สิทธิในการก่อตั้งครอบครัวของคนชายขอบถือบัตรสีส้ม กรณีของนางสาวหันลานแห่งสังขละบุรี

โดย รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร


บทนำ

ปัญหาแรกที่อยากจะยกขึ้นมาเล่าให้ทราบในคอลัมน์กฎหมายเพื่อคนชายขอบฉบับนี้ก็คือ ปัญหาที่อำเภอมักปฏิเสธที่จะจดทะเบียนสมรสถ้าคู่สมรสทั้งสองฝ่ายหรือฝ่ายเดียวเป็นคนที่ไร้บัตรพิสูจน์หรือเป็นคนบัตรสี สำหรับคนไร้สัญชาติซึ่งเป็นประเภทหนึ่งของคนชายขอบนั้น มักประสบปัญหาของความไม่มีเอกสารที่พิสูจน์ทราบตัวบุคคลที่ออกโดยรัฐ หรือความที่มีเอกสาร พิสูจน์ทราบตัวบุคคลที่รัฐไทยออกให้ แต่ระบุว่าเป็นคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย

ทำไมอำเภอจึงต้องปฏิเสธที่จะจดทะเบียนสมรสให้แก่คนไร้สัญชาติ ?


เหตุผลที่อำเภอมักจะอธิบายให้เราทราบจะมี 3 ลักษณะที่ไม่แตกต่างกันนัก กล่าวคือ
(1) กฎหมายห้ามจดทะเบียนให้คนต่างด้าวที่ผิดกฎหมายเข้าเมือง
(2) ไม่มีนโยบายให้อำเภอจดทะเบียนสมรสให้กับคนต่างด้าวที่ผิดกฎหมายเข้าเมือง
(3) อำเภอคิดว่า การจดทะเบียนสมรสให้แก่คนต่างด้าวที่ผิดกฎหมายเข้าเมือง จะก่อให้เกิดสถานการณ์ที่เป็นภัยต่อรัฐ เพราะจะนำไปสู่โอกาสที่จะร้องขอสัญชาติไทยโดยการสมรส

อันที่จริงเรื่องนี้เคยเกิดตั้งแต่ พ.ศ.2505 และศาลฎีกาในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 720/2505 ก็ยืนยันว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ยืนยันในสิทธิของบุคคลทุกคนที่จะก่อตั้งครอบครัว ดังนั้น เมื่อมนุษย์คนใดมีสิทธิดังกล่าว อำเภอก็มี “หน้าที่ตามกฎหมาย” ที่จะต้องดำเนินการจดทะเบียนครอบครัวให้บุคคลดังกล่าว ตามพ.ร.บ.จดทะเบียนครอบครัว พ.ศ.2478 หลังจากนั้น ศาลฎีกา ในหลายคดีต่อมาก็ได้เดินตามคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าว (ซึ่งต่อไปจะเรียกสั้นๆ ว่า ฎ.720/2505) ดังนั้น ใน พ.ศ.2549 สังคมไทยจึงไม่สงสัยในข้อกฎหมายและนโยบายในเรื่องสิทธิในการจดทะเบียนสมรสของคนต่างด้าวที่ผิดกฎหมายคนเข้าเมือง เพราะแนวคำพิพากษาของศาลฎีกาที่นำโดย ฎ.720/2505 ยืนยัน อย่างชัดแจ้งว่า สิทธิในการจดทะเบียนสมรสเป็นสิทธิในการก่อตั้ง ครอบครัวประเภทหนึ่งที่กระทรวงมหาดไทยจะตั้งเงื่อนไขในการจำกัดสิทธิดังกล่าวเองไม่ได้ ข้อจำกัดสิทธิดังกล่าวย่อมเป็นไปโดยความไม่มีคุณสมบัติที่จะสมรสของคู่สมรสซึ่งกำหนดโดยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัวเท่านั้น

