เมกะโปรเจ็กท์ ขุมทรัพย์ของรัฐบาล ขุมนรกของประชาชน

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โครงการพัฒนาขนาดใหญ่ของรัฐบาล หรือที่ เรียกว่า เมกะโปรเจ็กท์ ได้ผุดขึ้นในพม่าหลายโครงการ  ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับ การผลิตและส่งออกพลังงานธรรมชาติ ซึ่งในสายตารัฐบาลทหารพม่า โครงการ เหล่านี้คือแหล่งรายได้มหาศาล ที่จะสามารถเสริมเขี้ยวเล็บของกองทัพให้ แข็งแกร่งต่อไป แต่สำหรับประชาชนแล้ว พวกเขาอาจต้องเผชิญกับหายนะ ครั้งใหญ่ในชีวิต หรือต้องพบกับความสูญเสียที่ไม่อาจเรียกคืนค่าชดเชยใดๆ จากรัฐบาลได้เลย


ขุมทรัพย์พลังงานใต้สมุทร

ชายฝั่งทะเลตะวันตกของพม่าเปรียบเสมือน “ขุมทรัพย์ พลังงาน” ของประเทศเพราะอุดมไปด้วยแหล่งน้ำมันและก๊าซ ธรรมชาติใต้ทะเลจำนวนมหาศาล ในช่วงต้นปี ค.ศ. 1990(2533) รัฐบาล ทหารพม่าได้ริเริ่มโครงการขุดเจาะก๊าซธรรมชาติจากแหล่งก๊าซที่ชื่อ “ยัดดะนา” นอกชายฝั่งในอ่าวเบงกอลเพื่อส่งขายให้กับประเทศไทย โดยมีบริษัท โททอล(Total) บริษัท เชฟรอน(Chevron) บริษัท น้ำมันและก๊าซธรรมชาติพม่า (Myanmar Oil and Gas Enterprise หรือ MOGE) ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด(มหาชน) เป็นผู้ ดำเนินการ

คำว่า “ยัดดะนา” หมายถึง “รัตนะ” หรือ “แก้วมีค่า” ซึ่ง โครงการนี้มีมูลค่ายิ่งกว่าชื่อ เพราะทำให้รัฐบาลทหารพม่ามีรายได้ มหาศาลจากการขายก๊าซถึงปีละ 580 - 824 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  เรียกได้ว่ามากที่สุดในประวัติศาสตร์ของพม่านับตั้งแต่มีการลงทุนจากต่างชาติเลยทีเดียว โดยก๊าซจากแหล่งใต้ทะเลจะถูกส่งไปตามท่อใต้น้ำที่เชื่อมต่อกับแนวท่อบนบกที่ภาคตะนาวศรี ทางตอนใต้ของพม่า เข้ามา ยังเขตประเทศไทยบริเวณชายแดนจังหวัดกาญจนบุรีเพื่อป้อนให้กับ โรงไฟฟ้าในจังหวัดราชบุรี

นอกจากนี้ ใต้แหล่งยัดดะนาลงไป ยังมีแหล่งก๊าซ “เยตากุน” (แปลว่าน้ำตก) ที่รัฐบาลพม่าเตรียมผลิตขายให้ไทยอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งมีการ วางท่อก๊าซบนพื้นดินคู่ขนานไปกับท่อก๊าซยัดดะนาไปจนถึงเขต ประเทศไทย

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อมีการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ คือ การ เข้ามาของกองกำลังทหารพม่าที่ได้รับการว่าจ้างจากบริษัทต่างชาติให้ รักษาความปลอดภัย เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวมีกองกำลังของพรรค มอญใหม่(ลงนามหยุดยิงกับรัฐบาลพม่าแล้ว) และกองกำลังสหชนชาติ กะเหรี่ยง(เคเอ็นยู) ซึ่งเป็นกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ยังคงเคลื่อนไหวต่อสู้กับรัฐบาลพม่าอยู่จนถึงขณะนี้

