โดย วิทูรย์ ลายอู๋
มนุษย์ที่เกิดมาบนโลกนี้ย่อมมีความฝันกันทุกคน ไม่ว่า จะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นชนชาติไหนเผ่าพันธุ์ไหน ต่างมี ความฝันกันทุกคน มันอยู่ที่ว่าใครจะสามารถสานฝันของตัวเองให้เป็นจริงได้ เหมือนกับฝันของผมที่อยากเห็นประเทศชาติมีความสงบสุขไร้ซึ่งสงคราม ประชาชนคนในชาติมีความเป็นอยู่ที่ดี มีเอกราชเสรีภาพ มีการปกครองระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่แค่ชนกลุ่มน้อยในสายตาของนานาประเทศ
ผมเกิดที่รัฐฉาน ดินแดนของไทยใหญ่ผมเกิดมาในยุคของสงครามพอดี ชีวิตตอนเด็กของผมโชคดีกว่าเด็กๆ ในรัฐฉานทั่วไปที่ถูกเผด็จการทหารพม่าข่มเหงและกดขี่ เพราะว่าผมเกิดและเติบโตมาในกองทัพกู้ชาติ แม่ผมเป็นหมออยู่ในกองทัพ S.U.R.A. (Shan United Revolution Army) ภายใต้การนำของท่านนายพลโมเฮง (กอนเจิง) ชีวิตในวัยเด็กของผมไม่ค่อยมีเวลาได้อยู่กับแม่เหมือนเด็กทั่วไป อาจเป็นเพราะว่าแม่มีภาระหน้าที่ แม่จึงส่งพี่สาวกับผมมาเรียนที่ฝั่งไทย จะมีโอกาสได้อยู่กับแม่ก็ตอนปิดเทอมภาคฤดูร้อนเท่านั้น มีบ้างที่แม่มาเยี่ยมผมและพี่สาวที่ฝั่งไทยแต่ว่าไม่บ่อยนัก ช่วงปิดเทอมที่ผมได้อยู่กับแม่ ผมเห็นแม่ทำงานหนัก (รักษาทหาร) บางคืนแม่แทบไม่ได้นอนเลย ผมก็อดสงสารแม่ไม่ได้ แต่แม่ไม่เคยบ่น แม่บอกกับผมว่ามันเป็นหน้าที่ แม่สอนผมกับพี่สาวว่า เกิดเป็นคนถึงแม้ว่าจะเลือกเกิดไม่ได้ แต่ว่าเลือกที่จะทำความดีทดแทนคุณของแผ่นดินได้ ตอนนั้นผมเองยังไม่เข้าใจความหมายที่แม่พูด
จนผมเรียนจบ ป.6 ที่ฝั่งไทยแม่จึงย้ายผมไปเรียนต่อในรัฐฉานโดยบอกเหตุผลว่า กลัวผมอ่านและเขียนภาษาไทยใหญ่ไม่เป็น อีกอย่าง ทางกองทัพ SURA เองก็เริ่มมีกำลังที่แข็งแกร่ง สามารถครอบคลุมพื้นที่บางส่วนในรัฐฉานเป็นของตัวเอง (เขตอิสระSURA) โดยทางรัฐบาลทหารพม่าไม่สามารถเข้าถึงได้ บวกกับ นโยบายของผู้นำท่านนายพลกอนเจิงเอง เห็นความสำคัญของการศึกษา การเรียนการสอนในรัฐฉาน ภายใต้การนำของกองทัพจึงทันสมัยขึ้น มีการจ้างครูจากหลายพื้นที่ ผมเข้าเรียนที่ ร.ร. ปางก้ำก่อ โดยมีครูจายมูเป็นผู้อำนวยการโรงเรียน ท่านเป็นทั้งครูและศิลปินนักแต่งเพลงที่ต่อต้านเผด็จการทหารพม่า เป็นที่รู้จักกันในหมู่คนไทยใหญ่ ปัจจุบันท่านเสียชีวิตไปแล้ว ที่โรงเรียนแห่งนี้เอง เป็นจุดเปลี่ยนชีวิตและความคิดของผม เพราะว่าผมได้เรียนรู้ความเป็นอยู่ที่แร้นแค้นของพี่น้องในรัฐฉาน ได้เรียนรู้ความเป็นมา ของประเทศ(รัฐฉาน) ประวัติศาสตร์ที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน ถ้าแม่ไม่ส่งผมมาเรียนที่นี่ ผมเองคงจะเป็นคนที่ลืมชาติกำเนิดของตัวเองไปแล้ว ตอนนั้นผมเองเริ่มที่จะเข้าใจความหมายที่แม่พูดและจุดประสงค์ที่แม่ให้ผมมาเรียนที่นี่
ที่โรงเรียนแห่งนี้ ผมได้รู้จักกับเพื่อใหม่หลายคนที่มาจากหลายพื้นที่ เพื่อนบางคนบอกกว่าทหารพม่าเข้าปล้นหมู่บ้าน ฆ่าพ่อแม่และคนในครอบครัวตาย บางคนพี่สาวถูกทหารพม่าข่มขืน เพื่อนผมบางคนต้องเดินทางจากรัฐฉานตอนบนหนีมาที่นี่เพราะว่าทนการกดขี่ข่มเหงของทหารพม่าไม่ไหว ถึงแม้ว่าทุกคนจะมาจากหลายพื้นที่ในรัฐฉาน ร้อยพ่อพันแม่ แต่ว่าทุกคนต่างมีอุดมการณ์ เดียวกันคือ เรียนให้จบและนำความรู้ที่เรียนมาพัฒนาประเทศ เป็นกำลังหลักที่จะนำประชาชนชาวไทยใหญ่ไปสู่เอกราชปลดปล่อยประเทศจากเงื้อมมือเผด็จการทหารพม่า
ผมเรียนอยู่ที่ร.ร.ปางก้ำก่อหลายปีแล้ว ตอนนั้นผมเองเริ่มเข้าสู่วัยรุ่น จุดหมายที่สำคัญที่สุดในขณะนั้นคือการเรียนให้จบเพื่อรับใช้ชาติ ขณะเดียวกันทางกองทัพ SURA เองมีความเคลื่อนไหว โดยท่านผู้นำ นายพลกอนเจิงเห็นว่าการที่จะกู้ชาติได้นั้น คนในชาติต้องสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ท่านผู้นำจึงได้เรียกร้องให้มีการรวมกันในกลุ่มบุคคลและองค์กรผู้รักชาติในปี 1983 ต่อมา ในปี 1984 ได้มีกลุ่ม SSA โดยการนำของเจ้าจ๋ามใหม่มาเข้าร่วมก่อตั้ง T.R.C. สภากู้ชาติไตที่บ้านปางใหม่สูง ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ผมอาศัยอยู่กับแม่ อีก 1 ปีต่อมา กลุ่ม S.U.A. ภายใต้การนำ ของขุนส่า ได้เข้าร่วมด้วยและได้ประชุมก่อตั้ง SSUPC โดยมีท่านนายพลกอนเจิงเป็นผู้นำสูงสุด (จอมป๋องจึง) และมีขุนส่าเป็น
ผู้บัญชาการทหาร (จอมป๋องศึก) เป็นที่รู้จักกันในนามกองทัพเมืองไต M.T.A.(Mong Tai Army) ซึ่งเป็นกองกำลังติดอาวุธที่เข้มแข็งและทันสมัยที่สุดในเวลานั้น กองทัพเมืองไต M.T.A จึงเป็นความหวังสูงสุดของประชาชนทั้งประเทศและความฝันของผมก็เริ่มจะเป็นจริง แต่ว่าสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นกับพวกผม เพราะว่าในปี 1991 ท่านผู้นำสูงสุดได้จากพวกผมไปอย่างไม่มีวันกลับมา มันเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ของกองทัพและหมู่คนรักชาติ เพราะว่าท่านผู้นำนายพลกองเจิงเป็นผู้นำที่กล้าหาญ ท่านปกครองผู้ใต้บังคับบัญชาโดยความยุติธรรม
หลังจากที่ท่านนายพลกอนเจิงเสียชีวิตแล้ว ขุนส่าขึ้นมาเป็นผู้นำอย่างเต็มตัวโดยมีเจ้าฟ้าลั่น(จางซูเฉียน)เป็นเสนาธิการทหาร M.T.A. ภายใต้การนำของขุนส่าเริ่มถูกกดดันจากนานาประเทศโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาเพราะปัญหายาเสพติด ดูเหมือนกองกำลังทหาร M.T.A. จะเข้มแข็ง แต่ว่านับวันการเมืองเริ่มถดถอยเพราะปัญหายาเสพติด การเมืองไม่ก้าวหน้าเหมือนยุคนายพลกอนเจิงเป็นผู้นำ แต่ขุนส่าให้เหตุผลและบอกกับพวกผมว่า "นักเรียนทุกคน รัฐฉานเรากำลังทำสงครามกู้ชาติ เราต้องการหลุดพ้นจากเผด็จการทหารพม่า ผงขาวเป็นทางหากินอย่างเดียวของเราที่จะสามารถหาเงินมาสนับสนุนการต่อสู้ของเราได"้ ผมและเพื่อนนักเรียนอีกทั้งคนในรัฐฉานจึงเชื่อขุนส่าและฝันที่จะเห็นประเทศชาติได้อิสรภาพจากพม่า
แต่น่าเสียดายที่ฝันของผมและเพื่อนชาวไทยใหญ่ทุกคนต้องวูบดับลงในวันที่ 31 ธันวาคม 1995 เมื่อขุนส่าประกาศวางอาวุธให้รัฐบาลทหารพม่า และที่ผมไม่มีวันลืมเลยแม้จะผ่านมาหลายปีแล้วคือวันที่ 7 มกราคม 1996 ซึ่งเป็นวันที่ขุนส่าสั่งให้ทหาร M.T.A. ส่งมอบอาวุธให้ทางรัฐบาลพม่า ปืนกลปืนใหญ่นับหมื่นกระบอก ระเบิดและกระสุนหลายสิบคันรถต่างถูกขนมาส่งให้ทหารพม่า ท่ามกลางเสียงสะอื้นคราบน้ำตาของประชาชน ทหารพิการนับร้อยชีวิตที่มองไม่เห็นอนาคต ครั้งหนึ่งคนเหล่านี้ทุกคนต่างเป็นกำลังของชาติ ต่างมาเป็นทหารเพราะความรักชาติ แต่มาวันนี้ทุกคนต่างหมดหวัง ตายทั้งเป็นเพราะการกระทำของขุนส่า ยังไม่นับทหารเด็ก ๆ อีกนับพันที่หาทางกลับบ้านไม่เจอเพราะจำทางไม่ได้ ต่างถูกจับมาเป็นทหารตั้งแต่เด็ก หน้าพ่อแม่เป็นยังไงบางคนยังจำไม่ได้เลย ตัวขุนส่าเองอาจจะไม่เดือดร้อน เพราะเงินทองตัวเองที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด ใช้จ่ายทั้งชาติก็คงไม่หมด แต่ผมไม่เข้าใจว่า ทำไมขุนส่าไม่นึกถึงพลทหารที่เคยพลีชีพให้แก หรือว่าพวกผมและทหารเหล่านั้นเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งที่ขุนส่าใช้เดินในเกมเพื่อเป็นสะพานสู่ความสำเร็จในธุรกิจค้ายาเสพติด ที่ผ่านมาทุกคนต่างคิดว่าจะช่วยกู้ชาติเลยยกขุนส่าเป็นผู้นำ แต่ขุนส่ากลับปกครองแบบเอกาธิปไตย คนที่จะขึ้นมาเป็นใหญ่ขึ้นอยู่กับว่าขุนส่าชอบหน้าหรือไม่ นายทหารยศสูงส่วนใหญ่ที่มีความสามารถถูกขุนส่าฆ่าทิ้ง เป็นต้น เหตุที่ทำให้ทหารไทยใหญ่หลายกลุ่มไม่พอใจและหนีทัพก่อนที่ M.T.A.จะล่มสลาย ต้นเหตุของการแตกร้าวภายในการอารักขาของรัฐบาลทหารพม่า แม้ว่าทางสหรัฐอเมริกาจะขอตัวมาแต่รัฐบาลทหารไม่ยอมให้
หลังจากที่ M.T.A.ล่มสลาย ทหารพม่าเข้ามาควบคุมพื้นที่ โรงเรียนของผมถูกปิดอย่างไม่มีกำหนด ผมเองตอนนั้นหมดกำลังใจเพราะว่าความฝันที่วาดไว้มาตั้งแต่เด็กสลายลงเพียงแค่เวลาข้ามคืนโดยการกระทำของคนที่ผมเคยคิดว่าเป็นผู้นำ ภายหลังแม่พาผมมาอยู่ที่บ้านฝั่งไทย ตั้งแต่นั้นมาผมไม่มีโอกาสได้กลับรัฐฉานอันเป็นแผ่นดินแม่ ไม่สามารถสานต่อความฝันของตัวเองให้เป็นจริงได้ ขุนส่าเองเคยเป็นผู้นำของผม หลายคนเคยคิดว่าขุนส่าจะเป็นวีรบุรุษของชาวไทยใหญ่ แต่จากการกระทำของตัวขุนส่าเองในปี 1995 นั้น ในสายตาผม ขุนส่าเป็นเพียงพ่อค้ายาเสพติดคนหนึ่งที่ทำลายความฝันของผมและชาวไทยใหญ่ทั้งชาติ และเป็นที่มาของความฝันที่ถูกลืมของผม