กรณีนางสาวหันลานและ ส.ต.อ.สังวาลย์ : กรณีตัวอย่าง สำหรับ “ต้นแบบ” ขององค์ความรู้เรื่องสิทธิในการก่อตั้งครอบครัวของคนชายขอบ

ใน พ.ศ.2549 ผู้เขียนได้ตระหนักว่า ยังมีอำเภอที่ยังไม่ทราบถึงข้อกฎหมายนี้ ในบทความนี้ ผู้เขียนจึงใคร่นำเสนอ “เรื่องเก่าที่จะต้องเล่าใหม่” คนทำงานด้านสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของคนไร้สัญชาติจึงคิดที่จะหากรณีตัวอย่างขึ้นมาทำความเข้าใจกับสังคม

และแล้วโอกาสนั้นก็มาถึงในวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ.2548 ซึ่งเป็นวันหนึ่งที่มีการลงพื้นที่เพื่ออบรมกฏหมายสัญชาติ สถานะบุคคลและสิทธิที่อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ระหว่างวันที่ 26-29 ธันวาคม พ.ศ.2548 ภายใต้โครงการเผยแพร่สถานะบุคคลและสิทธิของคณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ ผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติ และผู้พลัดถิ่น สภาทนายความ คณะทำงานภายใต้โครงการดังกล่าวได้พบปัญหาด้านกฎหมายของชาวบ้านไร้สัญชาติในพื้นที่ดังกล่าวหลายประการ ซึ่งปัญหาประการหนึ่งที่พบก็คือ นางหันลาน หญิงไร้สัญชาติ และ ส.ต.อ.สังวาลย์ หมื่นสอน คนสัญชาติไทย ได้เล่าให้คณะทำงานฟังว่า ถูกปฏิเสธสิทธิในการก่อตั้งครอบครัวตามกฎหมาย เนื่องจากถูกปฏิเสธสิทธิที่จะจดทะเบียนสมรสตามกฎหมายไทย แม้จะมีบุตรด้วยกันมาแล้ว 1 คน กล่าวคือ เด็กหญิงศุภดา หมื่นสอน ซึ่งเกิดในประเทศไทยเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2548 ที่โรงพยาบาลสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี

โดยพิจารณาว่า ในวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ.2548 นั้น เป็นวันที่คณะอนุกรรมาธิการศึกษาหามาตรการในการแก้ไขปัญหาเด็กไร้สัญชาติ วุฒิสภา ลงพื้นที่เพื่อมาดูงานสำรวจและทำทะเบียนให้แก่เด็กไร้รัฐในโรงเรียนที่ตั้งอยู่ในเขตที่อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนะบุรี นายสุรพงษ์ กองจันทึก[2] และนายมานะ งามเนตร[3] จึงได้นำนางหันลาน และ ส.ต.อ.สังวาลย์ หมื่นสอน มายื่นคำร้องจดทะเบียนสมรสต่ออำเภอเมือง จังหวัดกาญจนะบุรี ทั้งนี้ เพื่อที่อำเภอดังกล่าวและคณะอนุกรรมาธิการดังกล่าวจะได้ร่วมเรียนรู้จากเรื่องราวของนางสาวหันลานและ ส.ต.อ.สังวาลย์


เมื่อคุณสุรพงษ์และคุณมานะนำนางสาวหันลานและ ส.ต.อ.สังวาลย์เข้าร้องขอจดทะเบียนสมรสต่อเจ้าหน้าที่อำเภอ ซึ่งผู้ที่เข้ามาพิจารณาคำร้องในชั้นแรก ก็คือ นายพนายยุทธ์ กาญจนโนทัย ปลัดอำเภอฝ่ายทะเบียนราษฎรของอำเภอเมือง จังหวัดกาญจนะบุรี และภายหลังจากพิจารณา ปลัดอำเภอดังกล่าวได้ชี้แจงต่อผู้ร้องขอจดทะเบียนสมรสว่า ไม่อาจรับคำร้องขอจดทะเบียนสมรสเพราะนางสาวหันลานออกนอกพื้นที่ และส.ต.อ.สังวาลย์ หมื่นสอน เป็นข้าราชการ จึงไม่อาจสมรสกับคนต่างด้าว

