สงครามปล้นใจ(สตรี)

ประสบการณ์จริงจากจายมาวคำ เรียบเรียงโดย โดยหนุ่ม แสงสี

หลายสิบปีที่ผ่านมา ชนชาติเผ่าพันธุ์กลุ่มต่าง ๆ ในพม่าต่อต้านทหารพม่าผู้เผด็จการที่มีมายาวนาน สงครามยังคงดำเนินต่อไปจนถึงปัจจุบัน ประชาชนคนในชาติทนทุกข์ทรมาน ถูกกดขี่ข่มเหง ทารุณกรรม ข่มขืน ใช้แรงงานฟรี เป็นปัญหาที่รุนแรงต่อสตรี เด็กและคนชรา โดยเฉพาะในรัฐฉานที่มีมาช้านาน ปัจจุบันการสู้รบยิ่งรุนแรงขึ้น ปัญหาที่ตามมาก็คือการหนีตายของทุกชนเผ่าที่หลั่งไหลเข้ามายังประเทศไทย อยู่ตามแนวชายแดน ตามหัวเมืองต่าง ๆ เพื่อขายแรงหาเลี้ยงชีพและครอบครัวต่อไป

ผมคนหนึ่งที่เป็นชาวไทยใหญ่ เกิดที่รัฐฉานตอนกลางอยู่ในชนบท ฐานะค่อนข้างยากจน ไม่ค่อยมีความรู้ ไม่ค่อยได้เรียนหนังสือ พอเติบโตขึ้นก็ต้องพบกับสงครามหนีตายลี้ภัย เดินทางมายังประเทศไทยเมื่อวันที่ 2 ม.ค. 44 เข้ามาทำงานที่เชียงใหม่ ทำงานก่อสร้างเป็นกรรมกร ช่วงเวลาทำงานก็ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ เพราะไม่มีบัตรทำงาน ไม่มีใบอนุญาตให้เข้าเมืองโดยถูกกฎหมาย ผมทำงานได้ปีกว่า บางครั้งก็ไม่ได้ค่าแรง ต่อมาเมื่อวันที่ 4 ม.ค. 45 ผมถูกจับข้อหาเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายและไม่มีใบอนุญาตทำงาน ผมอยู่ที่เรือนจำเชียงใหม่ 1 เดือน ต่อมาวันที่ 5 ก.พ. 45 ก็มีเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองมารับตัวไปปล่อยที่ชายแดนไทย-พม่าทางด้านอำเภอเชียงดาว เขตติดต่อระหว่างบ้านหนองอุก ระเทศไทยและบ้านหลักแต่ง-โป่งป่าแขม ประเทศพม่า (ด่านกิ่วผาวอก B.1) มีเพื่อน ๆ ที่ถูกจับไปด้วยกัน 28 ชีวิต


พอถึงด่าน เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองก็เปิดกุญแจให้เดินข้ามด่านเข้ามาประเทศพม่าทีละ 5 คน จากนั้นก็มีทหารพม่ามาล้อมพวกผมไว้ 6-7 คน เข้าแถวจดชื่อและที่อยู่ หลังจากเสร็จแล้วทหารพม่าบอกว่า ถ้าใครอยากจะกลับเข้าไปประเทศไทยอีกต้องเสียเงินให้ทหารพม่าคนละ 700 บาท ถ้าจะกลับบ้านก็ต้องเสียเงินคนละ 200 บาท พวกผมก็บอกว่าไม่มีเงิน ตอนนั้นก็มืดแล้วทหารพม่าก็เอาพวกผมไปขังไว้ในโกดังเก็บของของชาวบ้านที่เปิดร้านขายของที่นั่น จากนั้นก็ให้พวกผมเอากระเป๋าและเสื้อผ้า ออกมากองรวมกันไว้แล้วค้นตัวพวกเราทีละคน บางคนมีเงินติดตัวอยู่ 4-5 พันบาท สิ่งของมีค่า ตุ้มหู นาฬิกา แหวนทอง สร้อยคอ พวกทหารปล้นเอาไปซึ่ง ๆ หน้า รวมเงินและของมีค่าไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นบาท