และแม้โครงการจะใหญ่ขนาดไหน ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ แนวท่อก๊าซตลอดระยะทาง 64 กิโลเมตร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวทวาย ชาวมอญ และชาวกะเหรี่ยง กลับไม่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจหรือ แม้แต่จะรับรู้ หลายคนรู้ข่าวเรื่องโครงการดังกล่าวขณะถูกทหารเหล่านี้เกณฑ์ไปใช้แรงงาน และในขณะที่ทหารพม่ากำลังปกป้องทรัพย์สิน และดูแลความปลอดภัยบริษัทต่างชาติซึ่งหมายถึงผลประโยชน์ มหาศาลของรัฐบาลอยู่นั้น ประชาชนกลับถูกกองทัพของประเทศ ตนเองละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นร้ายแรง

ประชาชนหลายหมู่บ้านที่อยู่ห่างจากโครงการประมาณ 15 -20 ไมล์ ถูกบังคับให้ย้ายมาอยู่ใกล้ฐานทัพทหารพม่าเพื่อเป็นแนวกันชน หากเกิดการโจมตี ชาวบ้านตั้งแต่เด็กอายุ 13 ปี ไปจนถึงคนแก่อายุกว่า 60 ปี ถูกบังคับใช้แรงงานในการก่อสร้างค่ายทหาร ที่จอดเฮลิคอปเตอร์ แบกลูกกระสุน ค้นหากับระเบิดด้วยมือเปล่า และถูกบังคับให้ทำไร่ให้ ทหารโดยไม่ได้รับค่าตอบแทน ชาวบ้านจำนวนมากถูกทรมานร่างกาย และถูกฆ่าขณะที่ถูกบังคับใช้แรงงาน ผู้หญิงหลายคนถูกข่มขืน

สิ่งที่จะช่วยให้ชาวบ้านหลุดพ้นจากการเป็นแรงงานทาส คือ “จ่ายเงิน” ให้กับกองทัพ หรือไม่ก็ “หนี” ชาวบ้านที่ยากจนหลายคนจึงต้องหลบหนีเข้าป่า หรือไม่ก็ลักลอบข้ามชายแดนเข้ามาเป็นแรงงานในประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในต้นเหตุของการอพยพ ข้อมูลจากรายงานของ เอิร์ธไรทส์อินเตอร์เนชั่นแนลระบุว่า มีชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจาก โครงการท่อก๊าซไม่ต่ำกว่า 35,000 คน ขณะที่สิ่งแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ ในบริเวณดังกล่าวก็ถูกทำลายจากการลักลอบตัดไม้และล่าสัตว์ เช่นเดียวกัน

นอกจากชาวบ้านที่ต้องหนีเพื่อความอยู่รอดแล้ว แม้แต่ทหาร ในกองทัพพม่าบางส่วนก็ตัดสินใจหนีทัพเพราะทนเห็นพฤติกรรมที่ เหี้ยมโหดไร้มนุษยธรรมไม่ไหว หลายคนเปิดเผยว่าถูกบังคับให้เข่นฆ่า ทำร้ายชาวบ้านอย่างไร้เหตุผล

“ทหารทุบตีทำร้ายชาวบ้านโดยไม่มีเหตุผลจนเกือบตายคาที่  เขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลแต่ไม่นานในที่สุดเขาก็ตาย ส่วนทหารกลับ ไม่ได้รับโทษอะไรเลย” อดีตทหารคนหนึ่งที่หนีจากกองพลราบเบาที่ 282 เผย

“แม้พวกเขาจะมีเงิน ปืน และอำนาจ แต่เรามีความจริงและความ ยุติธรรมที่อยู่ข้างเราเพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม”

นี่คือคำพูดของ กะชอวา ผู้ร่วมก่อตั้งเอิร์ทไรทส์อินเตอร์ เนชั่นแนล ซึ่งเป็นองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม ที่ได้รวบรวม ข้อมูลในพื้นที่จัดทำเป็นรายงานหลายฉบับ เพื่อเปิดเผยการละเมิดสิทธิมนุษยชนของโครงการดังกล่าวสู่สายตาชาวโลกและช่วยเหลือทาง กฎหมาย โดยได้ช่วยเหลือชาวบ้านจำนวน 14 คนในการฟ้องร้องบริษัท ยูโนแคลที่มีส่วนร่วมในการละเมิดสิทธิมนุษยชนในโครงการยัดดะนา  จนได้รับชัยชนะ ศาลสหรัฐอเมริกาตัดสินว่ายูโนแคลมีความผิดจริงโดย ต้องชดใช้ค่าเสียหาย ซึ่งนับเป็นคดีแรกของสหรัฐอเมริกาที่ตัดสินโทษ จำเลยชาวอเมริกันว่ามีความผิด หลังจากละเมิดสิทธิมนุษยชนในต่าง ประเทศ ซึ่งในเวลาต่อมาบริษัทพรีเมียร์ก็ได้ถอนตัวออกจากโครงการ เยตากุนหลังจากต้านแรงกดดันไม่ไหว

