ชีวิตระหกระเหินของหญิงชาวอาระกันชื่อ “โจ”

“โจ”เป็นชื่อของหญิงชราชาวอาระกันจากประเทศพม่า เธอเกิดเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2489 ในเขตชนบทของ รัฐอาระกัน ชื่อเมืองมอนกาน (Mongan) ซึ่งมีความหมายว่าสระน้ำ ของพระเจ้าแผ่นดินเพราะเมืองแห่งนี้มีสระน้ำขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง สร้างโดยพระเจ้าแผ่นดินชาวอาระกันซึ่งเคยปกครองดินแดนแห่งนี้ มาก่อน ที่ตั้งของสระน้ำแห่งนี้อยู่ริมแม่น้ำใกล้กับเมืองซิตตวย เมืองหลวงของรัฐอาระกัน


รัฐอาระกันมีท่าเรือขนส่งสินค้าที่เก่าแก่ และท่าเรือแห่งนี้ นับเป็นศูนย์กลางการค้าที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งซึ่งมีข้าวและฝ้าย ซึ่งเป็นสินค้าที่มีอยู่เหลือเฟือในเขตนี้เป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญ เรือสินค้าสัญชาติต่างพากันมาแวะเติมน้ำสำหรับใช้ในเรือจาก สระน้ำของพระเจ้าแผ่นดินแห่งนี้ บิดาของโจเป็นบุคคลสำคัญ คนหนึ่งซึ่งเคยทำการค้าส่งออกข้าว ณ ท่าเรือแห่งนี้ เขาเสียชีวิตลง ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สองจะเริ่มปะทุขึ้น

ในสมัยที่พ่อของโจยังมีชีวิตอยู่เขาได้เข้าร่วมกับกลุ่มปฏิวัติ ดังนั้น จึงไม่แปลกอะไรที่ชั้นล่างในบ้านของโจจะถูกประยุกต์ใช้ เป็นสำนักงานและที่เก็บสรรพาวุธ

ค่ำคืนหนึ่งกลางฤดูร้อนขณะที่โจเพิ่งลืมตาดูโลกได้เพียง 9 เดือน มีโจรบุกรุกเข้ามาที่บ้านของเธอ คืนนั้นครอบครัวของเธอ ต้องหอบหิ้วกันไปหลบซ่อนตัว อยู่ที่สุสานตลอดทั้งคืน หลังจาก คืนนั้นผ่านพ้นไปชะตาชีวิตของเธอก็เริ่มเปลี่ยนผัน เมื่อพ่อตัดสินใจ พาสมาชิกทุกคนในครอบครัวหนีไปอยู่ที่เมืองซิตตวย

เมื่อโจอายุเริ่มอายุย่างเข้า 3 ขวบ พ่อของเธอถูกตัดสิน จำคุกในข้อหานักโทษการเมืองเป็นระยะเวลา3 ปี รวมทั้งพ่อต้อง สูญเสียทั้งทรัพย์สินและที่ดินหลายพันเอเคอร์ที่มีอยู่ทั้งหมดไป ในเวลาต่อมาพ่อได้ตัดสินใจย้ายเข้าไปอยู่ที่กรุงย่างกุ้งเมืองหลวง ของประเทศ เมื่อโจอายุเข้า13 ปี ครอบครัวของเธอได้ย้ายไปอยู่ที่ ย่างกุ้งยกเว้นเธอ โดยพ่อได้ฝากเธอไว้ให้อยู่กับครอบครัวของลุง

ในปี 1962 นายพลเนวินได้ทำการรัฐประหาร และยึดเอา ธุรกิจขนาดใหญ่ของประชาชนไปเป็นของรัฐทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ซูเปอร์มาร์เก็ต บริษัท ห้างร้าน และโรงงาน อุตสาหกรรม

