เยือนถิ่นว้า ประเมินปัญหายาเสพติด

เรื่อง/ภาพ โดย  Ronald Ranard
ที่ปรึกษาสำนักงานยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ
(United Nations Office on Drug and Crimes – UNODC)

ชนชาติว้ากับปัญหายาเสพติด 

ชนชาติว้าเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งที่อาศัยอยู่ในรัฐฉาน ประเทศพม่า และมลฑลยูนนาน ประเทศจีน มานานหลายชั่วอายุคน  วิถีชีวิตของดั้งเดิมของชนชาติว้าเหมือนกับกลุ่มชนชาติอื่น ๆ ในภูมิภาคนี้ คือ ทำนา ทำไร่  และปลูกพืชเกษตรกรรมอื่น ๆ แบบหมุนเวียน ร่วมกับการล่าสัตว์และเก็บของป่า  ชาวว้าเคยดำรงชีวิตเกษตรกรรมแบบพอเพียง เมื่อต้องการซื้อสินค้าบางอย่างที่ไม่สามารถผลิตได้เอง เช่น เกลือ จึงนำผลผลิตในไร่นาหรือสินค้าที่ตนผลิตได้ไปขายเพื่อไปนำเงินไปซื้อสินค้าที่ต้องการ


ภาพของชาวว้าในสายตาคนภายนอก คือ ชนชาติที่ป่าเถื่อนดุร้าย เนื่องจากชาวว้าบางกลุ่มมีวัฒนธรรมการล่าหัวมนุษย์ กล่าวคือ นักรบชาวว้าที่เก่งกาจจะตัดหัวของศัตรูผู้พ่ายแพ้กลับมายังหมู่บ้านและตั้งไว้บริเวณทางเข้าหมู่บ้านเพื่อข่มขวัญศัตรูผู้มารุกราน  เมื่อเรื่องราวและภาพถ่ายของหมู่บ้านนักล่าหัวมนุษย์ถูกเผยแพร่ออกไปสู่โลกภายนอก คนส่วนใหญ่จึงเข้าใจว่า ชนชาติว้าทั้งหมดเป็นชนชาติที่ป่าเถื่อนดุร้าย  ขณะที่ชาวว้าเองได้พยายามชี้แจงในเวลาต่อมาว่า จริง ๆ แล้วชาวว้าแบ่งออกเป็น 12 กลุ่ม กลุ่มที่มีวัฒนธรรมล่าหัวมนุษย์เป็นเพียงชาวว้าบางกลุ่มที่อาศัยอยู่บนดอยสูงห่างไกล  ขณะที่ชาวว้าส่วนใหญ่มีนิสัยอ่อนน้อมและไม่ได้มีวัฒนธรรมการล่าหัวมนุษย์

วัฒนธรรมล่าหัวมนุษย์ได้ถูกบังคับให้ยกเลิกไปในช่วงปี ค.ศ. 1970 เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์พม่าเข้ามามีอิทธิพลในเขตว้า และเห็นว่าวัฒนธรรมดังกล่าว “ล้าหลัง” และ “ป่าเถื่อน”  นอกจากนี้ พรรคคอมมิวนิสต์ยังมีนโยบายรวมชาวว้าทั้งหมดให้เป็นกลุ่มเดียวกันเพื่อสร้างความเป็นเอกภาพ  คนส่วนใหญ่จึงไม่รู้ว่า จริง ๆ แล้วชนชาติว้าแบ่งออกเป็นกลุ่มแยกย่อยซึ่งมีภาษาพูดและวัฒนธรรมของตนเองนับสิบกลุ่ม

วิถีชีวิติของชาวว้าเริ่มเกิดความเปลี่ยนแปลงในช่วงร้อยกว่าปีที่ผ่านมา  หลังจากอังกฤษชนะพระเจ้าธีบอ กษัตริย์องค์สุดท้ายของพม่าในปี ค.ศ. 1886 และเข้ายึดพื้นที่ว้าและไทยใหญ่ในเวลาต่อมา   อังกฤษได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปทำการสำรวจบริเวณชายแดนรอยต่อระหว่างเขตว้ากับจีน และได้พบกับเจ้าหน้าที่ของจีนโดยบังเอิญ  ทำให้จีนเริ่มตระหนักว่าถึงการคุกคามของอังกฤษในดินแดนแถบนี้  หลังจากนั้นจีนจึงเริ่มต้นการส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาควบคุมชาวว้าในเขตพื้นที่ของตนบ้าง

การเข้ามาของอังกฤษเป็นจุดเริ่มต้นของการขยายพื้นที่ปลูกฝิ่นในเขตว้า โดยอังกฤษได้ทำการสนับสนุนให้ชาวว้าปลูกฝิ่นในฐานะพืชเกษตรอย่างหนึ่งโดยอ้อม ๆ  มาก่อนหน้านี้แล้ว  โดยหากย้อนกลับไปเมื่ออังกฤษชนะจีนในสงครามฝิ่นในปี ค.ศ. 1842  บริษัทบริติสอีสต์อินเดียของอังกฤษต้องการหาเส้นทางส่งออกฝิ่นจากอ่าวเบงกอลไปขายทางตอนใต้ของจีน หนึ่งในผลที่เกิดขึ้นจากนโยบายดังกล่าวคือสนับสนุนให้ชาวบ้านเขตตอนใต้ของจีนปลูกฝิ่นเพื่อการค้า สิ่งเหล่านี้ได้ก่อให้เกิดการขยายพื้นที่ปลูกฝิ่นจากตอนใต้ของจีนเข้าสู่เขตว้ามาตั้งแต่ก่อนอังกฤษจะเข้ามาควบคุมพื้นที่ว้าหลังจากปี ค.ศ. 1886