หลังจากที่พวกทหารพม่าได้เงินและของมีค่าไปแล้ว พวกมันก็เดินเข้าค่ายไป คืนนั้นพวกผมไม่ได้กินข้าว กินแต่มาม่าที่ติดตัวมา ทหารพม่าบอกพวกผมว่า พรุ่งนี้ใครอยากไปไหนก็ไปได้เลย พวกทหารออกไปโดยไม่ได้ปิดประตู พวกเราก็แยกย้ายกันเป็นกลุ่ม ๆ ไปขอนอนตามห้องว่างแม่ค้าขายของที่ประจำอยู่ที่นั่น มีอีกกลุ่มหนึ่งประมาณ 10 กว่าคนได้แอบหนีเข้ามาในประเทศไทยเพื่อที่จะมาตามหาญาติที่บ้านหนองอุกแต่ถูกทหารไทยล้อมจับเสียก่อน ส่วนพวกผมตกลงกันว่าจะนอนที่นั่นหนึ่งคืน วันรุ่งขึ้นก็ค่อยหาทางกันใหม่

ขณะที่พวกผมกำลังจะนอน อยู่ๆ ก็มีทหารพม่า 4 คนเข้ามาในห้อง เป็นทหารขี้ยามาค้นเอาเสื้อผ้าที่ดี ๆ กระเป๋า กางเกงยีน พวกมันหากินแบบนี้เป็นประจำ พูดยังไงพวกมันก็ไม่ฟัง ขู่ว่าจะเอาติดคุกอย่างนั้นอย่างนี้ พวกผมก็ทำอะไรพวกมันไม่ได้ พอได้ของที่ชอบถูกอกถูกใจแล้วพวกมันก็กลับไป พวกผมจะไปไหนก็ไม่ได้ ถ้าจะกลับไปที่บ้านโป่งป่าแขมก็มีด่านว้าแดงอีก ถ้าพวกทหารว้าแดงรู้ว่าพี่น้องชาวไทยใหญ่ถูกจับไปส่งที่นั่น พวกเขาก็จะมาเอาคนไปทำงานให้พวกเขาฟรี ๆ 1 เดือน

และแล้วคืนที่โหดร้ายก็ผ่านพ้นไป พอถึงรุ่งเช้า ต่างคนก็ต่างไป เหลือพวกผม 4 คน จึงปรึกษากันว่าจะเอายังไงดี ผมยื่นข้อเสนอกับเพื่อน ๆ ที่ร่วมชะตาชีวิตด้วยกันว่า เราไปขอเป็นทหารไทยใหญ่ ไปรับใช้ชาติดีไหม เพื่อนผมชื่อจายโส่ยบอกว่า เขาจะไปเป็นทหารตอนนี้ไม่ได้เพราะต้องดูแลแม่ เลี้ยงแม่ เพราะแม่ก็อายุมากแล้วไม่มีใครดูแล จายโส่ยบอกว่าบ้านของเขาอยู่นาหวาย เขารู้ทางที่จะกลับบ้านดี และยังอาสานำทางพวกผมกลับเข้ามาในประเทศไทยอีกครั้ง พวกผมก็ตกลงตามข้อเสนอของจายโส่ย
ตอนนั้นเป็นเวลา 6.00 น. ของวันที่ 6 ก.พ. 45 ผมและเพื่อน ๆ ออกจากห้องมา ได้ยินเสียงเด็กร้องไห้และเสียงคนคุยกันในห้องอีกห้องหนึ่งซึ่งไม่ไกลจากห้องของพวกผมมากนัก พวกผมเข้าไปดู เห็นแม่เฒ่าอายุประมาณ 50 กว่า 5 คน หนึ่งในนั้นตาบอด และมีสามีภรรยาคู่หนึ่งเพิ่งคลอดลูกได้ 3 วัน และเด็กหญิงอายุประมาณ 5 - 6 ขวบ 4 คน พวกผมจึงถามว่าจะไปไหน เขาก็บอกว่าจะเข้ามาประเทศไทยเหมือนกัน เขาบอกว่ามีลูกหลานอยู่ที่อำเภอฝาง จะไปอยู่กับลูกที่นั่นโดยมีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อนางเอ อายุประมาณ 40 กว่าที่ไปพาญาติ ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ มาจากบ้านโขหลำ รัฐฉานทางภาคกลาง ที่นั่นถูกทหารพม่าปล้นฆ่า ไม่ให้อยู่จำเป็นต้องหนี มีวัวมีควายก็เอามาไม่ได้ ถูกทหารพม่ายิงทิ้ง ฆ่าเอาเนื้อมาเป็นอาหาร บั้นปลายชีวิตก็หวังพึ่งลูกๆ หลาน ๆ จึงเดินทางไกลมาหาลูกที่เมืองไทย

