงสิทธิตามกฎหมายฉบับนี้ ความเป็นคนต่างด้าวที่ชอบด้วยกฎหมายบังเกิดแก่พวกเขามาตั้งแต่เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2515
หากพวกเขาทราบถึงสิทธิดังกล่าว หากจะมีส่วนราชการหรือองค์กรพัฒนาเอกชนใดตระหนักในสิทธิที่พวกเขามีอยู่ แม้จะเสียสัญชาติไทย แต่ก็มีสถานะเป็นคนต่างด้าวที่ชอบด้วยกฎหมาย มีสิทธิอาศัยในลักษณะถาวร และมีสิทธิที่จะลงรายการสถานะบุคคลในทะเบียนราษฎรประเภทอยู่ถาวร (ทร.14) แต่...การไม่รู้สิทธิก็มีผลเท่ากับการไม่สิทธิ...
ส่วยอุและสงคราม หรือบุคคลในสถานการณ์เดียวกันที่เกิดในประเทศไทยจากบิดามารดาที่อพยพหนีภัยความตาย เข้ามาที่เวียงแหง เติบโตขึ้นมาอย่างคนที่ไม่ได้รับแจ้งการเกิดในทะเบียนราษฎรของประเทศใดเลยในโลก ไม่มีเอกสารพิสูจน์ทราบตัวบุคคลใดๆ เจริญวัยขึ้นมาท่ามกลางความรู้สึกของคนที่เกิดบนแผ่นดินของคนอื่น ยอมรับในความเป็นคนผิดกฎหมายบนแผ่นดินที่ตนเกิดโดยไม่โต้เถียง ไม่เคยกล่าวโทษใครเลย
แม้จะมีนโยบายให้ได้สิทธิอาศัยและออกเอกสารรับรองสถานะบุคคลของคนในสถานการณ์เดียวกับครอบครัวสายไทยมาตั้งแต่ พ.ศ. 2524 แต่บุคคลดังกล่าวเพิ่งได้รับการจัดทำแบบพิมพ์ประวัติใน พ.ศ. 2538 และออกบัตรประจำตัวให้ใน พ.ศ. 2541 ซึ่งเอกสารดังกล่าวเรียกพวกเขาว่า “ผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่า” ทั้งที่ ประเทศพม่าก็มิได้ยอมรับว่า พวกเขามีสัญชาติพม่าแต่อย่างใด เอกสารที่รัฐบาลไทยออกให้ดังกล่าวก็ไม่ได้ทำให้พวกเขามีสถานะเป็นคนสัญชาติพม่าในสายตาของรัฐบาลพม่า โดยข้อเท็จจริง พวกเขาจึงเป็นคนไร้สัญชาติ
ความเป็นคนต่างด้าวที่เข้าเมืองผิดกฎหมายทำให้พวกเขา ถูกปฏิเสธิสิทธิที่สำคัญที่สุดก็คือสิทธิทางการศึกษา แม้วิทยานิพนธ์ นิติศาสตร์มหาบัณฑิตที่เสนอต่อคณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ เมื่อ พ.ศ. 2545 ของคุณศรุดา(สุวรรณนี) เข็มเจริญ จะยืนยันว่า กฎหมายไทยแต่ดั้งเดิมซึ่งอาจไม่ชัดเจนในเรื่องการรับรองสิทธิในการศึกษาของมนุษย์ที่ไร้รัฐ ก็ไม่ได้ห้ามมิให้สถาบันการศึกษาไทยที่จะรับเด็กและเยาวชนไร้รัฐไร้สัญชาติเข้าศึกษาและให้วุฒิการศึกษา แต่ปรากฏมีความสับสนและทัศนคติอมนุษย์นิยมในหน่วยงาน ฝ่ายความมั่นคงในบางยุคสมัย จนส่งผลให้เกิดทัศนคติของข้าราชการ ในกระทรวงศึกษาธิการที่ปฏิเสธสิทธิทางการศึกษาของเด็กและเยาวชนไร้รัฐไร้สัญชาติ และในวันนี้ แม้ระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการจะชัดเจนมากในเรื่องนี้ แต่คนไร้สัญชาติซึ่งเกิดที่เวียงแหง จำนวนไม่น้อยก็ยังถูกปฏิเสธสิทธิที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นนักเรียน อย่างถูกต้องและได้รับวุฒิการศึกษาเมื่อจบการศึกษา ส่วยอุและสงครามก็ประสบชะตากรรมในลักษณะนี้ ได้รับโอกาสที่จะเรียน แต่เข้าไม่ถึงสิทธิที่จะมีชื่อในทะเบียนนักเรียนและได้รับวุฒิการศึกษาเมื่อจบการศึกษา ในวันนี้ มีความเป็นไปได้ทางกฎหมายที่จะเยียวยาแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิทางการศึกษาให้เขาเหล่านี้ แต่การเยียวยาจะเริ่มขึ้นเมื่อไหร่กัน ?
สัญชาติไทยดูเป็น “ยารักษาโรคไร้สิทธิ” ประการเดียวที่คนไร้สัญชาติแห่งเวียงแหงคิดว่า แก้ปัญหาของพวกเขาได้
คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2543 มีมติยอมรับให้สัญชาติไทยโดยหลักดินแดนแก่คนไร้สัญชาติที่เกิดที่เวียงแหง และให้สถานะคนต่างด้าวที่เข้าเมืองชอบและมีสิทธิอาศัยถาวรในไทยแก่คนรุ่นพ่อแม่ที่อพยพเข้ามา แต่ข่าวดีนี้ก็ไปถึงพวกเขาอย่างล่าช้ามาก และนโยบายนี้ก็คงใช้เวลาอีกนานมากกว่าจะมีผลให้พวกเขาได้สัญชาติไทย ส่วยอุและสงครามไม่อาจจะใช้สิทธิร้องขอตามมติคณะรัฐมนตรีนี้ได้ทันที เพราะทางอำเภอทำทะเบียนประวัติของส่วยอุและชาวบ้านหลายครอบครัวหายไป ส่วยอุเคยเดินทางไปสำนักทะเบียนราษฎร์ที่กทม.เพื่อค้นหาทะเบียนประวัติไมโครฟิล์มด้วยตนเอง แต่หาไม่เจอ โดยเจ้าหน้าที่ของสำนักงาน บริหารการทะเบียนได้ชี้แจงว่า ทางอำเภอเวียงแหงจะต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบทำทะเบียนประวัติให้ใหม่ ส่วยอุเพิ่งได้ทะเบียนประวัติที่ทางอำเภอทำขึ้นใหม่ เมื่อประมาณวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 แต่จนวันนี้ การยื่นคำร้องขอสัญชาติไทยโดยคำสั่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยนี้ก็ยังไม่แล้วเสร็จลงไป เจ้าหน้าที่ยังคงบอกว่าหลักฐานไม่ครบ เช่น ไม่มีหลักฐานการทำคุณประโยชน์และอื่น ๆ
แต่แล้วอีกข่าวดีก็ตามมา คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2547 เห็นชอบแนวทางการกำหนดสถานะแก่บุคคลที่ถูกถอนสัญชาติไทยโดยผลของประกาศคณะปฎิวัติฉบับที่ 337 ลงวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2515 รวมถึงบุตรหลานที่เกิดภายหลังและไม่ได้สัญชาติไทยโดยการเกิดเนื่องจากบิดามารดาถูกถอนสัญชาติตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ นโยบายครั้งนี้กำหนดวิธีการที่ค่อนข้างทันสมัยและมีประสิทธิภาพ โดยประกาศกระทรวงมหาดไทยเมื่อวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2547 ซึ่งกำหนดวิธีการให้สัญชาติไทยตามมติคณะรัฐมนตรีใหม่นี้ กระบวนการยื่นคำร้อง การตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ยื่นคำร้อง การรวบรวมหลักฐานทั้งหมด และการอนุมัติทำ ณ อำเภอ โดยไม่ต้องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมามีคำสั่งอีกครั้งหนึ่ง นโยบายนี้ดูจะมีความชัดเจนที่เสร็จสิ้นโดยเงื่อนไขที่กำหนดชัดเจนในคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2547 และประกาศกระทรวงมหาดไทยเมื่อวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2547 เริ่มต้นร้องขอที่อำเภอเวียงแหง และสิ้นสุดที่อำเภอเวียงแหง โดยพิจารณานโยบายใน พ.ศ. 2547 ดังกล่าว จะเห็นว่า ส่วยอุและสงครามรวมถึงบุตรทั้งสามดูจะมีคุณสมบัติครบตามที่นโยบายกำหนด ในประการแรก ส่วยอุและสงครามมีสถานะเป็น สถานะแก่บุคคลที่ถูกถอนสัญชาติไทยโดยผลของประกาศคณะปฎิวัติฉบับที่ 337 ลงวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2515” ในขณะที่บุตรของส่วยอุและสงคราม ก็ย่อมมีสถานะเป็น “บุตรหลานที่เกิดภายหลังและไม่ได้สัญชาติไทยโดยการเกิด เนื่องจากบิดามารดาถูกถอนสัญชาติ”
ข้อวิเคราะห์ของเราย่อมเป็นข่าวดีของครอบครัวสายไทย พวกเขาดีใจจนหัวใจแทบจะหลุดออกมานอกอก ส่วยอุแวะเวียนไปที่อำเภอแล้วหลายหน หลังจากได้รับทราบมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2547 เพื่อหารือว่าจะใช้สิทธินี้ได้เมื่อไหร่ ? ปลัดอำเภอคนแรกที่ถูกถาม ตอบว่าไม่ทราบเรื่องเลย และวันต่อมาเขาก็ย้ายไป ในวันนี้ ส่วยอุ ก็ยังเดินไปถามอำเภอเวียงแหงอยู่อีกว่า ทราบถึงมติคณะรัฐมนตรี ดังกล่าวแล้วหรือยัง ?