นับตั้งแต่จากนั้นเป็นต้นการปลูกฝิ่นในเขตว้าขยายตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ  แม้กระทั่งหลังจากพม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษในปี ค.ศ. 1948  การปลูกฝิ่นก็ยังดำเนินต่อไป โดยเฉพาะในเขตฝั่งตะวันออกของแม่น้ำสาละวิน  เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์พม่าเข้าควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของเขตว้าหลังจากปี ค.ศ.  1962   พรรคคอมมิวนิสต์พม่าได้เข้ามาครอบครองการค้าฝิ่น รวมทั้งมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิต วิธีคิด และวิธีบริหารงานของชาวว้าในหลาย ๆ ด้าน อาทิ การยกเลิกวัฒนธรรมการล่าหัวมนุษย์ วิธีคิดแบบบนสู่ล่าง เป็นต้น นอกจากนี้ พรรคคอมมิวนิสต์พม่ายังอาศัยความเป็นนักรบอันเก่งกาจของชนเผ่าว้าเป็นแนวหน้ารบกับต่อต้านรัฐบาลนายพลเนวินส่งผลให้ทหารว้าจำนวนมากเสียชีวิตในสนามรบ

สงครามระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์พม่ากับรัฐบาลดำเนินต่อไปจนกระทั่งปี ค.ศ. 1989 เมื่อผู้นำว้าคนเก่า  เจา งี่ ลาย (ปัจจุบันพิการอย่างหนักเนื่องจากสมองขาดเลือดกะทันหัน) และผู้นำปัจจุบัน เปา โหย่ เฉียง ตัดสินใจยุติความสัมพันธ์กับพรรคคอมมิวนิสต์พม่า โดยเข้ายึดเมืองปางซาง (ชื่อเดิมของเมืองหลวงของว้า) ซึ่งผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์พำนักอยู่และบังคับให้บรรดาผู้นำเก่าข้ามแม่น้ำเล็ก ๆ ซึ่งกั้นพรมแดนพม่าไปยังฝั่งจีน

หลังจากนั้นในปีเดียวกัน เปา โหย่ เฉียง ได้ดำเนินการตกลงหยุดยิงกับรัฐบาลทหารพม่า โดยกลุ่มว้ายืนยันว่ากองกำลังของตนจะต้องมีเขตปกครองตนเอง ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลทหารเรียกว่า “เขตปกครองพิเศษ 2” (เขตปกครองพิเศษ 1 เป็นของกลุ่มโกก้างซึ่งเซ็นสัญญาหยุดยิงก่อน) ขณะที่ผู้นำว้านิยมเรียกว่า “รัฐว้า” (ดูแผนที่ประกอบ) ภายใต้การปกครองตนเองนี้ กองกำลังว้ายังคงรักษากองกำลังของตนเองได้ หรือที่รู้จักกันว่ากองทัพสหรัฐว้า (Unite Wa State Army)  

ในปี ค.ศ. 1990 หนึ่งปีต่อมาหลังจากการตกลงหยุดยิง  ผู้นำว้าได้ประกาศแผนพัฒนาเขตว้า 15 ปี โดยมีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่การกำจัดพื้นที่ปลูกฝิ่นให้หมดไปจากเขตว้า แบ่งระยะเวลาของการดำเนินออกเป็น 3 วงรอบ วงรอบละ 5 ปี โดยในช่วงวงรอบสุดท้ายจะสิ้นลงในปี ค.ศ. 2005  ทั้งนี้ ผู้นำว้าประกาศว่า นับจากวันที่ 26 มิถุนายน ค.ศ. 2005 ซึ่งตรงกับวันต่อต้านการค้ามนุษย์และยาเสพติดสากล  (International Day Against Drug Abuse and Illicit Trafficking)   นโยบายกวาดล้างพื้นที่ฝิ่นซึ่งยังหลงเหลืออยู่ในเขตว้าจะเริ่มบังคับใช้ และฝิ่นจะต้องหมดไปจากเขตว้าในที่สุด

หากเป็นดังคำประกาศดังกล่าว นั่นหมายความว่า ในปีหน้า ประชาชนในเขตว้าจะต้องเลิกอาชีพปลูกฝิ่นอย่างถาวร คำถามที่ตามมาก็คือ ประชาชนมีความพร้อมมากน้อยเพียงใดที่จะรับมือกับนโยบายกวาดล้างที่กำลังจะมาถึงในอนาคตอันใกล้  เพราะนับตั้งแต่อังกฤษนำฝิ่นเข้ามาในดินแดนแถบนี้เมื่อร้อยกว่าปีที่ผ่านมา วิถีชีวิตแบบพึ่งตนเองของชาวว้าได้ลบเลือนไป และถูกแทนที่ด้วยเงินรายได้จากการปลูกฝิ่น ชาวว้ารุ่นปัจจุบันแทบไม่รู้จักการปลูกพืชอื่น ๆ นอกจากฝิ่น เมื่อเงินรายได้จากฝิ่นซึ่งเคยนำมาใช้ซื้อข้าวปลาอาหารกำลังจะหายไป ชาวว้าจะดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างไร