เพื่อปฏิเสธ สิทธิในการร้องขอ จดทะเบียนสมรสของส.ต.อ.สังวาลย์กับนางหันลานข้างต้น ปลัดอำเภอฝ่ายทะเบียนราษฎรได้กล่าวอ้างหนังสือของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่ นร. 0202/ว.68 เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ.2527 ซึ่งอ้างต่อไปถึงมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2524 เรื่องห้ามข้าราชการและพนักงานองค์การของรัฐสมรสกับผู้อพยพและผู้ลี้ภัย

เหตุผลที่ภาคประชาสังคมใช้ในการยืนยันสิทธิของคนชายขอบ

ส่วนฝ่ายสภาทนายความได้อธิบายเหตุผลต่อปลัดอำเภอดังกล่าวในประการแรกว่า มติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวได้ถูกยกเลิก แล้วและบัดนี้ มีหนังสือสั่งการฉบับใหม่ในเรื่องการจดทะเบียนสมรสของคนต่างด้าวในประเทศไทย กล่าวคือหนังสือ ที่ มท 0310.2/ว1170 เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2543 เรื่องแนวทางปฏิบัติ
ในการตรวจสอบเงื่อนไขและการจดทะเบียนสมรสของบุคคลต่างด้าว เพื่อเป็นการซักซ้อมความเข้าใจของสำนักงานทะเบียนให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน

นอกจากนั้น ในประการที่สอง ฝ่ายสภาทนายความได้กล่าวว่า สิทธิในการสมรมของมนุษย์เป็นสิทธิมนุษยชนในการก่อตั้งครอบครัวประการหนึ่ง จึงได้รับการประกันโดยมาตรา 4 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งบัญญัติรับรอง “สิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” และข้อ 23 แห่งกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางแพ่งและสิทธิทางการเมือง ค.ศ.1966 ที่ผูกพันประเทศไทยได้ชี้ว่า สิทธิในการสมรสเป็นสิทธิมนุษยชนทางแพ่งซึ่งรัฐภาคีจะต้องยอมรับว่า ครอบครัว เป็นหน่วยธรรมชาติ และหลักมูลของสังคม ดังนั้น สิทธิในการสมรสจึงเป็นสิทธิที่ได้รับความคุ้มครองจากสังคมและรัฐ ซึ่งกฎหมายไทยที่รองรับเพื่อคุ้มครองสิทธิในการก่อตั้งครอบครัวของมนุษย์ก็คือพ.ร.บ. จดทะเบียนครอบครัว พ.ศ.2478

ส่วนในประการที่สาม ฝ่ายสภาทนายความยังได้ชี้แจงถึงแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่รับรองสิทธิในการสมรสของมนุษย์ และยืนยันว่า แนวคำพิพากษาฎีกาบรรทัดฐานที่เริ่มต้นจาก ฎ.720/2505 ได้ยืนยันอย่างชัดเจนว่า กระทรวงมหาดไทยออกคำสั่งหรือระเบียบดังกล่าวโดยมิได้อาศัยอำนาจตามกฎหมายหรือมีกฎหมายฉบับใดให้อำนาจไว้ จึงถือเป็นเพียงระเบียบภายในระหว่างเจ้าหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทยด้วยกันเท่านั้น จะนำมาใช้บังคับแก่บุคคล ทั่วไปอย่างเช่นกฎหมายหาได้ไม่ (ฎ.580/2527) นายอำเภอซึ่งมีหน้าที่จดทะเบียนสมรสให้แก่คู่สมรสตามที่เขาร้องขอ ตามพ.ร.บ. จดทะเบียนครอบครัว พ.ศ.2478 จะอ้างเหตุขัดข้องตามคำสั่งกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวที่มิได้อาศัยอำนาจตามบทกฎหมายหลักนั้นไม่ได้(ฎ.720/2505)