ครอบครัวของโจได้กลับไปยังเมืองซิตตวยอีกครั้งหนึ่ง ขณะนั้นโจกำลังศึกษาอยู่ในมัธยมปลาย เธอต้องหยุดเรียนเพื่อไป ช่วยครอบครัวทำงานโดยในเวลาต่อมาโจได้เข้ารับการอบรมการ ผดุงครรภ์อยู่เป็นเวลาปีครึ่ง เธอมีโอกาสได้เข้าไปทำงานใน หน่วยงานของราชการ โรงพยาบาล และคลินิกต่าง ๆ เป็นเวลาถึง 18 ปี

โจแต่งงานในปี พ.ศ. 2522 มีลูก 2 คน ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง เมื่อลูกสาวเธออายุครบ 5 ขวบ และลูกชายอายุได้ 2 ขวบ ทหารได้ตามหาตัวสามีของเธอด้วยเหตุผลทางการเมือง ทำให้สามีของเธอต้องจำใจจากเธอ ๆ และลูกๆหลบหนีไปอยู่ที่อื่น แต่ถึงกระนั้นพวกทหารก็ยังคงแวะเวียนมาที่บ้านของโจ อยู่ตลอดเวลาไม่เว้นแม้แต่ยามวิกาลก็ยังขอเข้ามาค้นบ้านและ ตั้งคำถามต่างๆนาๆ

ในที่สุดเธอก็ถูกจับพร้อมกับพี่ชายของเธอและถูกขัง เป็นเวลา 2 ปีกับอีก 1 เดือน เธอถูกกล่าวหาว่าเป็นอาชญากรทาง การเมืองโดยที่ไม่มีหลักฐานใด เธอต้องฝากลูกๆทั้งสองคนไว้ กับน้องสาว และแม้ว่าเธอจะถูกจองจำอยู่ในคุกเธอก็ยังช่วยเหลือ เพื่อนนักโทษอื่นๆในหลายๆ ทาง เธอใช้ความรู้พยาบาลที่ร่ำเรียน มาช่วยเหลือรักษาพยาบาลนักโทษหญิงในเรือนจำและลูก ๆ ของเธอเหล่านี้ซึ่งมักป่วยอยู่เสมอ เธอทำหน้าที่เป็นทั้งเป็น หมอตำแยให้กับนักโทษหญิง เป็นครูสอนหนังสือให้กับนักโทษ และเด็ก ๆ ในเรือนจำ

โจสามารถพ้นออกมาจากคุกแห่งนี้ในช่วงที่มีการ เคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย ซึ่งบรรดา นักเคลื่อนไหวเหล่านี้ได้บุกเข้าไปรื้อคุก ทำให้เธอสบโอกาส หลบหนีออกมาได้ แต่น่าเสียดายที่เธอไม่มีโอกาสได้พบกับลูก ๆ ในทันทีเพราะเธอต้องรีบหลบหนีไปบังคลาเทศ โดยในอีกเก้าเดือน ต่อมา ลูกๆของเธอได้ถูกพาหลบหนีออกนอกประเทศและถูกส่ง ไปอยู่กับครอบครัวหลายครอบครัว ต่อ ๆกันไป จนกระทั่งในที่สุด แม่ลูกก็ได้มีโอกาสพบและอยู่ด้วยกันอีกครั้งในกรุงดักกาห์ เมืองหลวงของบังกลาเทศ

โจเริ่มต้นทำงานในคลินิกซึ่งมีโรงเรียนสอนเด็กกำพร้า ตั้งอยู่ในเขตวัดของพุทธศาสนา ที่นี่มีเด็กยากจนราวห้าพันคน และเธอก็มีความสุขที่ได้ช่วยเหลือเด็กๆเหล่านั้น โดยเวลาต่อมา เธอได้ขอลี้ภัยไปอยู่ประเทศออสเตรเลีย และจนถึงปัจจุบันนี้ เธอก็ยังไม่ได้พบหน้าสามีของเธอที่จากกันไปหลายสิบปี รวมทั้ง ไม่ได้รับข่าวคราวว่า เขาระหกระเหเร่ร่อนไปอยู่แห่งใด บนโลกนี้ หรือโลกหน้า...ไม่มีใครให้คำตอบเธอได้