มิตรภาพบนความเสี่ยง

โดย วิน นาย

โตโต้ เป็นชื่อแมวของนางโป โปและนาย ทุน ผัวเมียแรงงานชาวพม่า  ปัจจุบันโต โต้อายุได้ 2 ปี อยู่ในวัยกำลังซน  และคอยทำตัวเป็นเหมือนนาฬิกาปลุกประจำบ้าน  คอยปลุกเจ้านายขึ้นมาเล่นกับมัน โดยเฉพาะเวลาหลังเที่ยงคืนซึ่งเจ้านายไม่ค่อยมีอารมณ์จะเล่นกับมันนัก  ตอนแรก ๆ เจ้านายของมันหงุดหงิดพอสมควรเวลามันเล่นซนไม่รู้เวล่ำเวลา  แต่ตอนหลังก็เริ่มปรับตัวได้และคิดเสียว่าเป็นการออกอำลังกายและกิจกรรมสันทนาการประจำวัน


ทว่า ความซุกซนของเจ้าโต โต้ไม่ได้หยุดแต่เพียงในบ้านและสร้างความหงุดหงิดให้เจ้านายบางครั้งบางคราวเท่านั้น หากมันได้ก่อเหตุเดือดร้อนให้เจ้านายได้ปวดหัวมากขึ้น เมื่อวันหนึ่ง มีคนมาที่บ้านและบอกว่าเจ้าโตโต้ไปไล่จับนกที่บ้านของเขา ซึ่งอยู่ในหมู่บ้านถัดไป และคาบนกตัวนั้นกลับมาบ้านด้วย เขาจึงตามมาเอานกคืน ขณะที่ผู้เป็นเจ้าของโตโต้กำลังปฏิเสธเป็นพัลวันว่าเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าโตโต้จะทำอย่างนั้น เพราะมันไม่เคยจับนกมาก่อน  เจ้าโตโต้ก็วิ่งกลับเข้าบ้านพร้อมกับคาบนกตัวหนึ่งอยู่ในปาก  สองผัวเมียผู้เป็นเจ้าของจึงแทบทำอะไรไม่ถูกเพราะเป็นเพียงแค่แรงงานต่างด้าว  แต่นับว่าโชคยังดีที่เจ้าของนกเอานกกลับโดยที่ไม่ได้เอาเรื่องเอาราว

นับตั้งแต่โตโต้เข้ามาเป็นสมาชิกของบ้านดูเหมือนว่าคนที่ไม่พอใจโตโต้มากขึ้นทุกวันคือนายทุน สามีของนางโปโป เพราะก่อนหน้านี้ นางจะกล่าวร่ำลาสามีก่อนออกไปทำงานทุกวัน แต่หลังจากโตโต้เข้ามาอยู่ นายทุนก็ถูกแย่งความสนใจ เพราะภรรยาหันไปดูแลโตโต้มากกว่า และเมื่อโตโต้ก่อเรื่องเช่นนี้ นายทุนจึงยิ่งไม่ชอบใจสมาชิกใหม่มากขึ้นไปอีก เพราะความรักความผูกพันที่มีภรรยามีให้เจ้าโตโตกำลังนำมาซึ่งความไม่ปลอดภัยของผู้เป็นเจ้าของ

เช่นเดียวกับครอบครัวของจ่ออู (ชื่อสมมุติ) สมาชิกใหม่ของบ้านเป็นลูกสุนัขขนทองวัยเจ็ดเดือนชื่อ “โฟรโด” ได้สร้างปัญหาให้กับผู้เป็นเจ้าของบ้านคล้ายกับเจ้าโตโต้  จ่ออูเคยปฏิเสธแฟนสาวที่ขอร้องนำลูกสุนัขมาเลี้ยงในที่พัก  แต่สุดท้าย ทั้งคู่ก็ได้เจ้าโฟรโดมาเลี้ยง และแฟนสาวของเขาต้องอิจฉาเจ้า โฟรโดที่ชอบขอนอนบนตักเขา และห้องเดียวกับเจ้าของทุกคืน  โฟรโดเป็นสัตว์เลี้ยงที่จ่ออูรักและใช้เวลานอกเหนือจากงานอยู่ด้วยมากที่สุดจนแฟนของเขาต้องอิจฉา

แต่แล้ววันหนึ่ง เจ้าโฟรโดก็ก่อเรื่องทำให้เจ้านายสุดที่รักโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง เมื่อมันไปกัดลูกไก่ของเพื่อนบ้านจนเสียชีวิต  จ่ออูใช้ไม้ตีโฟรโดสุนัขแสนรักด้วยความจำใจ  เพราะไม่อยากให้มันสร้างปัญหาระหว่างเขากับเพื่อนบ้านคนไทยอีก