คำถามเหล่านี้กำลังรอคอยคำตอบที่จะมาถึงในปีหน้า คำตอบที่ชาวว้าอาจไม่ได้เป็น “ผู้เลือก” แต่จำเป็นต้องตอบ เช่นเดียวกับวิถีชีวิตซึ่งเข้ามาพัวพันกับฝิ่น ซึ่งชาวว้าเองอาจไม่ได้เป็น “ผู้เลือก”


แผนการพัฒนาเขตว้าก่อนถึงวันเลิกปลูกฝิ่น  

ปัจจุบัน เขตปกครองพิเศษ 1 หรือ เขตปกครองพิเศษว้า (Wa Special Region) ประกอบด้วยประชากรประมาณสี่แสนคน  ร้อยละ 72  เป็นชาวว้า รองลงมาคือกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ เช่น ไทยใหญ่ ลาหู่ อาข่า และปะหล่อง  กลุ่มเหล่านี้ปัจจุบันได้ปลูกฝิ่นเป็นหลักเพื่อชดเชยปริมาณข้าวที่ขาดแคลนหลังจากการปลูกฝิ่นได้เข้ามาผลผลิตหลักของดินแดนแถบนี้เช่นเดียวกับชาวว้า  นอกจากนี้ยังมีชาวจีนที่อาศัยอยู่ในเขตตัวเมือง คณะกรรมการกลางว้า (WCC) เป็นผู้ทำหน้าที่บริหารจัดการกิจการต่าง ๆ ในเขตนี้

เมื่อไม่นานมานี้ คณะกรรมการกลางว้าได้ทำการเปลี่ยนชื่อเมืองหลวงจาก “ปางซาง” ซึ่งพวกเขาเชื่อว่ามีความหมายเชิงลบในภาษาจีน เป็น “ปางคำ”  ซึ่งมีความหมายว่าทอง  เมืองดังกล่าวถูกพัฒนาด้วยความเร่งรีบของกลุ่มคนเมืองโดยเฉพาะคนเชื้อสายจีนและชนชั้นกลาง ทั้งโรงเรียน โรงพยาบาล สถานีวิทยุโทรทัศน์ ไปจนถึงสถานบันเทิง โรงแรม  ร้านค้าขนาดใหญ่ โรงงานอุตสาหกรรมมากมายถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็ว ถนนหลายสายถูกปูลาด และระบบการสื่อสารทางไกลได้รับการพัฒนาอย่างดี ทั้งโทรศัพท์ระหว่างประเทศและการติดต่อทางอีเมล์ผ่านเครือข่ายของจีน

ทว่า ท่ามกลางการพัฒนาเมืองอย่างเร่งรีบทำให้เกิดช่องว่างระหว่างประชาชนในเขตเมืองและชนบทมากขึ้นเรื่อย ๆ  เนื่องจากโครงการพัฒนาสาธารณูปโภคและอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เช่น โรงหลอมดีบุก โรงงานกระดาษ และสวนยาง เป็นการพัฒนาซึ่งรวมศูนย์อยู่ในเมือง ขณะที่ประชาชนยากจนที่ปลูกฝิ่นส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเขตชนบทยังเข้าไม่ถึงการพัฒนาต่าง ๆ เหล่านี้ และยังต้องเผชิญกับปัญหาพื้นฐานที่ว่า พวกเขาจะมีชีวิตอยู่รอดในแต่ละวันได้อย่างไร หากไม่มีรายได้จากการปลูกฝิ่นอีกต่อไป

นอกจากนี้ วิธีการบริหารงานแบบบนสู่ล่างของคณะกรรมการว้าซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากลัทธิคอมมิวนิสต์และรากฐานสังคมทางทหารได้ก่อให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ เนื่องจากผู้มีอำนาจระดับบนเป็นผู้ตัดสินใจและบังคับให้ผู้มีอำนาจระดับรองลงมาปฏิบัติตามในลักษณะบังคับ  โดยไม่ได้พิจารณาถึงปัญหาซึ่งเกิดขึ้นในภาคปฏิบัติ และเนื่องจากผู้นำว้ายังคงขาดประการณ์ในการพัฒนาทั่วไปและการพัฒนาทางเลือกในอาชีพต่าง ๆ ให้กับประชาชน ทำให้ประชาชนในเขตชนบทยังคงประสบกับความยากลำบาก และยังไม่มีรู้จะประกอบอาชีพใดหากนโยบายเลิกปลูกฝิ่นถูกบังคับใช้ในเดือนมิถุนายนปีหน้า

ขณะเดียวกันสำนักงานยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็นโอดีซี (UNODC) หน่วยงานของสหประชาชาติ (UN) ได้พยายามหาทางเข้าไปทำงานในพื้นที่ว้าซึ่งเป็นแหล่งผลิตฝิ่นที่มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกมานานแล้ว เมื่อผู้นำว้าประกาศแผนพัฒนาเพื่อนำไปสู่การเลิกปลูกฝิ่น   ทางยูเอ็นโอดีซีจึงเริ่มวางแผนการทำงานร่วมกับรัฐบาลทหารพม่าและผู้นำว้าอย่างเป็นทางการ  ทั้งสามฝ่ายได้ประชุมร่วมกันที่กรุงร่างกุ้งในปี ค.ศ. 1995   โดยผู้นำว้าได้เรียกร้องให้มีการช่วยเหลือทั้งจากภายในประเทศและนานาชาติเพื่อให้โครงการเลิกปลูกฝิ่นประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย

สิ่งแรกที่ยูเอ็นโอดีซีรู้สึกหนักใจในการดำเนินโครงการในเขตว้า คือ ระยะเวลาเตรียมการเลิกปลูกฝิ่นซึ่งผู้นำว้าประกาศไว้ในแผนพัฒนาเพียงแค่ 15 ปีนั้นสั้นจนเกินไป  โดยผู้นำว้าต้องการยกเลิกฝิ่นในปี ค.ศ. 2005 ขณะที่แผนงานของยูเอ็นโอดีซีวางเอาไว้จนถึงปี ค.ศ. 2014   สิ่งที่ยูเอ็นโอดีซีรู้สึกวิตกกังวลคือหากการปราบปรามเกิดขึ้นรวดเร็วเกินไป ขณะที่ชาวบ้านยังไม่มีทางเลือกในอาชีพใหม่ ชาวบ้านจะต้องเผชิญกับวิกฤติการดำรงชีวิตขั้นพื้นฐานซึ่งจะนำสู่ปัญหาสังคมและปัญหาอื่น ๆ ตามมามากยิ่งขึ้น

ลักษณะการทำงานของยูเอ็นโอดีซีในเขตว้า คือ  การให้ความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมและทางเลือกในการประกอบอาชีพทดแทนฝิ่น โดยยูเอ็นโอดีซีจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโครงการอพยพประชาชนจากพื้นที่ปลูกฝิ่นไปพื้นที่อื่น อาทิเช่น นโยบายการย้ายชาวบ้านจำนวน 10,000 คนจากหมู่บ้านบนดอยสูงซึ่งห่างไกลจากแหล่งน้ำลงมาอยู่พื้นราบในเขตหุบเขาเมืองกา (Mong Kar)  ผู้นำว้าเป็นผู้ออกคำสั่งและดูแลการโยกย้ายด้วยตนเอง  หน้าที่ของยูเอ็นโอดีซีคือการเข้าไปช่วยพัฒนาทักษะในการปลูกพืชชนิดใหม่และพัฒนาระบบการชลประทานจนชาวบ้านสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ในพื้นที่ใหม่

หรืออีกโครงการหนึ่งที่คนไทยรู้จัก คือ การย้ายชาวว้าหลายหมื่นคนมาอยู่ตรงข้ามชายแดนจังหวัดเชียงใหม่  เพื่อให้ชาวบ้านประกอบอาชีพอื่นแทนการปลูกฝิ่น  โครงการนี้ได้รับการช่วยเหลือในการพัฒนาอาชีพใหม่จากมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงของไทย  ซึ่งเคยมีประสบการณ์ทำงานลดพื้นที่ปลูกฝิ่นของชาวเขาในประเทศไทยจนประสบความสำเร็จและรู้จักกันดีในชื่อ “โครงการดอยตุง”  การเข้าไปช่วยเหลือชาวว้าครั้งนี้จึงถูกเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า “โครงการดอยตุง 2” หรืออีกชื่อหนึ่งตามภาษาพม่าว่า “โครงการหยองข่า”


การทำงานของยูเอ็นโอดีซีในพื้นที่ว้าแบ่งออกเป็น ช่วงโครงการทดลอง (pilot project) เริ่มต้นในปี ค.ศ. 1994 – 1996   และช่วงโครงการสมบูรณ์แบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่หนึ่งระหว่าง ค.ศ. 1996 – 2000  ระยะที่สองระหว่าง ค.ศ. 2000 – 2003  และระยะที่สาม (สุดท้าย) ระหว่าง ค.ศ. 2004 – 2007  เป้าหมายเมื่อเสร็จสิ้นโครงการระยะที่สุดท้าย คือ พื้นที่ปลูกฝิ่นหมดไป หรืออาจเหลือในสัดส่วนที่น้อยมากดังเช่นประเทศไทยในปัจจุบันซึ่งพื้นที่ปลูกฝิ่นยังมีอยู่ แต่เป็นสัดส่วนที่น้อยมาก

ปัญหาของยูเอ็นโอดีซีเมื่อเริ่มต้นทำงานในพื้นที่ว้า   คือ มีข้อถกเถียงอย่างหนักภายในเจ้าหน้าที่ยูเอ็นเรื่องความเหมาะสมในการทำงานในพื้นที่แห่งนี้ เนื่องจากนานาชาติมีนโยบายคว่ำบาตรรัฐบาลทหารพม่า แต่เมื่อพิจารณาถึงปริมาณการปลูกฝิ่นในพื้นที่ว้าซึ่งเป็นแหล่งผลิตขนาดใหญ่ของโลก หากยูเอ็นโอดีซีไม่เข้าไปทำงานในพื้นที่นี้ ปัญหายาเสพติดของโลกก็จะไม่ลดลง  ข้อถกเถียงจึงยุติลง แต่ทว่า ยูเอ็นโอดีซีต้องเผชิญปัญหาใหม่ที่ตามมาก็คือการระดมทุน เนื่องจากหลายประเทศไม่ต้องการให้เงินสนับสนุนกับโครงการต่าง ๆ ในประเทศพม่า    อย่างไรก็ตาม หลังจากการพยายามเขียนโครงการเสนอแหล่งทุนต่าง ๆ ยูเอ็นโอดีซีก็ได้เงินจำนวนหนึ่งสำหรับเริ่มต้นโครงการในดินแดนซึ่งคนภายนอกน้อยคนเคยมาเยือน  