ทว่า ดูเหมือนจะไม่มีอะไรมาหยุดยั้งได้ เมื่อหลายบริษัทต่าง เข้าแถวยื้อแย่งจะเข้ามาดำเนินการแทน เพราะแหล่งพลังงานแห่งนี้ เปรียบเสมือนเนื้ออันโอชะ ที่เหล่าสิงสาราสัตว์ผู้หิวโหยจ้องตาเป็นมัน และพร้อมจะตะครุบได้ทุกเมื่อหากมีโอกาสและโอกาสนี้ก็ตกเป็นของ บริษัท ปิโตรนาส มาเลเซีย

ในส่วนประเทศไทย แม้จะมีเสียงคัดค้านจากภาคประชาชนที่มีความกังวลเรื่องผลกระทบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นราคาก๊าซในพม่าที่แพง จะทำให้ค่าไฟฟ้าแพงขึ้น แนวท่อก๊าซที่พาดผ่านพื้นที่ป่าจะกระทบต่อ สิ่งแวดล้อมและชุมชน แต่ประเทศไทยก็ยังคงนำเข้าก๊าซธรรมชาติจาก โครงการดังกล่าวตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541  มาจนถึงทุกวันนี้

และแล้วในเดือนมกราคม พ.ศ. 2547 ประวัติศาสตร์ก็ดูเหมือนจะซ้ำรอยอีกครั้ง เมื่อบริษัทแดวูของเกาหลี หนึ่งในบริษัทต่างชาติที่เข้ามาบุกเบิกการสำรวจก๊าซธรรมชาตินอกชายฝั่งทะเลรัฐอาระกันในอ่าว เมาะตะมะตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 ได้ประกาศพบแหล่งก๊าซแห่งใหม่ใน บล็อก A-1 ซึ่งคาดว่าจะสามารถผลิตได้ถึง 5.4- 9.1 ล้านล้านคิวบิกฟุต และได้ตั้งชื่อขุมทรัพย์แห่งใหม่ว่า “ฉ่วย” ซึ่งหมายถึงทองคำในภาษาพม่า และหนึ่งเดือนต่อมาได้พบก๊าซเพิ่มอีกในบล็อก A-3 โครงการ “ก๊าซฉ่วย” ขุมพลังงานแห่งใหม่จึงผุดขึ้นมาท่ามกลางความยินดีของรัฐบาลพม่า

หลังจากต่อสู้กันระหว่างประเทศเพื่อนบ้านของพม่าที่หิว กระหายพลังงาน ผลปรากฏว่า จีนเป็นฝ่ายกำชัย เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2552 พม่าลงนามในข้อตกลงส่งออกก๊าซที่ได้จากโครงการก๊าซฉ่วยไป ยังประเทศจีน โดยจะมีการสร้างท่อส่งก๊าซจากเมืองจ๊อกผิ่ว รัฐอาระกัน พาดผ่านภาคกลาง ทะลุรัฐฉานตอนบนเข้าไปยังมณฑลยูนนานของจีนและส่งต่อไปยังมณฑลหนานหนิง รวมระยะทางถึง 1,100 กิโลเมตร ซึ่งโครงการนี้จะสร้างรายได้ให้กับรัฐบาลพม่าถึงปีละ 970 ล้านดอลลาร์ สหรัฐ

อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายต่างเป็นห่วงว่าโครงการดังกล่าวจะก่อให้เกิดปัญหาต่อประชาชนในพื้นที่ซ้ำรอยเหมือนโครงการยัดดะนา-เยตากุน หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะแนวท่อก๊าซที่ส่งไปยัง ประเทศจีนมีความยาวกว่าโครงการยัดดะนา-เยตากุนถึง 15 เท่า