พวกผมกำลังคุยกันไม่นานนักก็มีทหารพม่าขี้ยาสองคน เข้ามาในห้อง บอกว่าจะขออาสานำทางไปส่งที่บ้านหนองอุกและขอค่านำส่ง 3 พันบาท แม่เฒ่าก็บอกว่าไม่มีเงินไทย มีป้าคนหนึ่งเอาแหวนทองหนัก 3 บาทที่เก็บไว้อย่างดี ออกมาให้ทหารพม่า ทหารพม่าบอกให้เก็บข้าวของเพราะจะออกเดินทางแล้ว พวกผมสี่คนก็เลยขอตามไปด้วย ทหารพม่านำทางอยู่ข้างหน้า 1 คน ข้างหลัง 1 คน ผมก็จูงแขนยายที่ตาบอด และเพื่อนผมอีกสามคนก็ช่วยยกข้าวของเดินเข้าป่าเพื่ออ้อมด่าน
ทหารไทย

พอเข้าเขตประเทศไทยมาประมาณ 1 กิโลเมตรกว่า ๆ อยู่ ๆ ทหารพม่าสองคนนั้นก็บอกให้เราหยุด บอกพวกเราว่าด้านหน้ามีด่านทหารไทย แท้ที่จริงแล้วไม่มีเลย เพียงแต่ว่าเส้นทางที่ทหารพม่าพาพวกเรามานั้นไม่ใช่ถนนหรือทางคนเดิน เป็นป่าที่รกมาก อยู่ๆ ทหารพม่าสองคนก็เข้ามาหาพวกเรา ขู่ว่าจะปล่อยพวกเราไว้ที่นั่น และยังพูดอีกว่า ถ้าขืนเดินต่อไปต้องถูกจับแน่นอน พวกเขาไม่ยอมไปส่งและได้เรียกนางเอไปคุย บอกว่าขอเงินค่านำส่งอีก 3 พันบาท ถ้าได้ก็จะไปส่ง ถ้าไม่ได้ก็จะไม่ไปส่ง เราก็บอกว่า พวกเราไม่มีเงินแล้วจริง ๆ คงจะเป็นแผนการของพวกเขาสองคน พวกเราพักอยู่ในป่าก็นานพอสมควรแต่เขาก็ไม่ยอมไปส่งเสียที หิวข้าวก็หิว พี่นางเอก็ไปคุยกับทหารพม่าสองคนนั้นอีกว่า นางเอมีญาติอยู่ในหมู่บ้านหนอกอุก ให้พาพวกเราไปถึงที่นั่นแล้วจะไปเอาเงินมาให้ แต่ทหารพม่าสองคนนั้นไม่เชื่อ จึงบอกให้นางเอไปกับทหารพม่าสองคนนั้นเพื่อไปเอาเงิน พวกเราขอไปด้วยแต่ทหารพม่าไม่ยอม บอกว่าถ้าไปกันเยอะเดี๋ยวทหารไทยจะเห็น ให้พวกเรารออยู่ที่นั่น นางเอก็บอกว่าจะไปขอข้าวขอน้ำมาให้พวกเรากิน บอกแม่เฒ่าว่าไม่ต้องเป็นห่วง จากนั้นนางเอและทหารพม่าสอง คนนั้นก็เดินหายไป