โครงการทดลองที่เมืองโหเตา (Ho Tao) ทางภาคใต้ของเขตว้า เป็นเมืองขนาดเล็ก คิดเป็นสัดส่วนไม่ถึงร้อยละ 10 ของเขตว้า  เนื่องจากการทำงานที่เมืองแห่งนี้เป็นการทำงานร่วมกันครั้งแรกระหว่างยูเอ็นโอดีซีกับผู้นำว้า  ยูเอ็นโอดีซีจึงต้องพยายามสร้างความเชื่อมั่นและไว้วางใจให้เกิดขึ้นมากที่สุด เพราะนั่นความถึงการทำงานร่วมกันในระยะยาว  และด้วยเมืองแห่งนี้มีขนาดเล็ก ยูเอ็นโอดีซีจึงสามารถเรียนรู้การทำงานร่วมกับผู้นำว้าได้ไม่ยาก และทั้งสองฝ่ายก็ได้ทำงานขยายพื้นที่การทำงานร่วมกันไปทีละน้อย จนปัจจุบันโครงการสมบูรณ์ได้ดำเนินมาจนถึงระยะที่สามซึ่งเป็นระยะสุดท้าย  และกำลังจะสิ้นสุดลงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

โครงการสมบูรณ์ระยะแรกเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1998  โดยยูเอ็นโอดีซีต้องทำงานในหลายระดับ คือ ระดับรัฐบาล คือ การลงนามเอกสารโครงการร่วมกับรัฐบาลพม่าและรัฐบาลจีน  หลังจากนั้นจึงเริ่มต้นเจรจากับคณะกรรมการกลางว้าและกองทัพว้าซึ่งเป็นผู้มีอำนาจบริหารในพื้นที่ โดยทั้งสองกลุ่มหลังไม่คุ้นเคยกับการทำงานชุมชนและการทำงานร่วมกับยูเอ็นโอดีซี  นอกจากนี้ผู้นำว้าหลายคนยังคงไม่เชื่อมั่นในนโยบายของทั้งรัฐบาลพม่าและจีน

เป้าหมายของโครงการสมบูรณ์ระยะแรก คือ สร้างรากฐานชุมชนที่มั่นคงอันจะไปสู่การลดและกำจัดความต้องการฝิ่นในท้องตลาดเขตพื้นที่ว้า  พื้นที่ดำเนินโครงการคือ พื้นที่ภายในและรอบ ๆ เมืองป็อก (Mong Pawk) ทางทิศตะวันตกของเมืองโห เตา (Ho Tao) ซึ่งเป็นพื้นที่โครงการทดลอง  จำนวนครอบครัวที่อยู่ภายใต้โครงการนี้ประมาณร้อยละ 20 ของพื้นที่ว้าทั้งหมด   ส่วนโครงการระยะที่สองได้ขยายพื้นที่รอบ ๆ เมืองป็อกและเมืองโห เตา

การดำเนินโครงการทั้งสองระยะได้มีการเตรียมการที่จะนำไปสู่การสนับสนุนสองทาง คือ ทางเลือกในการประกอบอาชีพ อาทิ เกษตรกรรม  เลี้ยงสัตว์   และการพัฒนาด้านการศึกษา สาธารณูปโภค และการพัฒนาอื่น ๆ ในชุมชน  ในระหว่างการดำเนินโครงการระยะที่สอง คือ ช่วงปี ค.ศ.  2001 และ 2002  ยูเอ็นโอดีซีประสบปัญหาขาดแคลนงบประมาณ ทำให้ต้องมีการปรับปรุงแก้ไขโครงการบางส่วน และบางโครงการต้องหมดระยะเวลาดำเนินโครงการเร็วกว่าที่วางแผนไว้

ปัญหาในการระดมทุนของยูเอ็นโอดีซี คือ ไม่มีแหล่งทุนใดเป็นผู้บริจาครายใหญ่ที่ครอบคลุมงบประมาณทั้งหมด  มีเพียงแหล่งทุนรายย่อยที่เลือกบริจาคเงินให้เฉพาะบางกิจกรรม  ทำให้การดำเนินงานไม่สามารถทำได้ครอบคลุมตามที่วางแผนไว้ทั้งหมด

ด้วยเหตุนี้ ยูเอ็นโอดีซีจึงพยายามแก้ปัญหาเรื่องการระดมุทนโดยการก่อตั้งโครงการว้าและโกก้าง หรือ KOWI  ในปี 2003  ซึ่งเป็นองค์กรที่เกิดจาการรวมตัวกันแบบหลวม ๆ จากองค์กรต่าง ๆ ที่ทำงานในพื้นที่ว้าและโกก้าง(ยกเว้นตัวแทนรัฐบาลของประเทศต่าง) ประกอบด้วยเอ็นจีโอจากหลายประเทศ อาทิ องค์กร Malteser ของเยอรมัน  องค์กร AMI ของฝรั่งเศส   รวมทั้งโครงการอาหารโลกของสหประชาชาติ หรือ WFP  และองค์การเกษตรกรรมและอาหาร หรือ FAO  เป็นต้น

