ทุ่งสังหารในรัฐฉาน

แปลจากเรื่อง The killing field in Shan State
โดย Inter Pares


บทนำ
ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.2004 เจ้าหน้าที่จาก Inter Pares* จำนวนหนึ่งได้เดินทางไปเข้ายังพื้นที่ซึ่งเต็มไปด้วยภูเขาสูงตามแนวชายแดนไทย-พม่า เพื่อพูดคุยกับผู้ลี้ภัยที่อพยพมาจากรัฐฉาน ประเทศพม่า และต่อไปนี้คือการรายงานการเดินทางของพวกเขา


เราขับรถออกจากตัวเมือง จ.เชียงราย มุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ ไม่นานนักเราก็มาอยู่ท่ามกลางภูเขา เราขับรถไต่เขาไปตามถนนจนถึงใจกลางของดินแดนที่เรียกว่า “สามเหลี่ยมทองคำ” ซ้ายมือของเราคือชายแดนประเทศลาว ทิศตะวันตกคือประเทศพม่า (เมียนม่าร์) และไกลออกไปเล็กน้อยทางทิศเหนือเป็นชายแดนประเทศจีน แต่เนื่องจากสภาพถนนเริ่มชันมากขึ้นเรื่อย ๆ เครื่องยนต์ของเราก็เริ่มส่งเสียงดังเป็นการประท้วง

ในที่สุด ถนนที่สูงชันก็ได้นำเรามาสู่ยอดเขา จากข้างบนนี้ถ้ามองลงไป เราจะมองเห็น สุดเขตแดนทางทิศตะวันออกของรัฐฉานประเทศพม่า มีภูเขาลูกหนึ่งที่ทอดตัวเป็นแนวยาวจากทางทิศตะวันออกถึงทิศตะวันตก เมือไม่นานมานี้ ชายแดนแห่งนี้ไม่สามารถเดินทางผ่านไปได้ เนื่องจากเป็นอาณาจักรของขุนส่า ราชายาเสพติดชื่อดัง ที่มีพื้นที่ในการปลูกฝิ่นมากที่สุดในโลก แต่ขุนส่าไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว ในปี ค.ศ. 1996 เขาได้ตกลง “วางอาวุธ” กับรัฐบาลทหารพม่า และขณะนี้ได้กลายเป็นนักธุรกิจใหญ่โตที่ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลทหาร  หนึ่งในรัฐบาลทหารที่เหี้ยมโหดที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียก็ว่าได้

บนยอดเขาที่อยู่ทางขวามือของเรา มีค่ายของทหารไทยซึ่งคอยดูแลบริเวณหุบเขาอยู่ เมื่อข้ามหุบเขาแห่งนี้ไปก็เป็นที่ตั้งของค่ายทหารของประเทศพม่า  บริเวณสันเขาทางซ้ายมือเราเป็นพื้นที่ของกองกำลังรัฐฉาน(Shan State Army) เบื้องล่างหุบเขา ไกลออกไป เป็นกองกำลังสหพันธรัฐว้า (United Wa State Army) ซึ่งเป็น กองกำลังพันธมิตรกับรัฐบาลทหารพม่าและเป็นทายาทนักค้ายาเสพติดของขุนส่า

เราลงจากรถและเดินเท้าลงเขาไปตามทางเดินที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่  เส้นทางสูงชันมากทำให้การเดินทางเป็นไปอย่างทุลักทุเล  เมื่อเดินทางไปถึงกลางทาง กลุ่มผู้ชายพร้อมรถมอเตอร์ไซด์ที่จะพาเราเดินทางต่อไป ได้มารอเราอยู่ก่อนหน้า เราซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์และไต่ไปตามทางที่คดเคี้ยว บางครั้งเส้นทางก็ชันมาก รถมอเตอร์ไซด์ขึ้นไม่ไหว เราต้องลงเดิน ในที่สุดก็มาถึงสันเขาซึ่งเป็นที่ตั้งของค่ายผู้ลี้ภัยจนได้

เรามาที่นี่เพื่อทำการสัมภาษณ์ผู้ลี้ภัยที่อพยพหนีภัยมาจากหุบเขาที่อยู่เบื้องล่าง ซึ่งพวกเขาอพยพมาอยู่ที่นี่ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001 ที่แห่งนี้ ครั้งหนึ่งเคยถูกใช้เป็นสนามรบระหว่างกองกำลังทหารพม่ากับกองกำลังรัฐฉานมาก่อน ซึ่งการสู้รบในครั้งนั้น มีการรุกล้ำเขตแดนเข้ามายังประเทศไทย เนื่องจากกองกำลังแห่งชาติไทยใหญ่ได้ล่าถอยขึ้นมาบนภูเขา กองกำลังทหารพม่าจึงต้องข้ามเขตเข้ามายังประเทศไทยเพื่ออ้อมไปโจมตีกองกำลังไทยใหญ่ทางด้านหลัง กองทัพไทยจึงต้องทำการตอบโต้การรุกล้ำอาณาเขต ซึ่งกองทัพพม่าได้ถอนกำลังออกไปหลังจากมีการปะทะกันอย่างหนัก ด้วยความหวาดกลัวหากต้องกลับประเทศ ผู้ลี้ภัยจึงได้สร้างค่ายผู้ลี้ภัยอยู่ตามแนวเขาที่ลาดชันแห่งนี้