พวกผมสี่คนก็หิวข้าว เด็ก ๆ ก็หิวข้าว ต่างคนต่างหิวข้าว พวกผมสี่คนก็เดินไปหาผลไม้ที่กินได้ พอเดินไปไม่ไกลเท่าไหร่ก็ไปเจอไร่ร้าง ผมเห็นต้นมะละกอและกล้วย สุกบ้างไม่สุกบ้างก็มีเอามาให้ยายและเด็ก ๆ กินกัน นางเอไปได้ประมาณ  1 ชั่วโมงกว่าแล้วก็ยังไม่มา พวกเราก็รอและเป็นห่วงนางเอมาก 2 ชั่วโมงต่อมา ผมได้เห็นนางเอวิ่งกลับมา สภาพกระเซอะกระเซิง และเหมือนวิ่งหนีอะไรมา พวกเราถามว่าทหารพม่า 2 คนนั้นไปไหน หนีทหารไทยมาเหรอ นางเอตอบว่าไม่ใช่ นางเอเล่าให้พวกเราฟังไปและร้องไห้ไป ทหารพม่าสองคนนั้นจับนางเอมัดไว้ แล้วก็ข่มขืนระหว่างทางที่จะไปเอาเงิน แต่ไปไม่ถึงบ้านหนองอุกก็ถูกทหารพม่าข่มขืนทารุณกรรม แล้วก็หนีเข้าป่าไป สิ่งนี้แหละที่ผมไม่เคยลืม สงสารยายและเด็ก พวกเขาไม่เคยเข้ามาในประเทศไทย มีแต่นางเอเท่านั้นที่พอจะรู้เส้นทางเข้าออก พวกเขาฝากความหวังไว้ที่นางเอคนเดียวเท่านั้น แต่ทหารพม่าสอง คนนั้นกลับทำกับนางเออย่างไร้มนุษยธรรม ไร้ซึ่งความรับผิดชอบ ผิดกับมนุษย์คนอื่นในโลกนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นยังคงฝังใจผมอยู่จนถึงทุกวันนี้ ต่อมาพวกเราก็เดินไปจนถึงบ้านหนองอุก จากนั้น ก็ได้แยกย้ายกันไปคนละทาง พวกนางเอ ก็จะไปต่อที่อำเภอฝางเพราะว่าบ้านของพี่น้องนางเออยู่ที่นั่น พวกผมสี่คนก็เดินเท้าไปจนถึงนาหวาย

สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอุทาหรณ์สอนให้ผู้หญิงทุก ๆ ท่านที่เดินทาง ข้ามพรมแดนไทย-พม่า สุภาษิตเขาว่าไว้ว่า "อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน" สิ่งที่นางเอสูญเสียไปนั้นไม่ใช่เงินทองหรือสิ่งของเครื่องประดับที่ใคร ๆ เขามีกัน แต่เป็นจิตใจที่เขาสูญสิ้นไปกับการกระทำของทหารพม่าสองคนนั้น มันไม่สามารถเอากลับคืนมาได้ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะไปพูดกับใครดี จะไปแจ้งความที่ใด เขาสับสนใปหมด เขาจะบอกกับครอบครัวเขายังไง เขากล้าที่จะเผชิญความจริงไหม ผมเจ็บปวดและแค้นใจแทนเขามาก แม้ว่า เวลาผ่านมานานก็ตาม การกระทำครั้งนั้นมันไม่เคยผ่านใจผมไปเลย พฤติกรรมมันบ่งบอกถึงความไร้ซึ่งมนุษย์ธรรม ทำได้แม้แต่คนไร้ทางสู้ สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นบทเรียนที่จะต้องจำ ไม่ต้องเชื่อใครง่าย ๆ แบบนั้นอีก เหตุการณ์ในครั้งนั้นผมอยากให้พี่ๆ น้องๆ เพื่อนๆ ได้รู้ได้ทราบ ต่อไปมันจะได้ไม่เกิดขึ้นกับท่านอีก มันจะเป็นประโยชน์ต่อพี่ ๆ น้อง ๆ ชาวไทใหญ่ทุกคน และ พี่ น้องชนชาติเผ่าพันธุ์อื่นๆ ด้วย

สุดท้ายนี้ ผมต้องขอโทษนางเอและครอบครัวที่นำเรื่องมาเล่าสู่กันฟัง แต่ถ้าความจริงไม่ปรากฏ มันก็จะฝังใจจนสิ้นชีวาไปโดยที่ใครไม่ได้รับรู้ความจริงตรงนั้น พอนำมาเปิดเผย ผมเชื่อว่า ประสบการณ์ในครั้งนั้นมีค่าต่อเพื่อนๆ มนุษย์ทั้งหลาย ต่อไปลูกๆ หลานๆ ก็จะไม่ได้พบเจอเหตุการณ์เช่นนี้อีก สิ่งที่เกิดขึ้นไม่มีใครทราบมาก่อน แต่ถ้ามันเกิดกับตัวเรา ก็มีเพียงตัวเราเท่านั้นที่รู้ ถ้าท่านไม่พูดไม่บอกก็ไม่มีใครรู้ และวันหนึ่งสิ่งที่ท่านเป็นหรือพบเห็น ก็อาจจะเกิดกับคนอื่นอีกไม่จบไม่สิ้นเสียที เพราะฉะนั้น การเปิดเผยให้ผู้อื่นได้รู้นั้นย่อมเป็นสิ่งที่มีค่าประเมินไม่ได้