ไม่ใช่เฉพาะสุนัขและแมวเท่านั้นที่สร้างความปั่นป่วนให้กับเจ้าของชาวพม่าที่ขายแรงงานอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน  เจ้ามิสเตอร์บีน กระต่ายน้อยสีขาวปลอดก็เป็นอีกหนึ่งสัตว์เลี้ยงที่สร้างความลำบากให้เจ้าของ  เนื่องจากมันเป็นกระต่ายที่โตมากับเมือง ไม่เคยเห็นป่า  และต้องมาอยู่กับเจ้าของศิลปินชาวพม่าซึ่งไม่รู้วิธีเลี้ยงกระต๋าย  นายโปเตคือชื่อของผู้เป็นเจ้าของ  เขาตั้งชื่อให้กระต่ายของตัวเองว่ามิสเตอร์บีน เพราะมองเห็นว่าดวงตาของมันเหมือนมิสเตอร์บีน ตลกชื่อก้องโลก ปัจจุบัน มิสเตอร์บีนมีอายุได้ 2 ขวบ อยู่ในวัยกำลังซุกซน

ด้วยความที่มิสเตอร์บีนเป็นกระต่าย มันก็ย่อมที่จะชอบเดินไปเดินมาตามสัญชาติญาณ เป็นที่เกะกะแก่โปเต และชอบออกไปนอกบ้านเวลาที่เขาเปิดประตูทิ้งไว้ มันจึงถูกห้อยกระดิ่งไว้ที่คอเพื่อจะได้ตามตัวถูก มิสเตอร์บีนสร้างความเดือดร้อนให้ผู้เป็นเจ้าของอยู่เรื่อย ๆ บางครั้งมันก็ไปกัดท่อเครื่องปรับอากาศที่บ้านตรงข้ามซึ่งเป็นคนไทย ทำให้โปเตรู้สึกลำบากใจ  จนในที่สุด เขาจึงตัดสินใจล้อมรั้วเหล็กกันไม่ให้มันออกนอกบ้าน  แต่จนแล้วจนรอด มิสเตอร์บีนก็ฉลาดพอที่จะหาทางหนีออกจากบ้านจนได้

สัตวแพทย์คนหนึ่งเคยแนะนำโปเตว่าคนที่จะเลี้ยงสัตว์ควรที่ความเข้าใจธรรมชาติของสัตว์ที่จะเลี้ยงเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ไปรบกวนบ้านใกล้เรือนเคียง และถ้าจะเลี้ยงกระต่ายก็ควรจะเลี้ยงไว้ในกรง ส่วนแมวนั้น ตามธรรมชาติของมันจะมีลักษณะของพันธุกรรมที่ถ่ายทอดมาจากเสือ ซึ่งชอบล่าสัตว์ต่าง ๆ ที่มีขนาดเล็ก ส่วนสุนัขก็จะมีนิสัยที่ขอบออกไปเที่ยวตามที่ต่าง ๆ นอกเหนือจากที่บ้านแล้ว เจ้าของจึงไม่ควรกักขังไว้ให้อยู่ในที่แคบๆ และแนะนำให้ทำหมันสุนัขและแมว

ย้อนกลับมาที่เรื่องของเจ้าโตโต แมวจอมยุ่ง นางโปโปผู้เป็นเจ้าของพยายามเคยหักห้ามใจไม่ยอมทำหมันให้กับมัน เพราะรู้สึกความสงสาร ไม่อยากให้มันเจ็บ  แต่หลังจากเจ้าโตโตหายออกจากไปจากบ้านหลายวัน  จนนางโปโป เสียใจมากจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ และคิดว่ามันคงจะไม่กลับมาอีกแล้ว บ้านที่เคยคึกคักเริ่มเงียบเหงา  ไม่มีเสียงโครมคราม หรือเสียงร้องจากเจ้าโตโต ให้ได้ยิน  นางโปโปจึงไปทำบุญที่วัดเพื่ออธิษฐานให้พบกับแมวที่เธอรัก และเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อเจ้าโตโตกลับมาที่บ้านอีกครั้งในสองวันต่อมา ในที่สุด เจ้าโตโตก็ถูกจับทำหมันเพราะผู้เป็นเจ้าของไม่อยากให้มันหายไปจากบ้าน รวมทั้งไปสร้างความเดือดร้อนให้ใครอีก

ชาวพม่าที่อาศัยอยู่ที่นี่ และมีสัตว์เลี้ยงมักจะกังวลเรื่องความปลอดภัยและความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน คงไม่ดีแน่หากเพื่อนบ้านที่เป็นคนไทยหัวเสียกับพฤติกรรมของแมวของพวกเขาและไปบอกตำรวจ ซึ่งอาจถูกจับได้ทุกเมื่อ  ถึงกระนั้น แม้ว่าพวกสัตว์เลี้ยงจะนำพาความเดือดร้อนมาให้ตัวเองอย่างไร เจ้าของสัตว์เลี้ยงก็ใจไม่แข็งพอที่จะปล่อยสัตว์เลี้ยงของเขาไปได้  เพราะพวกเขาเลี้ยงสัตว์ด้วยเหตุผลที่ว่าความผูกพันที่ได้มาจากสัตว์เลี้ยงนั้นเป็นความสุขและสิ่งที่วิเศษสำหรับพวกเขา