และก็ไม่ผิดจากที่คาดการณ์ไว้ ทหารพม่าในพื้นที่ได้เพิ่มขึ้นจาก3 กองพันเป็น 43 กองพันเพื่อรักษาความปลอดภัยโครงการ ซึ่งแต่ละ กองพันมีกำลังประมาณ 300 นาย รวมแล้วจะมีทหารพม่าเข้าไปในพื้นที่ถึง 13,200 นาย ที่ผ่านมาก็มีหลักฐานมากมายที่แสดงให้เห็นว่า ประชาชนถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยทหาร และที่นี่ก็เช่นกัน ประชาชน ถูกบังคับใช้แรงงานในการสร้างถนนหนทาง ถูกยึดที่ทำกิน ชาวบ้านถูกทำร้ายร่างกายและถูกจับเพราะเข้าไปจับปลาในพื้นที่ของโครงการโดย ไม่รู้ตัว และอีกหลายเหตุการณ์ที่ไม่ต่างจากสิ่งที่เกิดขึ้นในโครงการ ยัดดะนา-เยตากุน แต่ก็ไม่มีอะไรมาหยุดยั้งรัฐบาลพม่าและเพื่อนพ้อง ได้

เมื่อปลายปี พ.ศ. 2552 โครงการก๊าซฉ่วยได้เริ่มสร้างท่าเทียบ เรือ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้างอาคารและถังเก็บน้ำมันบนเกาะ มาแต ใกล้กับเมืองจ๊อกผิ่ว รัฐอาระกัน โดยชิ้นส่วนท่อค่อยๆ ทยอยมาถึง ขณะที่ชาวบ้านในพื้นที่ได้ยินเสียงระเบิดภูเขาเป็นระยะๆ โครงการ ดังกล่าวคาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณปี พ.ศ. 2556

หากดูตัวเลขจากงบประมาณประจำปีของพม่าจะเห็นว่า เงินส่วน ใหญ่ถูกใช้เพื่อพัฒนากองทัพ ขณะที่รัฐบาลพม่าเจียดงบประมาณ สาธารณสุขและการศึกษาของประชาชนเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก จึงไม่ต้อง สงสัยว่ารายได้จากการขายขุมทรัพย์พลังงานจะหายไปไหน ขณะที่ ประชาชนในประเทศที่มีแหล่งพลังงานเหลือล้นแท้ๆ กลับจมอยู่ใน ความมืดค่อนประเทศเพราะขาดแคลนไฟฟ้า

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนรัฐบาลพม่าจะเห็นทรัพยากร ธรรมชาติเป็นเงินเป็นทองไปหมด เพราะนอกจากก๊าซใต้ทะเลที่ กระหน่ำขุดขึ้นมาขายแล้ว ยังผุดโครงการเขื่อนชุดต่างๆ บนแม่น้ำสายหลักของประเทศอีกด้วย

ลมหายใจรวยระรินของสายน้ำ 


แม่น้ำสาละวินและแม่น้ำอิระวดี คือ แม่น้ำสำคัญสองสายของประเทศพม่าที่เราคุ้นชื่อกันดี  แม่น้ำสาละวินมีต้นกำเนิดจากเทือกเขาหิมาลัย ไหลผ่านรัฐฉาน รัฐคะเรนนี รัฐกะเหรี่ยง ประเทศไทย ไหลลงสู่ทะเลอันดามันที่รัฐมอญ รวมความยาวประมาณ 2,800 กิโลเมตร

ส่วนแม่น้ำอิระวดีมีต้นกำเนิดจากแม่น้ำสองสายทางตอนบน ของประเทศ ที่ชื่อ “เมขะ” และ “มาลิขะ” แม่น้ำเมขะเกิดจากภูเขาหิมะ และแม่น้ำมาลิขะมาจากเทือกเขาหิมาลัย แม่น้ำทั้งสองสายไหลมารวมกันบริเวณสบ ซึ่งเรียกว่า มิตซง ก่อกำเนิดเป็นแม่น้ำอิระวดีไหลผ่าน ใจกลางประเทศ ก่อนจะลงสู่ทะเลที่ปากน้ำภาคอิระวดี รวมระยะทาง 2,170 กิโลเมตร

