ไทใหญ่ ความจริงเกี่ยวกับญาติที่ถูกลืม

โดยสุณัย ผาสุข
ที่ปรึกษากรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา

ความเป็นมาของผู้ลี้ภัยไทใหญ่

การที่เผด็จการทหารเข้าปกครองประเทศอย่างเบ็ดเสร็จในปี พ.ศ.2505 ได้เปลี่ยนประเทศพม่าให้กลายเป็นแดนมิคสัญญี โดยมีนโยบายสำคัญประการหนึ่งที่ใช้เป็นข้ออ้างในการผูกขาดอำนาจ คือ การสร้างเอกภาพและความเป็นปึกแผ่นให้เกิดขึ้นในพม่าภายใต้ ระบอบ “สหภาพ” แต่ในความเป็นจริงนั้น เผด็จการทหารกลับ แสดงความเหนือกว่า(Supremacy) ของชนชาติพม่าด้วยการ พยายามควบคุมและปราบปรามชนกลุ่มน้อยต่างๆ อย่างต่อเนื่อง โดยไม่เคารพเจตนารมณ์ของข้อตกลงปางหลวง ซึ่งเป็นสาระสำคัญ ของรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2490 ที่ระบุว่า ชนชาติต่างๆ ที่ได้ร่วม ลงนามในข้อตกลง คือ ไทใหญ่ คะฉิ่น และฉิ่นมีสิทธิที่จะแยกตัว เป็นอิสระ หลังจากอยู่ร่วมกันในสหภาพครบ10ปี นับจากวันที่พม่า ได้รับเอกราชจากอังกฤษ คือ วันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2491


ในบรรดาพื้นที่ชนกลุ่มน้อยต่างๆ ทั่วประเทศพม่า รัฐฉาน เป็นพื้นที่ที่มีการสู้รบ และปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่าง รุนแรงเกิดขึ้นมากที่สุดแห่งหนึ่ง ประวัติศาสตร์การสู้รบของชาว ไทใหญ่ เปิดฉากขึ้นตั้งแต่ที่รัฐฉานครบกำหนดแยกตัวเป็นอิสระเมื่อปี พ.ศ. 2491 แต่รัฐบาลพม่ากลับส่งกำลังทหารบุกเข้ายึดครองรัฐฉาน

กองกำลังไทใหญ่ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วไปคือ กองทัพรัฐฉาน (Shan State Army หรือ SSA) ที่ในช่วงหนึ่งมีการแยกตัวเป็น กองทัพปฏิวัติฉาน (Shan United Revolutionary Army หรือ SURA) และต่อมาใช้ชื่อว่า กองทัพเมืองไต (Mong Tai Army หรือ MTA) มีขุนส่าเป็นผู้นำสูงสุด ระหว่างปี พ.ศ. 2528 ถึง พ.ศ. 2539 ชื่อเสียง ของ MTA ก็เป็นที่รู้จักในฐานะกองกำลังติดอาวุธชาวไทใหญ่ที่ ทันสมัยที่สุด เพราะมีรายได้จากธุรกิจยาเสพติดมาซื้ออาวุธปีละ หลายพันล้านบาท อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ MTA จะเป็นกองกำลัง ชนกลุ่มน้อยฝ่ายต่อต้านรัฐบาลพม่าที่ใหญ่ที่สุด แต่ระบบภายใน ของกองทัพไม่มีความเข้มแข็ง ทหารเป็นจำนวนมากหนีออกจาก กองทัพ จนท้ายที่สุดในปี พ.ศ. 2539 ขุนส่าก็เข้ามอบตัวกับรัฐบาล พม่า โดยปัจจุบัน ขุนส่าอาศัยอยู่ในกรุงย่างกุ้งภายใต้การอารักขา ของรัฐบาลพม่าและได้รับเงินค่าใช้จ่ายเดือนละประมาณ 3 แสนบาท