เหยื่อจากสงคราม

เราได้รับเชิญให้ไปดื่มน้ำชาและพูดคุยที่บ้านของหัวหน้าค่ายผู้ลี้ภัย เรานั่งคุยกันบนพื้น ค่ายแห่งนี้คือบ้านของผู้ลี้ภัย 2,100 ชีวิต หัวหน้าค่ายบอกว่ามีคนเข้ามาใหม่อยู่แทบทุกวัน และคงจะมีคนเข้ามามากกว่านี้ถ้าการเดินทางไม่ยากลำบาก  บ้านแต่ละหลังทำจากไม้ไผ่และมุงด้วยหญ้าคา ที่นี่มีห้องเรียนเด็กชั้นประถม และที่กำลังก่อสร้างคือเนิร์สเซอรี่สำหรับเลี้ยงเด็ก ส่วนถนนที่ทอดตัวยาวตามสันเขานั้นเกิดจากน้ำพักน้ำแรงของคนในค่ายที่ช่วยกันสร้างขึ้นมา

หัวหน้าหมู่บ้านได้พาพวกเราไปคุยกับผู้อพยพที่เพิ่งลี้ภัยเข้ามาอยู่ใหม่ซึ่งเป็นเด็กผู้หญิงและผู้ชายอีกหลายคน  เธอเล่าให้เราฟังว่าเธออายุ 13 ปี เธอกับน้องชายวัย 3 ขวบเคยอาศัยอยู่กับยายที่นาแห่งหนึ่งในหุบเขา  เมื่อปีที่แล้วมีผู้หญิงแปลกหน้ามาบอกเธอว่าญาติที่ฝั่งไทยอยากพบเธอกับน้องชาย จากนั้นผู้หญิงคนนั้นก็แอบพาเธอและน้องข้ามชายแดนมาฝั่งไทยโดยที่ไม่ได้บอกยาย  แต่เมื่อมาถึงประเทศไทยแล้ว ผู้หญิงคนนั้นกลับขายเธอให้กับหัวหน้าหมู่บ้านแห่งหนึ่งในราคาสี่พันบาท เธอเล่าว่าถูกใช้ให้ทำงานบ้านและถูกทุบตีสารพัด ปีต่อมาเธอได้พบกับผู้หญิงไทยใหญ่คนหนึ่ง เธอเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ฟัง ผู้หญิงคนนั้นจึงพาเธอไปอยู่ที่ค่ายอพยพ แม้ว่าหัวหน้าหมู่บ้านที่ซื้อเธอมาเรียกร้องให้จ่ายเงินให้เขาก็ตาม ตอนนี้ เธอไม่รู้ว่าน้องชายของเธออยู่ที่ไหน อาจจะถูกขายให้กับครอบครัวอื่นในฝั่งไทยก็อาจเป็นไปได้

เราได้สัมภาษณ์ชายคนหนึ่ง เขามีภรรยาและลูกแล้ว เขาบอกกับเราว่าเขาถูกทหารพม่าบังคับให้ออกจากที่นาและจัดให้ไปอยู่ที่อื่น แต่ก็ไม่สามารถอยู่ได้เพราะที่ที่ทหารจัดให้อยู่ใหม่นั้น ผู้ชายทุกคนจะถูกบังคับให้ไปเป็นลูกหาบขนอาวุธยุทโธปกรณ์ขึ้นไปบนเขา ซึ่งไม่เคยได้ค่าตอบแทนเลย บางครั้งต้องใช้เวลาถึงหนึ่งสัปดาห์เต็มในการขนสรรพาวุธ เขาและเพื่อนคนอื่น ๆ แอบหนีออกมาจากที่นั่นและปลูกข้าวบนเชิงเขา แต่ทหารก็มาพบเข้าจนได้แต่ตอนนั้นไม่มีใครอยู่ ทหารพม่าจึงเผาทำลายนาข้าวที่พวกเขาปลูก  ทหารยังไม่กลับแต่ได้ดักรออยู่ที่พุ่มไม้ใกล้ๆ  เมื่อเพื่อนของเขากลับไปยังที่นาทหารพม่าได้ยิงพวกเขาตายสองคน ส่วนคนอื่นวิ่งหนีได้ทัน และกลับมาฝังศพเพื่อนในตอนกลางคืน