ผึ้ง มานุษยวิทยามหาบัณฑิตผู้เคยเข้าไปฝังตัวในบ้านเปียงหลวง ติดต่อประสานงานตลอดเวลานับแต่วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2547 กับศูนย์นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อขอความเห็นทางกฎหมายเกี่ยวกับความเป็นผู้ทรงสิทธิของ ครอบครัวของส่วยอุและสงคราม
---------------------------------------
ฝันของชุมชนไร้สัญชาติเวียงแหงที่จะมีสถานะบุคคลที่ชอบด้วยกฎหมายไทย : จะเป็นจริงได้อย่างไรกัน ?
---------------------------------------
ผู้เขียนซึ่งเป็นกรรมการของศูนย์นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งดูแลปัญหาของคนไร้รัฐคนไร้สัญชาติในประเทศไทย พิจารณาเห็นว่า สมควรจะให้ความช่วยเหลือแก่ครอบครัวสายไทย ในการใช้สิทธิร้องขอกลับคืนสัญชาติไทยตามนโยบายที่เกิดจากมติเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2547 และประกาศกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2547 เนื่องจากกระบวนการเรียนรู้ของส่วยอุผู้เป็นครูประจำโรงเรียนหลักแต่ง 5 ย่อมหมายถึง กระบวนการ เรียนรู้ของชุมชนเวียงแหงทั้งชุมชนซึ่งเป็นชุมชนไร้สัญชาติ หากส่วยอุสามารถก้าวพ้นความเป็นคนไร้สัญชาติ บุคคลใน สถานการณ์เดียวกันกับส่วยอุก็ย่อมจะก้าวพ้นปัญหานี้ได้เช่นกัน
เราคงจะคิดไม่ออกว่า ส่วยอุและคนเชื้อสายไทยใหญ่อีกประมาณ 100 ครอบครัวที่มาตั้งบ้านเรือนที่เวียงแหงตั้งแต่ก่อน พ.ศ. 2519 ตั้งความหวังอย่างเหลือเกินที่จะมีสถานะบุคคลที่ชอบด้วยกฎหมายไทย โดยเฉพาะอยากมีสัญชาติไทย พวกเขายอมรับ ที่จะทิ้งรัฐฉานไว้เบื้องหลัง ยอมรับว่า สายสัมพันธ์กับรัฐพม่าได้เจือจางลง ในขณะที่สายสัมพันธ์กับรัฐไทยเข้ามาแทนที่
ในวันนี้ ไม่ว่าใครจะเชื่อหรือไม่ว่า ส่วยอุและชุมชนเวียงแหง มิใช่คนสัญชาติพม่า พวกเขาก็มีความกลมกลืนกับสังคมไทยทั้งทางกายภาพและจิตวิญญาน ในวันนี้ เราเข้าใจได้แล้วว่า เพราะเหตุใดส่วยอุและสงครามรวมถึงลูกซึ่งเกิดในประเทศไทยจึงไม่มี สัญชาติไทยและยังไม่มีสัญชาติของประเทศใดเลยในโลก ? และในวันนี้ เราทราบแล้วว่า กฎหมายและนโยบายของรัฐไทยยอมรับ ที่จะให้สถานะบุคคลที่กฎหมายไทยที่เหมาะสมแก่ครอบครัวสายไทย และคนเชื้อสายไทยใหญ่ที่เวียงแหง ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลที่เราจะไม่ผลักดันฝันของชุมชนไร้สัญชาติเวียงแหงให้เป็นจริง หากเรา จะมีจิตใจที่เป็นมนุษย์นิยมและกฎหมายนิยม
เราน่าจะประกาศได้ ณ ที่นี้ว่า ก้าวแรกของการแก้ปัญหาของเวียงแหงน่าจะเกิดจากความร่วมมือระหว่างคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยพายัพ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร และสาขานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่จะเริ่มต้นในเดือนเมษายน พ.ศ. 2549 ในการให้คำปรึกษาทางกฎหมายและนโยบายแก่เหล่าคนไร้รัฐ ไร้สัญชาติแห่งเวียงแหง
และเราหวังว่า อำเภอเวียงแหง และจังหวัดเชียงใหม่ น่าจะเข้าร่วมมือและร่วมใจกับเรา