แนวคำพิพากษาฎีกาที่เริ่มต้นจาก ฎ.580/2527 ในเรื่องสิทธิในการสมรสของคนต่างด้าวนี้ยังได้มีโอกาสยืนยันอย่างชัดเจนในเรื่องสถานภาพทางกฎหมายของกฎหมายลำดับรองที่ออกโดยฝ่ายปกครอง กล่าวคือ กระทรวง ทบวง กรม จะออกคำสั่งหรือระเบียบใดๆ เพื่อปฏิบัติการให้เป็นไปตามกฎหมายที่ตนมีหน้าที่รักษาการตามกฎหมายนั้นได้ แต่หากกฎระเบียบ หรือคำสั่งของกระทรวง ทบวง กรมใดมีลักษณะจำกัดสิทธิเสรีภาพของเอกชนโดยที่กฎหมายแม่บทมิได้มีบทบัญญัติให้อำนาจไว้โดยชัดแจ้งจะนำมาใช้บังคับแก่บุคคลทั่วไปอย่างเช่นกฎหมายหาได้ไม่ ดังนั้น เรื่องมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2524 และเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2527 เรื่องห้ามข้าราชการ และพนักงานองค์การของรัฐสมรสกับผู้อพยพและผู้ลี้ภัยจึงเป็นการกระทำทางปกครองที่มิชอบด้วยกฎหมาย อันไม่อาจมีผลบังคับต่อเอกชนแต่อย่างใด

แนวคำพิพากษาศาลฎีกายังยืนยันอย่างชัดเจนว่า โดยหลัก รัฐจะต้องรับรองการสมรสตามคำร้องว่า “ชอบด้วยกฎหมาย” ก็โดยการจดทะเบียนสมรสระหว่างเอกชนผู้ร้อง เว้นแต่จะมีเหตุที่อาจปฏิเสธตามข้อกำหนดของมาตรา 13 แห่งพ.ร.บ.จดทะเบียนครอบครัว พ.ศ.2478[4] อันได้แก่ เงื่อนไขแห่งการสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เงื่อนไขในการที่นายทะเบียนสมรสของรัฐจะรับจดทะเบียนสมรสได้ก็คือ คำร้องขอของเอกชน ดังนั้น การจดทะเบียนสมรสจึงมิใช่การกระทำที่รัฐเป็นฝ่ายริเริ่ม (ฎ.1832/2527) เอกชนผู้ต้องการสมรสจะต้องทำคำร้องตามข้อกำหนดของมาตรา 10 แห่ง พ.ร.บ.จดทะเบียนครอบครัว พ.ศ.2478[5] เพราะการสมรสจะต้องเกิดจากเจตนาของเอกชนเท่านั้น รัฐหรือบุคคลอื่นจะเข้าบังคับมิได้เลย หน้าที่ของรัฐมีเพียงรับรองว่าการสมรสนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่เท่านั้น

อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนะบุรี และการรับรองสิทธิที่จะร้องขอจดทะเบียนสมรสของนางสาวหันลานและ ส.ต.อ.สังวาลย์

เมื่อปลัดอำเภอฝ่ายทะเบียนราษฎรมีความลำบากใจที่จะรับคำร้องขอจดทะเบียนสมรสของ สตอ.สังวาลย์กับนางหันลาน คณะทำงานจากสภาทนายความและวุฒิสภาได้โทรศัพท์หารือกับสำนักงานบริหารการทะเบียนที่ส่วนกลางของกรมการปกครอง และรองอธิบดีกรมการปกครองฝ่ายทะเบียนราษฏร เพื่อขอให้รับคำร้องขอจดทะเบียนสมรสไว้ก่อน ซึ่งภายหลังการประสานงานข้างต้น ปลัดฝ่ายทะเบียนราษฎรฯ จึงได้รับคำร้องขอจดทะเบียนสมรสของส.ต.อ.สังวาลย์ หมื่นสอน เพื่อขอให้จดทะเบียนสมรสระหว่างตนและนางหันลาน