ช่วงเวลาเดียวกันกับที่ MTA ล่มสลาย ทางด้าน SSA ซึ่งต่อสู้ เพื่อชาวไทใหญ่มาอย่างยาวนานและไม่มีภาพพจน์แปดเปื้อนกับ ยาเสพติดเหมือนขุนส่าก็เริ่มแตกกระจายเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย เช่นเดียวกันเพราะไม่มีผู้นำที่เป็นเสาหลัก โดยแต่ละกลุ่มต่างก็ พยายามควบคุมพื้นที่เท่าที่ศักยภาพและกำลังพลที่มีอยู่จะเอื้อ อำนวย รัฐบาลพม่าส่งกองกำลังเข้าควบคุมพื้นที่ที่เคยเป็นเขต อิทธิพลของขุนส่า พร้อมๆ กับส่งกองกำลังบุกโจมตีหมู่บ้านในพื้นที่ ส่วนต่างๆของรัฐฉานอย่างหนัก จนในที่สุดกองกำลังไทใหญ่เริ่ม อ่อนกำลังลงและยอมเจรจาหยุดยิงกับรัฐบาลพม่าไปทีละกลุ่ม

ถึงแม้ปัจจุบัน เผด็จการทหารที่เรียกตัวเองว่า สภาเพื่อ สันติภาพและการพัฒนาแห่งรัฐ (State Peace and Development Council หรือ SPDC) จะอยู่ในฐานะที่มีความเป็นต่อ ทางทหารและทางการเมืองจนสามารถกดดันให้กองกำลังไทใหญ่ และชนกลุ่มน้อยอื่นๆ อีกหลายกลุ่มยอมหยุดยิง1 แต่นั่นก็ไม่ได้ หมายความว่าสันติภาพจะเกิดขึ้นอย่างยั่งยืน เพราะตราบใดที่ยัง ไม่มีการแก้ไขปัญหาความไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับสิทธิในการปกครอง ตนเองของชนกลุ่มน้อย ทั้งในทางการเมืองการปกครอง การพัฒนา เศรษฐกิจและการใช้ทรัพยากร ตลอดจนปัญหาการละเมิดสิทธิ มนุษยชนอย่างรุนแรงในพื้นที่ชนกลุ่มน้อย ตราบนั้น เชื้อไฟของ ความขัดแย้งก็จะยังไม่มอดดับไปง่ายๆ

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดในเรื่องนี้คือ สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ในรัฐฉาน ซึ่งรัฐบาลพม่าดำเนินนโยบายที่เรียกว่า“สี่ตัด”(Four Cuts) อย่างเข้มงวด วิธีการหลักๆของนโยบายนี้คือการนำเอาชาวบ้าน ไปคุมขัง ทรมานหรือสังหาร หากรู้ว่ามีการติดต่อกับกองกำลังชน กลุ่มน้อย หรือการบังคับขู่เข็ญและปล้นเอาพืชผลในไร่นา อาหาร สัตว์เลี้ยง เงินสด และสิ่งของมีค่าต่าง ๆ จากชาวบ้าน หรือการ บังคับ ให้ชาวบ้านไปใช้แรงงานในกองทัพ และลิดรอนเวลา ที่จะทำงานอื่นใด หรือการบังคับให้โยกย้ายถิ่นฐานไปยังพื้นที่ที่อยู่ ภายใต้การควบคุมโดยตรงของกองทัพรัฐบาลพม่า โดยรัฐบาลพม่า ใช้กำลังบังคับประชาชนกว่า 300,000 คนจากหมู่บ้านกว่า 1,400 แห่งจากทางภาคกลางของรัฐฉานให้ย้ายออกจากถิ่นที่อยู่อาศัยเพื่อ กดดันกองกำลังไทใหญ่ที่ยังทำการสู้รบกับรัฐบาลพม่า ซึ่งขณะนี้ เหลืออยู่เพียงกลุ่มเดียว คือ กองทัพรัฐฉานใต้ (Shan States Army’s Southern Command หรือ SSA South) ของเจ้ายอดศึก