การใช้การข่มขื่นเป็นอาวุธสงคราม


เมื่อเราถามผู้ชายในค่ายผู้ลี้ภัยแห่งนี้ว่าเคยรู้เรื่องการใช้ความรุนแรงทางเพศของกองทัพพม่าที่เพิ่งมีการจัดทำรายงานเรื่องนี้หรือไม่ ชายคนหนึ่งบอกกับเราว่าเมื่อปีที่แล้วมีผู้หญิงสองคนในหมู่บ้านของเขาถูกทหารรุมข่มขืนหมู่ ชาวบ้านได้พากันไปร้องเรียนให้ดำเนินคดีกับกองทัพ แต่กลับได้รับคำตอบว่าผู้หญิงทั้งสองคนสมควรได้รับการปฏิบัติเช่นนั้นเพราะแอบส่งเสบียงให้กองทัพไทยใหญ่

การทำลายหมู่บ้านต่าง ๆ ในรัฐฉานเป็นส่วนหนึ่งของสงครามปราบปรามชนกลุ่มน้อยของรัฐบาลทหารพม่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในรัฐฉานนั้นได้ยืดเยื้อมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว และเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจในปีค.ศ.1996  เป็นต้นมา ข้อมูลจากองค์กรนิรโทษกรรมสากล ประชาชนจำนวนกว่าสามแสนคนจาก1,400 หมู่บ้าน ถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้าน วิธีการปราบปรามกบฏของกองทัพพม่าคือกำจัดฐานที่มั่นของกองกำลังไทยใหญ่ทุกแห่ง หลายหมู่บ้านถูกเผา อาหารที่เก็บไว้ถูกทำลาย ประชาชนถูกบังคับให้ย้ายไปอยู่ที่อื่นโดยที่ไม่มีเครื่องมือทำมาหากินให้เลี้ยงตัวเองได้
ข้อมูลจากเอ็นจีโอนานาชาติที่ทำงานด้านการตรวจสอบสถานการณ์ดังกล่าวพบว่า ประชาชนประมาณสองแสนคนต้องลี้ภัยเข้ามายังประเทศไทย  ซึ่งรัฐบาลไทยไม่มีนโยบายรองรับผู้ลี้ภัยชาวไทยใหญ่เหล่านั้นและปฏิเสธที่จะให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมไม่ว่ากรณีใด ๆ  ซึ่งจะแตกต่างจากกรณีของผู้ลี้ภัยชาวกะเหรี่ยง  ผู้ลี้ภัยชาวไทยใหญ่ต้องอยู่ในประเทศไทยอย่างผิดกฎหมาย ต้องเป็นแรงงานเถื่อนทำงานในสวนผลไม้หรือไร่ชาอย่างหลบ ๆ  ซ่อน ๆ  ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกจับกุมและส่งกลับประเทศ

นานาชาติได้มุ่งประเด็นความสนใจเกี่ยวกับสถานการณ์ในรัฐฉานเมื่อปี ค.ศ.2002 ซึ่งเป็นปีที่มีการจัดทำรายงานเรื่อง “License to Rape 1” หรือ “ใบอนุญาตข่มขืน” ออกมาเผยแพร่ต่อชาวโลก   รายงานฉบับดังกล่าวจัดทำโดยเครือข่ายปฏิบัติการผู้หญิงไทยใหญ่ หรือ Shan Women’s Action Network(SWAN) ในรายงานระบุถึงกรณีของผู้หญิงไทยใหญ่ที่ถูกข่มขืนจำนวน 625 กรณี ตั้งแต่ปีค.ศ. 1996 ถึง ค.ศ.2001 โดยส่วนใหญ่ถูกรุมข่มขืนหมู่และผู้หญิงจำนวนมากกว่าหนึ่งในสี่เสียชีวิต  SWAN ได้กล่าวว่าการข่มขืนนั้นเป็นเครื่องมือของกองกำลังพม่าในการทำลายล้างโดยคุกคามและหยามเกียรติผู้หญิงและครอบครัว   รายงานดังกล่าวได้รับความสนใจจากสำนักข่าวจากนานาชาติและองค์กรต่าง ๆ ทั่วโลก ส่วนรัฐบาลทหารพม่านั้นได้ออกมาพูดถึงรายงานฉบับนี้ว่าไม่มีความน่าเชื่อถือ แต่ในเดือนเมษายน ค.ศ.2004 องค์กรผู้หญิงกะเหรี่ยงได้ออกรายงานอีกฉบับหนึ่งเป็นการยืนยันว่าผู้หญิงในรัฐกะเหรี่ยงก็ถูกข่มขืนโดยกองกำลังทหารพม่าเช่นกัน