ในขณะนี้ จะต้องรอผลการอนุมัติคำร้องของนายอำเภอเมือง จังหวัดกาญจนะบุรี ซึ่งเป็นไปได้ใน 2 ทาง กล่าวคือ (1) ยอมรับที่จะจดทะเบียนสมรสให้แก่ ส.ต.อ.สังวาลย์และนางหันลาน หรือ (2) ไม่ยอมรับจดทะเบียนสมรสให้แก่บุคคลทั้งสอง

แต่สิ่งที่ไม่ควรจะมองข้าม ความชัดเจนทางด้านกฎหมายในที่นี้ ก็คือ อำเภอดังกล่าวได้ยอมรับสิทธิที่จะร้องขอจดทะเบียนสมรสของนางสาวหันลานและ ส.ต.อ.สังวาลย์ สิ่งที่กำลังรอคอยนั้น ก็คือสิทธิที่จะก่อตั้งครอบครัวอันจะได้รับมาจากการที่อำเภอดังกล่าวยอมรับหน้าที่ที่จะจดทะเบียนสมรสให้คนทั้งสอง หากมีการปฏิเสธหน้าที่ เหตุผลในการปฏิเสธหน้าที่นั้นจะมาจากข้อเท็จจริงที่ว่าหันลานเป็นคนต่างด้าวที่ผิดกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองหรือไม่ ?

สังคมไทยควรจะทำอย่างไรต่อไป ?

เพื่อมิให้เกิดกรณีดังเช่นที่อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี ลังเลที่จะจดทะเบียนสมรสให้แก่นางสาวหันลานและ ส.ต.อ.สังวาลย์ สังคมไทยควรมีท่าทีอย่างไรต่อไป ? การนิ่งเฉยโดยไม่สรุปบทเรียนย่อมจะทำให้กรณีดังกล่าวอาจเกิดขึ้นอีก สภาทนายความซึ่งเป็นผู้แทนภาคประชาสังคมในสังคมไทย จึงควรจะเป็นตัวกลางที่จะประสานงานกับกรมการปกครองเพื่อเอากรณีศึกษาดังกล่าวมาใช้ในการปฏิรูปกฎหมายและนโยบาย

ในกรณีที่นายอำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรียอมรับจดทะเบียนสมรสให้แก่บุคคลทั้งสอง สภาทนายความก็ย่อมจะต้องดำเนินการเผยแพร่ความรู้ด้านกฎหมายและนโยบายที่ถูกต้องแก่ครอบครัวที่มีสมาชิกเป็นคนไร้รัฐคนไร้สัญชาติต่อไป และอย่างไม่ชักช้า

ในกรณีที่นายอำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรีไม่ยอมรับจดทะเบียนสมรสให้แก่บุคคลทั้งสอง สภาทนายก็ย่อมจะต้องดำเนินการอุทธรณ์คำสั่งไม่อนุมัติของนายอำเภอต่ออธิบดีกรมการปกครอง และหากอธิบดีดังกล่าวก็ยังคงไม่อนุมัติก็จะต้องดำเนินการช่วยให้ผู้ถูกปฏิเสธสิทธิฟ้องกรมการปกครองและอำเภอเมือง กาญจนบุรีต่อศาลปกครอง
และในขณะเดียวกัน สภาทนายความก็ย่อมจะต้องดำเนินการเผยแพร่ความรู้ด้านกฎหมายและนโยบายที่ถูกต้องแก่ครอบครัวที่มีสมาชิกเป็นคนไร้รัฐคนไร้สัญชาติต่อไป และอย่างไม่ชักช้าเช่นกันไม่ว่ากรณีจะเป็นเช่นใด สภาทนายความย่อมจะต้องจัดแถลงข่าวปัญหาความไม่เป็นไปตามกฎหมายและนโยบายที่ถูกต้องต่อสาธารณชน เพื่อมิให้ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นต่อครอบครัวในสถานการณ์เดียวกัน