ปัจจุบัน การทำงานของยูเอ็นโอดีซีอยู่ในช่วงโครงการสมบูรณ์ระยะสุดท้าย ซึ่งสำนักงานใหญ่ประจำกรุงเวียนนากำลังวางแผนขยายพื้นที่การทำงานให้ทั่วเขตว้าและจะยุติการทำงานในพื้นที่นี้หลังจากปี 2007 โดยวางแผนให้โครงการว้าและโกก้างรับช่วงงานที่เหลือในเขตพื้นที่ว้าต่อไป

บทเรียนการทำงานในพื้นที่ว้า 

สิ่งที่ยูเอ็นโอดีซีวิตกกังวลคือ ปัจจุบัน ประชาชนว้าในระดับรากหญ้าส่วนใหญ่ยังคงประสบปัญหาเรื่องปากท้อง ไม่มีทางเลือกในอาชีพ ขณะที่โครงการช่วยเหลือของยูเอ็นโอดีซีเองก็ยังขยายไปไม่ครอบคลุมพื้นที่ว้าทั้งหมด เนื่องจากแผนงานของยูเอ็นโอดีซีที่วางไว้ต้องการใช้เวลามากกว่าแผนงานของผู้นำว้าถึงสิบปี  เมื่อพิจารณาบทเรียนการปราบปรามพื้นที่ปลูกฝิ่นในเขตโกก้าง ซึ่งประกาศห้ามปลูกฝิ่นเมื่อปี 2002  พบว่า ชาวบ้านส่วนใหญ่ซึ่งเป็นชาวจีนหรือจีนโกก้าง ส่วนใหญ่ปลูกฝิ่นเป็นอาชีพหลัก  และยังไม่มีทักษะในการประกอบอาชีพอื่น  เมื่อถูกห้ามปลูกฝิ่นอย่างกระทันหันและไม่มีอาชีพใหม่รองรับ ชาวบ้านจึงเผชิญกับการขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรง ประชาชนจำนวน 60,000 คนจาก 200,000 คน  ได้พากันอพยพออกจากพื้นที่โกก้างไปปลูกฝิ่นในพื้นที่อื่นซึ่งไม่มีการกวาดล้างพื้นที่ปลูกฝิ่น

ปัญหาที่ตามมา นอกจากพื้นที่ปลูกฝิ่นจะเพิ่มขึ้นในพื้นที่อื่นแทนก็คือปัญหาด้านการศึกษาและสุขภาพ  เพราะเด็ก ๆ จำนวนมากต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน และสุขภาพอ่อนแอเมื่อย้ายไปอยู่พื้นที่ใหม่ซึ่งมีสภาพอากาศไม่คุ้นชิน   ดังนั้น โครงการระยะที่สามซึ่งยูเอ็นโอดีซีกำลังเริ่มต้นปฏิบัติงานจึงมีเป้าหมายเพื่อช่วยป้องกันปัญหานานาชนิดที่จะเกิดขึ้นเมื่อนโยบายการปฏิบัติการทำงานก่อนที่จะสั่งห้ามปลูกฝิ่นเริ่มบังคับใช้

จากการทำงานร่วมกับผู้นำว้าของยูเอ็นโอดีซีในช่วงหลายปีที่ผ่านมาพบสิ่งที่น่าสังเกตคืออิทธิพลทางความคิดแบบบนสู่ล่างซึ่งผู้นำว้าได้รับมาจากพรรคคอมมิวนิสต์พม่าช่วงกลางทศวรรษ 1960 จนถึง 1989 ทำให้ผู้นำว้าละเลยการทำงานกับชุมชนและไม่เข้าใจการทำงานของยูเอ็นโอดีซีในช่วงระยะเริ่มต้น  แต่หลังจากทำงานร่วมกันเป็นเวลาหลายปีจนเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจกันมากขึ้น  ผู้นำว้าจึงค่อย ๆ เริ่มนำแผนการทำงานกับชุมชนของยูเอ็นโอดีซีหลอมหลวมเข้าสู่แผนการทำงานของผู้นำว้าในที่สุด

โครงการระยะที่สามซึ่งกำลังดำเนินงานในปัจจุบันจึงถูกออกแบบเพื่อขยายจุดแข็งของโครงการที่มีอยู่เดิมเข้าสู่พื้นที่ส่วนที่เหลือในเขตว้า  และพยายามใช้วิธีการทำงานและการวางแผนร่วมกัน นอกจากนี้ โครงการระยะนี้จะยังคงมุ่งเน้นการให้บริการทางสังคมและการลดปริมาณความต้องการยาเสพติด รวมทั้งกิจกรรมการพัฒนาอื่น ๆ เช่น การพัฒนาแหล่งน้ำและการผลิตทางเกษตรกรรมซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นมากที่สุดในการแก้ปัญหาการผลิตฝิ่นและการเริ่มต้นวิถีชีวิตแบบอื่น

ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ยูเอ็นโอดีซีเข้าไปเริ่มต้นทำงานในเขตว้า ได้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากองค์กรภายนอกหลายองค์กรถึงความล้มเหลวของการทำงานในพื้นที่ว่าไม่สามารถทำให้พื้นที่ปลูกฝิ่นลดลง รวมทั้งการแก้ปัญหาหาเกิดขึ้นในพื้นที่ขนาดเล็ก และไม่สามารถช่วยเหลือกลุ่มชาติพันธุ์อื่นในพื้นที่ให้เท่าเทียมกับกลุ่มชาติพันธุ์ว้า  ทว่า หากมองจากมุมของคนทำงานกับยูอ็นโอดีซีแล้ว การทำงานในเขตว้าเป็นการเรียนรู้ใหม่ ซึ่งเป็นการทำงานกับรัฐบาลและผู้นำในพื้นที่ซึ่งหลาย ๆ ประเทศไม่สามารถเข้าถึงได้   นอกจากนี้  ยูเอ็นยังคงยืนยันว่าประเทศพม่ายังคงเป็นประเทศที่ความยากจนเกิดขึ้นทุกหัวระแหง  ซึ่งไม่ควรถูกเพิกเฉยหรือเลื่อนการช่วยเหลือออกไปจนกว่าความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมาถึง

ความยากจนดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในเขตชนกลุ่มน้อย แต่แม้กระทั่งชนชาติพม่าเองก็ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน  อาทิเช่น ในพื้นที่หลักของพม่าตอนบน อัตราการตายของเด็กแรกเกิดจนถึงสี่ปีทั้งชนชาติพม่าและชนกลุ่มน้อยต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระดับชาติ หากยูเอ็นไม่ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือคนเหล่านี้ โดยทำงานร่วมกับรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ในท้องถิ่น ประชาชนจำนวนมากจะต้องเผชิญกับความทุกข์ยาก

ขณะที่นโยบายเลิกปลูกฝิ่นตามที่ผู้นำว้าประกาศไว้กำลังจะมีผลบังคับใช้อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า  กลุ่มต่าง ๆ หลายกลุ่มได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่าผู้นำว้าไม่มีความจริงใจในการแก้ปัญหายาเสพติดและนโยบายดังกล่าวไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากการโกหกหลอกลวงเพื่อที่จะให้ได้รับความช่วยเหลือจากนานาชาติเท่านั้น ทว่า สำหรับคนทำงานซึ่งทำงานคลุกคลีในพื้นที่ว้ามาเป็นเวลานับสิบปีแล้วต่างเชื่อกันว่า ผู้นำว้ามีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะยกเลิกการปลูกฝิ่น เพียงแต่แนวทางที่ดำเนินอยู่อาจยังไม่มีประสิทธิภาพมากเพียงพอ  เนื่องจากผู้นำว้าเองขนาดความรู้และประสบการณ์ในการแก้ปัญหาระดับชุมชน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่องค์กรภายนอกจะต้องเข้าไปช่วยทำให้ผู้นำว้าเรียนรู้แนวคิดและการทำงานแก้ปัญหาระดับชุมชนอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ในช่วงสองปีที่ผ่านมาผู้เขียนได้ใช้เวลามากกว่าหนึ่งเดือนในพื้นที่ว้าเพื่อการประเมินโครงการของยูเอ็นโอดีซี ผู้เขียนได้เดินทางไปเยือนเมืองหลักทั้งหมดจากเหนือจรดใต้ และจากตะวันออกสู่ตะวันตก  ประชาชนทุกแห่งรู้ถึงนโยบายยกเลิกปลูกฝิ่นที่กำลังจะมาถึงในปีหน้า และต่างวิตกกังวลว่าพวกเขาจะทำมาหากินอะไรต่อไป  เมื่อสอบถามถึงเหตุผลที่ผู้นำว้าประกาศยกเลิกปลูกฝิ่นพบข้อสังเกตที่น่าสนใจคือ เหตุผลไม่แตกต่างจากเหตุผลที่พลเอกสฤษดิ์ ธนรัชต์ ของประเทศไทยในมาใช้เลิกปลูกฝิ่นเมื่อปี ค.ศ. 1975  เพราะว่าฝิ่นเป็นสัญลักษณ์ของความล้าสมัย  หากคนไทยต้องการยกระดับประเทศให้ทัดเทียมกับประเทศอื่น คนไทยจึงต้องเริ่มปลูกฝิ่น และนับจากนั้น นโยบายลดพื้นที่ปลูกฝิ่นในประเทศไทยจึงเริ่มต้นขึ้น และใช้เวลาไม่น้อยกว่า 30 ปีในการหาหนทางลดพื้นที่ปลูกฝิ่นให้เหลือน้อยลงที่สุด

เมื่องมองย้อนกลับไปที่ประเทศพม่าซึ่งมีพื้นที่ปลูกฝิ่นขนาดใหญ่ที่สุดในโลก  การแก้ปัญหาฝิ่นให้หมดไปในชั่วระยะเวลาไม่กี่ปีคงไม่ใช่เรื่องง่าย  การให้ความร่วมมือและสนับสนุนให้นโยบายเลิกปลูกฝิ่นของผู้นำว้าให้เป็นความจริงจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพราะหากมองย้อนกลับไปถึงต้นตอปัญหายาเสพติดในพื้นที่ว้าเมื่อร้อยกว่าปีก่อนจะพบว่าปัญหายาเสพติดกับชนชาติว้าไม่ได้เกิดขึ้นโดยชนชาติว้าเพียงลำพัง แต่เกิดขึ้นเพราะอิทธิพลจากภายนอกตั้งแต่ระดับโลก ระดับภูมิภาค จนถึงระดับภายในประเทศ   การแก้ปัญหายาเสพติดให้หมดไปจากชนชาติว้าและชนชาติอื่น ๆ ในดินแดนแถบนี้จึงเป็นภาระความรับผิดชอบของโลกภายนอก โดยเฉพาะประเทศซึ่งเคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับกำเนิดและแพร่กระจายยาเสพติดในภูมิภาคแถบนี้ด้วยเช่นกัน

เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้เดินทางไปยังเมืองปางคำ เมืองหลวงของเขตว้า  ผมได้เห็นถนน โรงเรียนแห่งใหม่ สถานพยาบาล  สถานีโทรทัศน์ มินิมาร์ท และโรงแรมซึ่งผู้นำว้าได้สร้างขึ้น ถึงแม้ว่าเงินจากยาเสพติดบางส่วนได้ถูกนำมาใช้หมุนเวียนในโครงการพัฒนาหลายอย่าง แต่เมื่อเทียบกับการพัฒนาพื้นที่โดยรวมแล้วพบว่ายังห่างห่างไกลกับความต้องการของประชาชนและสิ่งที่ผู้นำว้าวาดหวังจะให้เป็น   ดังนั้น ความช่วยเหลือจากยูเอ็นและประเทศอื่น ๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็น จนกว่าชีวิตของประชาชนเหล่านี้จะหลุดออกจากความยากจน การขาดอาหาร และกลับมาพึ่งตนเองได้อีกครั้งเหมือนกับช่วงเวลาก่อนที่ฝิ่นจะเดินทางมาถึงดินแดนแห่งนี้  





คำย่อต่าง ๆ ในเรื่อง 


FAO = Food and Agriculture Organisation
KOWI = Kokang and Wa Initiative
UNODC  = United Nations Office on Drug and Crimes
UWSA = United Wa State Army
WCC = Wa Central Committee
WFP = World Food Programme



ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับชนชาติว้า*

ชนชาติว้าจัดอยู่ในกลุ่มภาษาตระกูลออสโตรเอเชียติก(Austroasiatic) สายมอญ – เขมร (Mon-Khner) โดยอยู่ในสาขาย่อยว้า – เต๋ออ๋าง  ปัจจุบัน ชนชาติว้าอาศัยอยู่บริเวณรอยต่อของ 2 ประเทศ คือ ทิศตะวันตกเฉียงใต้ของมณฑลยูนนาน ประเทศจีนและทิศตะวันออกเฉียงเหนือของรัฐฉาน ประเทศพม่า ชาวว้ามีความสัมพันธ์กับชาวลั้วะ(ละว้า) ที่อาศัยอยู่ทางภาคเหนือของไทยและพื้นที่รอบ ๆ เชียงตุงและชาวปะหล่อง(ดาระอั้ง) ซึ่งอาศัยกระจัดกระจายในรัฐฉานและบางส่วนเพิ่งอพยพเข้ามาอยู่ในอำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่  
     ชนชาติว้าในประเทศจีนมีประชากรประมาณ 350,000 คน (ตามสถิติปี  ค.ศ. 1989) อำเภอซีหมึงและอำเภอซางหยวนเป็นอำเภอปกครองตนเองของชนชาติว้า สองอำเภอนี้มีจำนวนประชากรชนชาติว้า ร้อยละ 71.3 และร้อยละ 84.6  ส่วนที่เหลือเป็นชนชาติไต(ไท) ชนชาติหยี ชนชาติลาฮู (หู่) ชนชาติปุ้งหล่าง ชนชาติเต๋ออ๋าง ชนชาติลีโซ (ซอ) และชนชาติจิงโพ
     ส่วนประชากรว้าในประเทศพม่าอาศัยอยู่ในเขตที่ผู้นำว้าเรียกว่า “รัฐว้า” หรือรัฐบาลพม่าเรียกว่า “เขตปกครองพิเศษที่ 2”  มีประชากรประมาณ 420,000 คน จากประชากรทั้งหมด 600,000 คน คิดเป็นร้อยละ 70 ของประชากรทั้งหมด   ส่วนที่เหลือเป็นชนชาติมูเซอ  ไทยใหญ่ คะฉิ่น แม้ว(ม้ง) และชนชาติอื่น ๆ รวมทั้งหมด  16 ชนเผ่า
     เมืองหลวงของรัฐว้าเพิ่งเปลี่ยนจากชื่อ “ปางคำ”  เป็น“ปางซาง”  เมื่อไม่นานมานี้ ปัจจุบันรัฐว้าแบ่งการปกครองออกเป็น 3 เขตกับ 4 อำเภอ คือ
     1. เขตพิเศษปางคำ (ปางคาม)
     2. เขตพิเศษน้ำแตน
     3. เขตพิเศษหนองเขียว
     4. อำเภอเมืองมาว
     5. อำเภอเมืองปอ
     6. อำเภอเมืองฮิน
     7. อำเภอเมืองนีกาว

*ข้อมูลจากหนังสือ “ชนชาติว้าและปัญหายาเสพติด” จัดพิมพ์โดยสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย