ถอยหลังเข้าป่า เมืองหลวงใหม่ปีนมะนา บทสะท้อนหวาดวิตกของนายพล


ทหารพม่ารุ่นเยาว์นายหนึ่งพร้อมกับพรรคพวกในกองทัพได้รับการบอกกล่าวขณะที่เดินทางจากรัฐชนกลุ่มน้อยทางตอนเหนือกลับไปยังกรุงย่างกุ้งว่า “เรากำลังจะส่งพวกคุณไปแนวหน้า” เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ปี ที่ผ่านมา แต่ดูเหมือนเรื่องที่เคยนำมาเล่าสู่กันอย่างขบขันในวันนั้นกำลังเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงในวันนี้

สิ่งนี้กำลังจะบอกเราว่าจริงๆ แล้วผู้นำทหารบางคนมอง สถานะกรุงย่างกุ้งไว้เช่นไร เหตุผลคงไม่ใช่เพราะย่างกุ้งกำลังจะ ถูกโจมตีจากกองกำลังติดอาวุธฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลหรือผู้ก่อการร้ายแต่อย่างใด หากแต่เป็นลางร้ายจากผู้ที่อาศัยอยู่ในกรุงย่างกุ้งต่างหากที่กำลังทำให้รัฐบาลทหารพม่าหวาดระแวงอยู่ในขณะนี้


อันที่จริงแล้ว กรุงย่างกุ้งเต็มไปด้วยความกดดันและการเผชิญหน้าทางการเมืองดังที่เห็นในประวัติศาสตร์ของการเดินขบวนประท้วงของนักศึกษาและการปฏิวัติ ย่างกุ้งเป็นเมืองของนักกิจกรรม ผู้นำนักศึกษา นักการเมือง พรรคฝ่ายค้าน นักการทูต องค์กรต่าง ๆ ของสหประชาชาติและองค์กรพัฒนาเอกชนของต่างชาติหลายแห่ง ในมุมมองของรัฐบาลเผด็จการพม่า ย่างกุ้งก็เปรียบเสมือนศูนย์กลางของ “บ่อนทำลายภายใน” อย่างไม่เป็นทางการนั่นเอง

ที่แน่นอน ย่างกุ้งไม่ใช่สถานที่ที่จะอยู่อย่างสบายใจได้สำหรับบรรดานายพลที่ไม่ฝืนใจสละอำนาจและต้องการยืดเวลาครองบัลลังค์แห่งอำนาจต่อไปให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยเหตุนี้

ในช่วงเวลาที่ผ่านมา บรรดานายพลจึงวางแผนเคลื่อนย้ายฐานที่มั่นจากกรุงย่างกุ้งเพื่อไปจัดตั้งศูนย์กลางการบริหารแห่งใหม่ทางตอนกลางของประเทศพม่าการโยกย้ายดังกล่าวเริ่มขึ้นเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา มีการย้ายกระทรวงหลายแห่งและเจ้าหน้าที่รัฐจำนวนหนึ่งไปยังเมืองปีนมะนา ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงย่างกุ้งเป็นระยะทาง 400 กิโลเมตร นี่คือขั้นตอนสุดท้ายของแผนการยิ่งใหญ่ในการรับมือกับฝ่ายตรงข้ามภายในประเทศและเป็นการผนึกกำลังอำนาจเหล็กของรัฐบาลเผด็จการ

แผนการดังกล่าวเริ่มเป็นรูปเป็นร่างมาตั้งแต่หลายปีมาแล้ว เมื่อเริ่มดำเนินโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ในเมืองปีนมะนา อาทิ รันเวย์ โรงพยาบาล โรงแรมระดับห้าดาว บ้านพักของทหาร ป้อมปราการใต้ดินและสำนักงานต่าง ๆ ซึ่งนิตยสาร Irrawaddy ได้เคยนำเสนอข่าวโครงการดังกล่าวในช่วงเริ่มต้น แต่โครงการดังกล่าวยังคงถูกปิดเป็นความลับสุดยอด

บรรดานักการทูต บรรดาองค์กรต่าง ๆ ของสหประชาชาติ และผู้สังเกตการณ์ในกรุงย่างกุ้งต่างก็ตกตะลึงที่เห็นขบวนรถบรรทุกของกองทัพนับร้อยคันขนย้ายเจ้าหน้าที่ ประชาชน และอุปกรณ์สำนักงานออกจากกรุงย่างกุ้ง มุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ ในส่วนของประเทศเพื่อนบ้าน กลุ่มนักการทูตย่างกุ้ง และเจ้าหน้าที่ขององค์การสหประชาชาติต่างก็สงสัยว่า ต่อไปจะติดต่อกับทางการพม่าอย่างไร ซึ่งก็ได้รับคำตอบจากทางทหารพม่ากลับมาว่า “ไม่ต้องเป็นห่วง คุณสามารถติดต่อเราได้ทางแฟกซ์”

ในช่วงแรกต่างคาดกันว่า บรรดานายพลได้ตัดสินใจย้ายเมืองหลวงเพื่อป้องกันการรุกรานจากต่างชาติ ซึ่งสถานที่ดังกล่าวเคยเป็นสถานที่ที่นายพลอองซาน วีรบุรุษผู้กอบกู้อิสรภาพให้แก่ประเทศพม่าได้เลือกให้เป็นศูนย์บัญชาการในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เพื่อป้องกันการรุกรานจากญี่ปุ่นและอังกฤษ

อันที่จริงแล้ว ที่ตั้งของเมืองปีนมะนาซึ่งอยู่ห่างไกลและล้อมรอบไปด้วยป่าไม้หนาทึบและภูเขาสลับซับซ้อน อีกทั้งยังห่างไกลจากฝั่งทะเลอยู่มาก ซึ่งนับเป็นสมรภูมิที่เหมาะสำหรับป้องกันและจู่โจมผู้บุกรุกได้เป็นอย่างดี

ผู้สังเกตการณ์ ชาวตะวันตกและนักการทูตในย่างกุ้งได้สันนิษฐานถึงสาเหตุความหวาดระแวงของบรรดานายพลว่า น่าจะ มาจากสหรัฐอเมริกามากที่สุด แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความเป็นไปได้ในการจู่โจมจากอเมริกาก็ไม่น่าจะมีน้ำหนักพอที่จะทำให้เกิดแผนการย้ายเมืองหลวงได้ เพราะสหรัฐอเมริกาเองก็กำลังยุ่งอยู่กับประเทศตะวันออกกลางและอัฟกานิสถานมากพออยู่แล้วไม่จำเป็นต้องมาสนใจประเทศเล็ก ๆ อย่างพม่า

พลตรีจ่อซอว์ซึ่งเกษียณอายุแล้ว สหายคนหนึ่งที่ทำงานร่วมกับนายพลอองซานตั้งข้อสังเกตว่า ดีกรีความวิตกกังวลของรัฐบาลทหารพม่าเรื่องการจู่โจมทางทะเลโดยสหรัฐอเมริกานั้นน้อยกว่าความหวาดระแวงคนในประเทศตนเองที่แทบจะหมดความทนกับรัฐบาลอยู่หลายเท่า ซึ่งความเป็นไปได้ที่ประชาชนจะลุกฮือขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลเหมือนในอดีต ยังคงเป็นสิ่งที่หลอกหลอนบรรดานายพลอยู่ในตอนนี้ ซึ่งถ้าหากประชาชนก่อการชุมนุมตามถนนหนทางในกรุงย่างกุ้ง ขณะที่ส่งกำลังเข้าสลายการชุมนุม รัฐบาลทหารก็จะยังสามารถบริหารงานได้ในเมืองปีนมะนา การคาดการณ์ดังกล่าวของอดีตนายพลท่านนี้ก็มีความเป็นไปได้

หากย้อนไปเมื่อช่วงที่เกิดเหตุการณ์นักศึกษาชุมนุมประท้วงรัฐบาลทั่วประเทศเมื่อปี 1988 ในขณะนั้น รัฐบาลไม่สามารถบริหารงานใด ๆ ได้ และเกือบจะล้มครืนลง ขณะที่ฝูงชนนับล้านรวมตัวกันอยู่ตามถนนหนทาง บรรดาครอบครัวของบรรดานายพลต่างก็ต้องหลบอยู่ในที่ซ่อนตัวหรือบ้านพักที่มีการรักษาความปลอดภัยหนาแน่น

ในเดือนกันยายนปี 1988 ฝูงชนจำนวนมหาศาลเดินขบวนใกล้กับสำนักงานสงครามประจำกรุงย่างกุ้ง หลังจากนั้นไม่นาน กองทัพก็ทำรัฐประหารและยึดอำนาจขึ้นปกครองประเทศ

หลายเดือนต่อมา ประชาชนหลายแสนคนถูกโยกย้ายออกไปตั้งถิ่นฐานใหม่ตามแถบนอกเมือง รัฐบาลทหารได้เร่งสร้างสะพานขึ้นมาหลายแห่งในกรุงย่างกุ้ง คล้ายกับว่าจะเป็นแผนการที่จะทำให้กองทัพสลายฝูงชนที่ชุมนุมกันประท้วงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นี่คือสิ่งที่รัฐบาลได้บทเรียนจากการถูกปิดล้อมด้วยฝูงชนที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
กรุงย่างกุ้งแห่งนี้ ไม่ใช่สถานที่ที่ปลอดภัยสำหรับบรรดานายพลผู้กำลังหวาดระแวงมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ในปี ค.ศ. 1989 เมื่อนางอองซานซูจี ผู้นำพรรคฝ่ายค้าน ระดมฝูงชนมารวมตัวกันบนถนนอีกครั้ง รัฐบาลได้ประกาศให้เป็นเขตสงครามและสั่งการณ์ให้เจ้าหน้าที่ในกองทัพและทหารจัดการสลายการประท้วงดังกล่าว

หากพิจารณาถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น โครงการย้ายเมืองหลวงสู่เมืองปีนมะนาเป็นส่วนสำคัญของการวางอนาคตของบรรดานายพลทั้งหลาย เนื่องจากการประชุมร่างรัฐธรรมนูญของประเทศจะมีขึ้นในปีที่จะถึง(ปี2006) บรรดานายพลจึงต้องวางแผนการ “แบ่งอำนาจ” กันในกองทัพ โดยภายใต้แผนการดังกล่าว กลุ่มผู้นำของกองทัพคาดว่าจะยังคงตรึงอำนาจของกองทัพให้คงอยู่ต่อไป ขณะที่นายพลทั่วไปจะโยกย้ายไปเป็นผู้นำในรัฐบาลพลเรือนใหม่ และไม่ว่าผลการประชุมแห่งชาติจะออกมาในรูปแบบไหน ก็เป็นที่แน่ชัดว่ารัฐบาลทหารพม่าจะยังคงอำนาจกำลังทหารอยู่เพื่อรักษาอำนาจทางการเมืองของรัฐบาลเผด็จการต่อไป

นอกจากนี้ ศูนย์บัญชาการใหญ่ได้ย้ายจากกรุงย่างกุ้งเข้าสู่ตอนกลางของประเทศพม่า ซึ่งง่ายต่อการเข้าถึงพื้นที่รัฐฉาน รัฐคะยา รัฐชินและรัฐกะเหรี่ยง ยิ่งจะทำให้รัฐบาลทหารพม่ามีอำนาจมากขึ้นในการควบคุมรัฐชนกลุ่มน้อยที่อาจก่อปัญหาให้รัฐบาลได้ นายพลจะสามารถติดต่อกับกองกำลังแนวหน้าได้มากขึ้นและใช้อำนาจกำจัดกลุ่มหยุดยิงต่าง ๆ ได้

ข้อตกลงในการหยุดยิงกับชนกลุ่มน้อยกลุ่มต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่อยู่ในสถานะที่เปราะบาง นายพลในกองทัพอาจคิดว่าที่ตั้งของศูนย์บัญชากรรบในเมืองปีนมะนาเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สามารถดำเนินการใด ๆ ได้ดีว่าในกรุงย่างกุ้ง อย่างไรก็ตาม ผู้นำกองทัพก็ใช่ว่าจะทิ้งกรุงย่างกุ้งไปเลยซะทีเดียว ผู้สังเกตการณ์คาดว่า ย่างกุ้งและมัณฑะเลย์จะยังคงเป็นเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจอยู่ต่อไป

การย้ายเมืองหลวงไปยังเมืองปีนมะนา นอกจากจะมองในเรื่องแผนการยุทธวิธีของกองทัพแล้ว ปัจจัยที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือปัจจัยเรื่องโหราศาสตร์ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเป็นอย่างมาก เป็นที่รู้กันดีว่า บรรดานายพลพม่าเชื่อเรื่องไสยศาสตร์กันมากโดยเฉพาะพลเอกอาวุโสตานฉ่วย ผู้นำสูงสุดของประเทศ จะต้องปรึกษาหารือขอคำแนะนำจากหมอดูอยู่ตลอดเวลา และก่อนหน้านี้ เคยมีรายงานข่าวจากหลายแห่งว่า หมอดูได้ทำนายทายทักว่ากรุงย่างกุ้งจะประสบกับชะตาขาดและต้องพบกับการนองเลือด ด้วยเหตุนี้พลเอกตานฉ่วยจึงต้องตัดสินใจ ย้ายขุมอำนาจไปยังเมืองปีนมะนา

เหล่าบรรดาประชาชนในกรุงย่างกุ้งต่างรู้สึกขบขันกับการตัดสินใจดังกล่าว และพากันนึกไปถึงสุภาษิตของพม่าบทหนึ่งที่ว่า "เสือจะเปลี่ยนที่อยู่ก็ต่อเมื่อมันกำลังจะตายเท่านั้น"




ใครคือผู้สนับสนุนงบประมาณโครงการ ?*

งบประมาณของโครงการย้ายเมืองหลวงไปยังปีนมะนา ซึ่งเป็นโครงการใหญ่และใช้เงินจำนวนมากยังคงถูกปิดเป็นความลับอยู่ในขณะนี้ ซึ่งก็เป็นเช่นเดียวกับแง่มุมอื่น ๆ ของโครงการดังกล่าว บริษัทต่าง ๆ ที่มีความสัมพันธ์กับรัฐบาลพม่า อาทิ เอเชียเวิลด์ ทูเทรดดิ้ง เอเดนกรุ๊ป และเอยาฉ่วยวะ ต่างพลอยได้รับผลประโยชน์จำนวนมากจากการย้ายเมืองหลวงครั้งนี้

บริษัทเอเชียเวิลด์ ซึ่งมีนายโลซิงฮัน อดีตราชายาเสพติด ก็เชื่อกันว่าจะได้รับผลประโยชน์มากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์จากโครงการ อีกทั้งยังมีสัญญาก่อสร้างบ้านพักของเจ้าหน้าที่ระดับสูงอีกด้วย ส่วนบริษัทเอเดนกรุ๊ปก็มีส่วนในการก่อสร้างบ้านพักทหารชั้นผู้น้อย

นักธุรกิจที่เคยเข้าไปในสถานที่ก่อสร้างกล่าวว่า วิศวกรของกองทัพก็ถูกเกณฑ์ไปช่วยสร้างที่พักและสำนักงานของกองทัพด้วยเช่นกัน

แหล่งข่าวที่เป็นนักธุรกิจในย่างกุ้งกล่าวว่า บริษัททูเทรดดิ้ง ได้เซ็นสัญญากับรัฐบาลทหารเป็นมูลค่ากว่า 12 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแม้ว่าทางบริษัทดังกล่าวจะไม่มีทางได้เห็นเงินจำนวนดังกล่าวจริง แต่รัฐบาลก็มีวิธีจ่ายค่าตอบแทนเป็นการสัมปทานหรือสัญญาฉบับใหม่แทน เมื่อโครงการต่าง ๆ ได้เริ่มมาหลายปีแล้ว บริษัทต่าง ๆเหล่านั้นก็ได้รับการยืนยันว่าจะได้รับค่าตอบแทน แต่นักธุรกิจหลายคนกล่าวว่าพวกเขากำลังรอค่าตอบแทนจากรัฐบาลอยู่

บริษัททูเทรดดิ้งบริหารงานโดยนายเต่ซะ นักธุรกิจรุ่นใหม่ซึ่งเชื่อว่ามีความสัมพันธ์กับนายพลที่มีอำนาจ ซึ่งรวมถึงพลเอกอาวุโสตานฉ่วยด้วย

ส่วนบริษัทเอยาฉ่วยวะ ก่อตั้งขึ้นโดยนายอ่องเท็ตมาน บุตรชายของนายฉ่วยมาน รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม บรรดานักธุรกิจคู่แข่งของนายอ่องเท็ตมานได้กล่าวหาว่าเขาชนะการประมูลการก่อสร้างในโครงการย้ายเมืองหลวงไปยังปีนมะนาเนื่องจากเขาสามารถจัดหาปูนซีเมนต์ได้ในราคาถูกจากรัฐบาล ทำให้เขาเป็นผู้ประมูลที่มีราคาต่ำสุด

กลุ่มต่อต้านรัฐบาล นอกประเทศพม่าต่างคาดการณ์ว่า จีนและรัสเซียจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการติดตั้งอาวุธยุทโธปกรณ์และศูนย์ข้อมูล แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานที่สนับสนุนข้อสงสัยดังกล่าว แต่ก็เป็นที่ทราบกันดีว่า ทางประเทศจีนได้เข้ามาช่วยเหลือในการสร้างโรงไฟฟ้าใกล้กับเมืองปีนมะนาแล้ว

เขื่อนปองลอง ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดตั้งอยู่ใกล้กับเมืองปีนมะนา ได้เริ่มก่อสร้างเมื่อปี ค.ศ. 1997 โดยได้รับการช่วยเหลือจากจีน รัฐบาลทหารพม่าหวังว่า โรงไฟฟ้าใต้ดินขนาดใหญ่จะสามารถป้อนกระแสไฟรองรับเมืองศูนย์กลางการบริหารใหม่และสาธารณูปโภคของกองทัพได้อย่างเพียงพอ

*แปลจากบทความเรื่อง Retreat to the Jungle และ Who’s Financing the Project? โดย Aung Zaw นิตยสาร Irrawaddy ฉบับประจำเดือนธันวาคม 2548