ในท้ายที่สุด สภาทนายความควรจะต้องดำเนินการร้องขอให้ฝ่ายสภาความมั่นคงแห่งชาติและกรมการปกครองตรวจชำระหนังสือสั่งการที่มีลักษณะที่ขัดรัฐธรรมนูญและกฎหมายระหว่างประเทศในเวลาที่ไม่ชักช้า และกำหนดมาตรการชั่วคราวในขณะที่การปฏิรูปหนังสือสั่งการของทางราชการในเรื่องนี้ยังไม่แล้วเสร็จ อาทิ ตั้งศูนย์ให้คำปรึกษาด้านกฎหมายและนโยบายแก่อำเภอต่าง ๆ ทั้งนี้ เพื่อมิให้มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในการก่อตั้งครอบครัวเกิดขึ้นในประเทศไทย และเพื่อมิให้เจ้าหน้าที่อำเภอมีความไม่มั่นใจในการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายและนโยบาย
ในที่สุด เราจะเห็นว่า หากการจัดการปัญหาเกิดขึ้นโดยภาคประชาสังคม ซึ่งหมายถึงทุกภาคส่วนทั้งภาคการเมือง ภาคราชการ ภาควิชาการ ภาคองค์กรพัฒนาเอกชน ภาคชุมชน และ ฯลฯ กระบวนการแก้ไขปัญหาก็จะทำได้ที่สาเหตุและผลของการแก้ไขปัญหาก็จะยั่งยืน

หวังในที่สุดว่า จะไม่มีคนชายขอบที่ถูกปฏิเสธสิทธิในการก่อตั้งครอบครัวในประเทศไทย การตกขอบของสังคมไม่ได้ก่อทุกขภาวะต่อสิทธิตามกฎหมายธรรมชาติที่จะก่อตั้งครอบครัว

หมายเหตุ
[1] รองศาสตราจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งทำหน้าที่รองประธานคณะอนุกรรมาธิการศึกษาหามาตรการในการแก้ไขปัญหาเด็กไร้สัญชาติตามคำสั่งคณะกรรมาธิการกิจการสตรี เยาวชน และผู้สูงอายุ วุฒิสภา และที่ปรึกษาคณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชน ด้านชนชาติ ผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติ และผู้พลัดถิ่น สภาทนายความ

[2] ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษากะเหรี่ยงและพัฒนา ซึ่งทำหน้าที่รองประธานคณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชน ด้านชนชาติ ผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติ และผู้พลัดถิ่น สภาทนายความ และอนุกรรมาธิการศึกษาหามาตรการในการแก้ไขปัญหาเด็กไร้สัญชาติตามคำสั่งคณะกรรมาธิการกิจการสตรี เยาวชน และ
ผู้สูงอายุ วุฒิสภา

[3] เจ้าหน้าที่ของสำนักคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติซึ่งทำหน้าที่อนุกรรมาธิการศึกษาหามาตรการในการแก้ไขปัญหาเด็กไร้สัญชาติตามคำสั่งคณะกรรมาธิการกิจการสตรี เยาวชน และผู้สูงอายุ วุฒิสภา

[4] มาตรา 13 นี้กำหนดว่า “ห้ามมิให้นายทะเบียนจดทะเบียนสมรส เมื่อปรากฏต่อนายทะเบียนว่า การมิได้เป็นไปตามเงื่อนไขแห่งมาตรา 1445 มาตรา 1446 และมาตรา 1447 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์” แต่มาตราแห่งปพพ.ที่กำหนดเป็นเลขหมายก่อนการ แก้ไขครั้งล่าสุด ในปัจจุบัน ก็คือ มาตรา 1448 - 1454 และมาตรา 1458 ที่ได้ตรวจชำระใหม่
[5] มาตรา 10 นี้กำหนดว่า “เมื่อมีการร้องขอให้จดทะเบียนสมรส แล้ว ให้นายทะเบียนรับจดทะเบียนสมรสให้................”