โร้ดแม็ปที่ไร้จุดหมาย

ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2004 รัฐบาลทหารพม่าได้รื้อฟื้นการประชุมสมัชชาแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นเหมือนบันไดขั้นแรกหลังจากที่ได้มีการประกาศแผนการเพื่อประชาธิปไตยแห่งชาติขึ้น ผู้ที่เข้าร่วมประชุมสมัชชาส่วนใหญ่มาจากการคัดเลือกของรัฐบาลพม่า โดยการประชุมดังกล่าวไร้เงาของคนสำคัญที่สุดคนหนึ่ง นั่นคือนางอองซาน ซูจี หัวหน้าพรรคสันนิบาติเพื่อประชาธิปไตยเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ  ซึ่งยังคงถูกกักบริเวณอยู่ในบ้านพัก ตัวแทนของกลุ่มชาติพันธุ์ในพม่าหลายกลุ่ม ซึ่งรวมไปถึงพรรคสันนิบาตเพื่อประชาธิปไตยชนชาติรัฐฉาน (Shan National League for Democracy) ก็ไม่ได้เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้เช่นกัน

รัฐบาลทหารพม่าได้เคยพยายามจัดการประชุมสมัชชาแห่งชาติมาแล้วครั้งหนึ่งในปี ค.ศ.1993  ที่มีการเดินขบวนเรียกร้องประชาธิปไตยทั่วประเทศ การประชุมในครั้งนั้นไม่ได้เกิดผลอะไร ซึ่งพรรคเอ็นแอลดีได้เดินออกจากที่ประชุม รัฐบาลทหารพม่ายืนยันว่ารัฐธรรมนูญใหม่นี้จะเป็นการหยั่งรากบทบาทของกองทัพในการปกครองประเทศเป็นการถาวร ซึ่งผู้ที่เรียกร้องประชาธิปไตยไม่สามารถยอมรับได้ หลังจากนั้น พรรคเอ็นแอลดีได้รับคะแนนเสียงท่วมท้น ชนะการเลือกตั้งในปี ค.ศ. 1990 แต่ก็ถูกกองทัพยึดอำนาจในที่สุด

นายพลอาวุโสในรัฐบาลทหารพม่าไม่ได้ใส่ใจเรื่องประชาธิปไตยในประเทศเลย  ประเทศพม่าที่ถูกมองจากนานาชาติว่าเป็นประเทศนอกคอกนั้นเป็นสิ่งที่น่าเจ็บปวด สหรัฐอเมริกามีมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ ประกอบกับการบริหารเศรษฐกิจภายในประเทศที่ล้มเหลวก็ทำให้เกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจขึ้น ประเทศในภูมิภาคเอเชียที่หัวเสียกับการหลั่งไหลของยาเสพติดและผู้ลี้ภัย ต่างก็พยายามกดดันให้พม่ามีความคืบหน้าในการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองโดยเร็ว  การประชุมร่างรัฐธรรมนูญนั้นเป็นเพียงการเล่นเกม เป้าหมายเพียงอย่างเดียวก็คือการแสดงให้นานาชาติเห็นว่าท่านผู้นำทั้งหลายมีความจริงใจในการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเท่านั้น  ผู้ลี้ภัยที่หนีภัยมาอาศัยอยู่บนเทือกเขาแห่งนี้จะอยู่ที่นี่ต่อไปเพื่อรอคอยการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต


ยามที่สายหมอกแห่งรุ่งอรุณจางลง ก็จะมองเห็นหุบเขาอยู่เบื้องล่าง ที่ที่ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยเพาะปลูก สร้างบ้านเรือน และเลี้ยงลูกเลี้ยงหลาน  จากที่นี่หุบเขาเบื้องล่างเปรียบเสมือนแหล่งน้ำกลางทะเลทรายที่อยู่ท่ามกลางกองหินเกลื่อนกลาด แต่ทว่า หุบเขาเบื้องล่างไม่ได้แตกต่างจากที่อื่น ๆ ในประเทศพม่าเลย เพราะต่างก็ถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมนและความสะพรึงกลัวจากผู้ปกครองที่ถืออาวุธอยู่ในมือเช่นกัน


*Inter Pares เป็นองค์กรจากประเทศแคนาดาที่ทำงานเพื่อสร้างความเข้าใจในสาเหตุและผลกระทบของความยากจน ความไม่เป็นธรรม ความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงทางสังคม โดยเข้าไปให้การช่วยเหลือในประเทศที่กำลังพัฒนาในด้านสุขภาพ ความปลอดภัย และอนาคตที่มั่นคง
www.interpares.ca