 นอกจากนี้ รัฐบาลพม่ายังประกาศให้พื้นที่ที่กองกำลังของเจ้ายอดศึกปฏิบัติการอยู่เป็น “เขตยิงอิสระ” (Free-Fire Zone) คือ ถ้าหากกองกำลังรัฐบาลพม่า พบใครในเขตนี้จะสามารถสังหารได้ทันที นโยบายนี้ส่งผลกระทบ ต่อประชาชนไทใหญ่อย่างมาก เพราะทหารพม่าให้เวลาย้าย ข้าวของไม่เกิน 7 วัน หลังจากนั้นถ้าพบใครอยู่ในหมู่บ้านจะยิงทิ้ง ทันที ชาวบ้านส่วนใหญ่ต้องจากบ้านเดิมของตัวเองในช่วงก่อนฤดู เก็บเกี่ยวเสบียงอาหารจากปีที่แล้วเหลือไม่มากพอให้ประทังชีวิต เมื่อย้ายไปอยู่ในค่ายอพยพที่ไม่มีเสบียงอาหาร ชาวบ้านบางส่วน จึงขออนุญาตทหารพม่ากลับไปเก็บเกี่ยวผลผลิตของตนที่บ้านเดิม โดยต้องเสียค่าใบอนุญาตกลับบ้าน แต่ผลมักถูกทหารพม่าอีกกลุ่ม หนึ่งสังหารอย่างโหดเหี้ยมทารุณ เช่น ทหารพม่านำศพชาวบ้าน ที่ถูกตัดศีรษะจำนวน 26 ศพมาเรียงไว้ตามถนนสายเก็งลม - กุ๋นฮิง เพื่อเตือนไม่ให้ชาวบ้านออกนอกบริเวณที่จัดไว้ให้ ทั้งนี้ ในปี พ.ศ. 2540 มีรายงานการพบศพชาวบ้าน ซึ่งถูกทหารรัฐบาลพม่าสังหาร ในพื้นที่ต่างๆ ของ 11 หมู่บ้านถึง 665 คน ขณะที่ SSA ถูกกดดันจากรัฐบาลพม่าอย่างหนักนั้น กองกำลังชนกลุ่มน้อยอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเป็นพันธมิตรกับรัฐบาลพม่า และแผ่ขยายอิทธิพลในรัฐฉานอย่างรวดเร็ว คือ กองทัพรัฐว้า (United Wa State Army หรือ UWSA) ซึ่งเป็นกลุ่มมีบทบาทหลัก ในการผลิตและค้ายาเสพติด

UWSA ซึ่งมีกำลังทหารมากกว่า 20,000 คน และมีความ สามารถในการสู้รบสูงมีข้อตกลงในการหยุดยิงกับรัฐบาลพม่า คือ รัฐบาลพม่ายอมให้ UWSA มีอิสระในการหารายได้เลี้ยงตนเอง รวมถึงการผลิต และค้ายาเสพติดอย่างเป็นล่ำเป็นสัน โดยนอกจาก จะนำรายได้หลายพันล้านบาทมาบำรุงพัฒนากองทัพแล้ว ยังได้ พัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจขึ้นในรัฐฉาน ซึ่งกลายเป็นเขตปกครองของว้า ในปัจจุบัน ส่วนในทางกลับกัน UWSA ต้องช่วยรัฐบาลพม่ารบกับ กองกำลังไทใหญ่ที่ยังคงต่อสู้กับรัฐบาลพม่าในรัฐฉาน การขยาย อิทธิพลทางทหารและการเพิ่มจำนวนประชากรภายใต้ การปกครอง ของ UWSA และกลุ่มจีนโกก้าง (Kokang) นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 เป็นต้นมากลายเป็นปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งที่ ขับไล่ชาวไทใหญ่ให้ต้องอพยพออกจากถิ่นฐานเดิม เมืองศูนย์กลาง ทางเศรษฐกิจต่างๆ ของกลุ่มดังกล่าว เช่น เมืองยอน และบ้าน ยองข่า ซึ่งได้รับความช่วยเหลือในการพัฒนาจากรัฐบาลไทยเพื่อ แลกเปลี่ยนกับการแก้ไขปัญหายาเสพติดนั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นพื้นที่ ที่ UWSA และ Kokang ใช้กำลังแย่งชิงมาจากชาวไทใหญ่ทั้งสิ้น

การบังคับให้ชาวไทใหญ่โยกย้ายถิ่นฐานจากการบีบบังคับของกอง กำลังรัฐบาลพม่าและกองกำลังUWSA ซึ่งเพิ่มความรุนแรง มากขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 นี้มีความเชื่อมโยงกับการข่มขืน และล่วง ละเมิดทางเพศที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางในพื้นที่รัฐฉาน โดย เครือข่ายกิจกรรมผู้หญิงไทใหญ่ (Shan Women Action Network หรือ SWAN) และมูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ (Shan     Human Rights Foundation หรือ SHRF) ซึ่งจัดทำรายงานเรื่อง “ใบอนุญาตข่มขืน” (License to Rape) ได้เปิดโปงการกระทำของ ทหารรัฐบาลพม่าใช้การข่มขืน และความรุนแรงทางเพศเป็น เครื่องมือสำหรับการเข้ายึดครองรัฐฉาน รวมทั้งการต่อสู้กับกอง กำลังไทใหญ่อย่างต่อเนื่อง และเป็นระบบ โดยในช่วงเวลาระหว่าง ปี พ.ศ. 2539 ถึง พ.ศ.2544 นั้นพบว่า ทหารรัฐบาลพม่าข่มขืนผู้หญิง และเด็กชาวไทใหญ่ถึง 625 คน

ตั้งแต่ปี 2535 คณะกรรมาธิการด้านสิทธิมนุษยชนแห่ง สหประชาชาติ (United Nations Commission on Human Rights หรือ UNCHR) ได้ผ่านมติเพื่อคัดค้านการละเมิดสิทธิมนุษยชน ทั้งหมดในรัฐฉาน และพื้นที่ส่วนอื่นๆ ในพม่า โดยในปี 2537 UNCHR ได้มีคำแนะนำอย่างเป็นทางการที่เป็นลายลักษณ์อักษรว่า
 “รัฐบาลพม่าควรมีขั้นตอนที่จำเป็นในการที่จะวางแนวปฏิบัติของ ทหารรวมทั้งเอกชนและข้าราชการ ให้เป็นไปในแนวทางของ สิทธิมนุษยชน และมาตรฐานด้านมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ที่เป็นที่ยอมรับ เพื่อที่ว่าพวกเขาจะได้ไม่ทำการเข่นฆ่า ข่มขืน และริบเอาทรัพย์สินมาโดยพลการ หรือบังคับให้ผู้คนไปใช้แรงงาน ขนของ ย้ายถิ่นฐาน หรือไม่เช่นนั้นก็ปฏิบัติกับผู้คนโดยไม่เคารพ ศักดิ์ศรีของเขาในฐานะที่เป็นมนุษย์”

ซึ่งรายงานเมื่อต้นปี 2547 ของผู้แทนพิเศษของสหประชาชาติ สำหรับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในพม่าก็ยังคงคำแนะนำที่คล้าย คลึงกันนี้อยู่ แต่รัฐบาลพม่ากลับกระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชน ต่อประชาชนอย่างรุนแรงต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อประชาชนใน รัฐฉาน ซึ่งตกเป็นเป้าหมายของการกดขี่ และปฏิบัติการทางทหาร เพื่อหยุดยั้งความช่วยเหลือที่ประชาชนต่อ SSA และปูทางให้รัฐบาล ทหารสามารถเข้าครอบครองพื้นที่ในเขตนี้ซึ่งอุดมสมบูรณ์ด้วย ทรัพยากรธรรมชาติ รัฐบาลทหารได้บังคับให้ชาวไทใหญ่กว่า 300,000 คนให้ทิ้งถิ่นฐานในบริเวณตอนกลางของรัฐฉานเพื่อที่จะ นำพื้นที่ดังกล่าวใช้ในโครงการก่อสร้างเขื่อนพลังน้ำบนแม่น้ำสาละวิน ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือกับประเทศไทยและพลังงานไฟฟ้า ที่ได้ จากเขื่อนแห่งนี้ทั้งหมดจะถูกส่งให้กับประเทศไทย

ถึงแม้รัฐบาลไทยได้จัดตั้งค่ายผู้อพยพสำหรับประชาชนพม่า ตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. 2537 โดยอนุญาตให้องค์การพัฒนาเอกชน สามารถจัดหาให้ความช่วยเหลือแก่ผู้อพยพเหล่านั้นได้ด้วย และ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541 เป็นต้นมา ไทยอนุญาตให้สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัย   สหประชาชาติ (United Nations High Commissioner for Refugees หรือ UNHCR) ดำเนินบทบาทด้านการคุ้มครองผู้อพยพในค่าย บริเวณชายแดนแต่สำหรับชาวไทใหญ่นั้น รัฐบาลไทยกลับไม่ได้ ยอมรับให้สถานะเป็น“ผู้ลี้ภัย” ซึ่งทำให้การช่วยเหลือเป็นไปตาม หลักมนุษยธรรม และมีลักษณะ “เฉพาะกิจ” ชั่วครั้งชั่วคราว ชาวไทใหญ่จึงต้องใช้ชีวิตแบบหลบๆ ซ่อนๆ ตามแนวชายแดน หรือไม่ก็ต้องหางานทำในในฐานะแรงงานอพยพ

"ผู้ลี้ภัย" ที่รัฐไทยไม่ยอมรับ

สาเหตุสำคัญที่ทำให้รัฐบาลไทยทอดทิ้งชาวไทใหญ่มาจาก ปัจจัยที่ผสมผสานกันระหว่างทัศนะชาตินิยม และความเข้าใจที่ คาดเคลื่อนเกี่ยวกับความเป็นจริงในรัฐฉาน เป็นเวลาหลายทศวรรษมาแล้วที่ชาวไทใหญ่ได้เดินทางเข้ามาใน ประเทศไทยในฐานะแรงงานอพยพ โดยทั่วไปเป็นผู้ชายอายุ ระหว่าง 20 ถึง 40 ปี จากทั่วทุกภาคในรัฐฉาน เพื่อมาทำงาน ระหว่างฤดูแล้ง แต่ต่อมารัฐบาลพม่าได้ใช้กำลังบังคับประชาชนกว่า 300,000 คนจากหมู่บ้านกว่า 1,400 แห่งจากทางภาคกลางของ รัฐฉานให้ย้ายออกจากถิ่นที่อยู่อาศัยตั้งแต่เดือนมีนาคม พ.ศ. 2539 การบังคับให้โยกย้ายถิ่นฐานนี้เพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ปี 2540 และสิ่ง ที่เกิดขึ้นควบคู่กัน คือ ปัญหาการประหัตประหาร และการใช้การ ข่มขืนอย่างเป็นระบบต่อผู้หญิง และเด็กชาวไทใหญ่ซึ่งเพิ่มความ รุนแรงขึ้นอย่างมาก ทั้งนี้มีการประมาณว่า ชาวไทใหญ่กว่า 80,000 คนหลบหนีเข้ามาในประเทศไทยทางด้านอำเภอฝาง จังหวัด เชียงใหม่ (8,000 ถึง 15,000 คนต่อปี) ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงกว่า ตัวเลขแรงงานอพยพที่เข้ามาในอำเภอนี้ก่อนปี พ.ศ. 2539

ผู้ที่เข้ามาใหม่หลังปี 2539 ส่วนใหญ่แล้วมาจาก 12 เมือง ในรัฐฉาน ซึ่งประสบปัญหาจากการที่กองทัพรัฐบาลพม่าใช้กำลัง บังคับให้มีการโยกย้ายประชาชน จำนวนมากภายใต้โครงการ การย้ายถิ่นที่อยู่ และการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างเป็นระบบ จำนวนชาวไทใหญ่ที่เดินทางเข้ามาในไทยในแต่ละเดือน บ่งชี้ว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องกับแบบแผนของการเข้ามาหางานทำตามฤดูกาล ร้อยละ 47 ของผู้ที่เข้ามาอายุต่ำกว่า 18 ปี หรือมากกว่า 45 ปี ซึ่งแตกต่างจากแรงงานอพยพ นี่คือ การอพยพเคลื่อนย้ายของทั้ง ครอบครัวที่มีสมาชิกในครอบครัวจำนวนมากไม่ได้อยู่ในวัยทำงาน หรือสรุปได้ว่า คนเหล่านี้ไม่ใช่แรงงานอพยพแต่เป็นผู้แสวงหา ที่ลี้ภัย เป็นผู้ที่หลบหนีจากการถูกประหัตประหาร และการละเมิด สิทธิมนุษยชนอย่างเป็นระบบโดยรัฐบาลพม่า

นอกจากนี้ ยังมีปัญหาที่เกิดจากทัศนคติว่า ชาวไทใหญ่ เป็น“พี่น้อง”กับคนไทยในทางวัฒนธรรม ดังนั้น จึงสามารถผสาน กลมกลืนเข้าสู่สังคมไทยได้โดยง่าย โดยไม่จำเป็นที่จะต้องมีแหล่ง พักพิงและความช่วยเหลือใดๆ

ในอดีตชาวไทใหญ่อาจได้รับการยอมรับในสังคมไทย แต่สำหรับผู้แสวงหาที่ลี้ภัยกลับต้องกลายเป็นแพะรับบาปใน สถานการณ์ที่อัตราว่างงานในไทยเพิ่มสูงขึ้นภายหลังจากที่เกิด วิกฤติเศรษฐกิจ ในปี 2540 ซึ่งผลที่ตามมาก็คือ การเปลี่ยนแปลง ด้านนโยบายต่อแรงงานอพยพ ทั้งในด้านการกวาดล้างปราบปราม และการกล่าวหาใส่ร้ายผ่านสื่อต่างๆ เช่น ปัญหาการค้ายาเสพติด อาชญากรรม การแพร่โรคระบาด และการทำลายสิ่งแวดล้อม ในบรรยากาศเช่นนี้ ผู้แสวงหาที่ลี้ภัยชาวไทใหญ่เผชิญกับความ ยากลำบากที่จะผสานกลมกลืนเข้าสู่สังคมไทย เพราะไม่สามารถ ไปไหนมาไหนได้โดยอิสระ ต้องอยู่อย่างหลบซ่อนและจำเป็น จะต้องละทิ้งเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมเพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต เช่น ผู้หญิงจำนวนมากต้องตัดผมที่เคยไว้ยาวให้สั้นทันทีที่เข้ามาในประเทศไทย

ถึงแม้ประเทศไทยไม่ได้ลงนามในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วย สถานะผู้ลี้ภัย แต่ประเทศไทยก็มีพันธะผูกพันตามหลักกฎหมาย สากลและมาตรฐานทางด้านมนุษยธรรม ซึ่งถือได้ว่า ประเทศไทย ละเลยที่จะช่วยเหลือผู้แสวงหาที่ลี้ภัยชาวไทใหญ่ และละเมิดต่อ หลักการว่าด้วยการไม่ส่งกลับ ซึ่งถือเป็นหลักการทั่วไปทาง กฎหมายที่ทุกประเทศให้การยอมรับ ถึงแม้ประเทศนั้นๆ จะไม่ได้ ลงนามในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยสถานะผู้อพยพก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศไทยยังมีภาระหน้าที่ทั้งภายใต้หลักกฎหมาย สากลและภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญที่จะต้องส่งเสริม ปกป้อง และปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของประชาชนทุกคน ในการอาศัยอยู่ประเทศไทย ประเทศไทยลงนามในกติการะหว่าง ประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง กติการะหว่าง ประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมและ อนุสัญญาว่าด้วย การขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ และอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ภายใต้อนุสัญญาต่าง ๆ เหล่านี้ รวมทั้งปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและรัฐธรรมนูญของตนเอง ดังนั้น ประเทศไทยจึงมีภาระผูกพันที่จะต้องให้การรับรองว่าสิทธิ ของประชาชนจะต้องได้รับการคุ้มครอง เคารพ และปฏิบัติตาม เช่น สิทธิที่จะไม่ถูกเลือกปฏิบัติ อิสรภาพในการเคลื่อนย้ายถิ่นฐาน และสิทธิที่จะเป็นอิสระจาการกระทำรุนแรงทั้งปวง สิทธิที่จะมีที่ พักพิงที่เหมาะสมการได้รับดูแลด้านสุขภาพ และการศึกษาอย่าง พอเพียง เป็นต้น

สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ภายใต้กฎแห่งสิทธิมนุษยชน สากลว่าด้วยการไม่แบ่งแยกนั้น ประเทศไทยต้องไม่เลือกปฏิบัติ ต่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นการเฉพาะ แต่ต้องให้โอกาสอย่างเท่าเทียม สำหรับผู้แสวงหาที่ลี้ภัยและผู้อพยพ ชาวไทใหญ่ต้องเผชิญกับ การถูกประหัตประหาร เช่นเดียวกับชนกลุ่มน้อยอื่นๆ ที่มาจากพม่า ดังนั้น ชาวไทใหญ่จึงควรได้รับโอกาสที่เท่าเทียมกันในการเข้าอาศัย ในค่ายผู้อพยพและได้รับบริการช่วยเหลืออื่นๆ เช่นเดียวกัน

นอกจากนี้ ถ้าหากไทยจัดที่พักพิง และให้ความช่วยเหลือ ด้านมนุษยธรรมจะเป็นการให้หลักประกันความต้องการด้าน พื้นฐานในเรื่องที่อยู่อาศัย สาธารณสุข และอาหารให้แก่ชาวไทใหญ่ ซึ่งจะมีผลต่อเนื่องไปเป็นการสร้างหลักประกันว่า ชาวไทใหญ่จะไม่ เป็นแหล่งแพร่เชื้อโรคติดต่อ หรือถูกบังคับให้ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับ ยาเสพติดและอาชญากรรมต่างๆ รวมทั้งการเป็นแรงงานต่างด้าว ที่ผิดกฎหมาย หรือเข้าไปเกี่ยวข้องกับการทำลายสภาพแวดล้อม ทั้งนี้ ผู้อพยพชาวไทใหญ่มีความปรารถนาให้สังคมไทยเข้าใจว่า พวกตนเพียงขอเข้ามาหลบภัยจากการประหัตประหาร และมิได้มี ความตั้งใจจะก่อปัญหาใดๆทั้งสิ้นให้กับสังคมไทย

การจัดหาค่ายผู้อพยพแก่ชาวไทใหญ่ และการยอมรับ สถานะผู้อพยพของชาวไทใหญ่เป็นประโยชน์ต่อความมั่นคงและ การพัฒนาของประเทศไทยคือ การจัดหาค่ายที่พักอาศัยให้นั้นจะ ช่วยให้รัฐบาลไทยสามารถสร้างกฎเกณฑ์ต่างๆ ขึ้นมาควบคุม และ รักษาความสงบเรียบร้อยได้  ส่วนการจัดสร้างค่ายผู้อพยพในเขต ชนบท ห่างไกล ความเจริญก็จะนำมาซึ่งการพัฒนาโครงสร้าง พื้นฐาน และการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ใกล้เคียง โดยปัจจุบัน ค่าใช้จ่ายสำหรับค่ายผู้อพยพต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยนั้น มาจากเงินบริจาคจากองค์กรระหว่างประเทศ และรัฐบาลต่างๆ โดยในปี 2545 ได้ให้เงินจำนวน 581,037,966 บาท สำหรับการ จัดหาอาหาร และสิ่งจำเป็นพื้นฐานในการดำรงชีพ ซึ่งเงินจำนวน นี้ประมาณร้อยละ 85 มาจากรัฐบาลออสเตรเลีย คานาดา เดนมาร์ก สหภาพยุโรป อังกฤษ ไอร์แลนด์ นอร์เวย์ สวีเดน สวิสเซอร์แลนด์ และสหรัฐอเมริกา และส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 15 มาจากองค์กร พัฒนาเอกชนต่างๆ ขณะที่รัฐบาลไทยรับภาระค่าใช้จ่ายเป็น ส่วนน้อยเท่านั้น

ล่าสุด การเจรจาระหว่างรัฐบาลพม่า และสหภาพแห่งชาติ กะเหรี่ยง (Karen National Union หรือ KNU) สร้างแรงกดดัน ต่อกองกำลังของเจ้ายอดศึกอย่างมาก เพราะถ้าหากการเจรจาซึ่ง เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 16 ถึง 22 มกราคม พ.ศ. 2547 ประสบผลสำเร็จก็จะหมายความว่า กองกำลังชนกลุ่มน้อย ที่ใหญ่ที่สุดและทำการสู้รบมายาวนานที่สุดในพม่ากำลังจะปิดฉาก การต่อต้านรัฐบาลพม่าลงอย่างเป็นทางการ นอกจากนี้ รัฐบาลพม่า ยังติดต่อขอเจรจาหยุดยิงกับกลุ่มคะยา ซึ่งสู้รบอยู่ตรงข้ามชายแดน จังหวัดแม่ฮ่องสอนเช่นกัน ส่งผลให้ปัจจุบันเหลือเพียงกองกำลัง ของเจ้ายอดศึกเท่า นั้นที่ยังยืนหยัดต่อสู้กับรัฐบาลพม่า