แต่แทนที่จะปล่อยให้แม่น้ำไหลลงทะเลไปเฉยๆ รัฐบาลพม่า ได้ผุดโครงการเขื่อนผลิตไฟฟ้ากั้นแม่น้ำขายให้ต่างประเทศ โดยเริ่มจาก แม่น้ำสาละวินจำนวน 4 แห่ง ซึ่งได้แก่ เขื่อน ท่าซางในรัฐฉาน (7,000 เมกะวัตต์) เขื่อนสาละวินชายแดนตอนบน (5,600 เมกะวัตต์) เขื่อนสาละวินชายแดนตอนล่าง (900 เมกะวัตต์) เขื่อนฮัตจี (600 เมกะวัตต์) ตามมาด้วยเขื่อนบนต้นน้ำอิระวดี จำนวน 8 แห่ง ซึ่งหากมีการก่อสร้างเกิดขึ้น แม่น้ำทั้งสองสายจะมีเขื่อนรวมกัน ถึง 12 แห่ง

บนแม่น้ำสาละวิน โครงการเขื่อนฮัตจีในรัฐกะเหรี่ยง ประเทศ พม่า ที่อยู่ห่างจากชายแดนไทยที่บ้านสบเมย อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน ตามลำน้ำสาละวินลงไปเพียง 40 กิโลเมตร อาจทำให้น้ำท่วมเข้าฝั่งไทย ที่บ้านสบเมย บ้านแม่สามแลบ และบ้านท่าตาฝั่ง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ส่วนในพื้นที่สร้างเขื่อนฝั่งรัฐกะเหรี่ยงที่ยังคงมีการสู้รบระหว่าง กองกำลังกะเหรี่ยงเคเอ็นยูและกองทัพพม่า นอกจากจะจมอยู่ใต้น้ำแล้ว ยังจะถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนและการยึดที่ดินของประชาชนด้วยและ อาจเกิดคลื่นอพยพมายังฝั่งไทย  

ปลายปี 2548 เมื่อการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ในนาม บมจ.กฟผ.จำกัด ลงนามบันทึกข้อตกลง (MoA) กับกรมไฟฟ้า พลังน้ำของพม่าเพื่อก่อสร้างเขื่อนดังกล่าวและในปีถัดมาบริษัทสิโน ไฮโดร บริษัทสร้างเขื่อนจากจีนก็ลงนามร่วมทุน มูลค่าการลงทุน ณ ปี 2551 ประมาณ 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.3 แสนล้านบาท ล่าสุด เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา อีแก็ตอินเตอร์เนชั่นแนลของไทย ซึ่งเป็นบริษัทลูกของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยกลับไปร่วม ลงนามในบันทึกความตกลง หรือ MoA (Memorandum of Agreement) กับผู้ดำเนินการรายอื่นๆ  ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ รัฐบาลไทยได้ประกาศ ว่าจะระงับโครงการสร้างเขื่อนฮัตจีไว้ชั่วคราว โดยมีการแต่งตั้งคณะ กรรมการขึ้นมาเพื่อให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยข้อมูลทั้งหมด พร้อมทั้งรับฟังความคิดเห็นจากชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ

ขณะที่บนต้นน้ำอิระวดีในรัฐคะฉิ่น โครงการก่อสร้างได้เริ่ม ดำเนินการโดยบริษัท China Power Investment Corporation (CPI) และ Asia World Company ของพม่า มีการก่อสร้างบ้านพักคนงาน สำนักงานต่างๆ ในพื้นที่รวมถึงมีการเกณฑ์คนงานจากฝั่งจีนเข้ามา ในโครงการ โดยไม่ฟังเสียงชาวบ้านในพื้นที่ที่พร้อมใจกันลุกขึ้นสู้ อย่างสุดความสามารถ

รัฐบาลพม่าได้เข้าพบชาวบ้านในพื้นที่เพื่อแจ้งให้ทราบถึง โครงการสร้างเขื่อน ในครั้งนั้น แม่บ้านชาวคะฉิ่นได้ลุกขึ้นอ่านจดหมายคัดค้านต่อหน้าเจ้าหน้าที่ทหารพม่าระดับสูง ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ที่ไม่ เคยเกิดขึ้นในพม่า สำหรับผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่กล้าออกมาพูดคัดค้านต่อหน้าเจ้าหน้าที่อย่างไม่เกรงกลัวต่ออำนาจ ซึ่งคลิปวิดีโอดังกล่าวได้ถูก เผยแพร่ในเว็บไซต์ข่าวต่างๆ อย่างกว้างขวาง

แต่ดูเหมือนเสียงของชาวบ้านจะไม่มีผล เพราะการผลักดัน ประชาชนกว่า 15,000 คน ออกจากพื้นที่กำลังจะเริ่มขึ้น ท่ามกลางกระแส การคัดค้านจากนักสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมทั้งของคะฉิ่นและ นานาชาติ

องค์กรเพื่อสิ่งแวดล้อมคะฉิ่น (KEO) เปิดเผยว่า หากมีการ สร้างเขื่อนมิตซง มรดกทางธรรมชาติของชาวคะฉิ่นในพื้นที่จะถูก ทำลาย หมู่บ้านกว่า  40 แห่งจะจมอยู่ใต้น้ำ นอกจากนี้การเพิ่มขึ้นของจำนวนทหารพม่าในพื้นที่สร้างเขื่อนจะก่อให้เกิดการบังคับย้ายถิ่นฐาน ทรัพยากรป่าไม้จะถูกทำลาย ซึ่งจะส่งผลให้เกิดน้ำท่วมอีกหลาย ระลอก

นอกจากนี้ จุดก่อสร้างตัวเขื่อนยังตั้งอยู่ห่างจากบริเวณรอย เลื่อนของเปลือกโลกเพียง 100 กิโลเมตร  หากเกิดแผ่นดินไหวจะทำให้เขื่อนแตกได้ ซึ่งผลกระทบต่างๆ ไม่ได้มีการสำรวจและประเมินก่อนเริ่มโครงการ มิหนำซ้ำ ไฟฟ้าที่ผลิตได้ทั้งหมดจะถูกส่งไปขายยังประเทศจีน  งานนี้ประชาชนตาดำๆ นอกจากไม่ได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ไม่ได้รับ ผลประโยชน์ แล้วยังต้องกลายเป็นผู้รับเคราะห์จากหายนะที่จะเกิดขึ้นกับบ้านเกิดอีกด้วย


เนปีดอว์ เมืองหลวงใหม่

นับเป็นปรากฏการณ์ที่สร้างความตกตะลึงให้กับนานาประเทศอีกครั้งในวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548 เมื่อรัฐบาลเผด็จการทหารพม่า ลุกขึ้นมาประกาศอำลากรุงย่างกุ้ง ย้ายเมืองหลวงใหม่ ขึ้นเหนือไป 320 กิโลเมตรยังเมืองปินมะนา ต่อมาในวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.  2548 เวลา 11.00 น. ขบวนรถบรรทุกทหาร 1,100 คัน ได้ขนย้ายทหารจาก 11 กองพันและเจ้าหน้าที่จาก 11 กระทรวงมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวง และ  ในวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2549 ซึ่งตรงกับวันกองทัพพม่า “เนปีดอว์” ซึ่งหมายถึงที่ประทับของกษัตริย์ ก็ถูกประกาศให้เป็นชื่อของเมืองหลวงแห่งใหม่อย่างเป็นทางการ

ท่ามกลางความสงสัยถึงเหตุผลของการย้ายเมืองหลวงครั้งนี้ รัฐบาลทหารพม่าได้แถลงว่า เพื่อรองรับการพัฒนาของประเทศ ซึ่งกรุงย่างกุ้งเมืองหลวงเก่าค่อนข้างแออัด ในส่วนของหน่วยงานราชการหลาย แห่งไม่สามารถขยับขยายได้ นอกจากนี้ ปินมะนายังตั้งอยู่ใจกลางประเทศ ทำให้การคมนาคมจากส่วนต่างๆ ของประเทศสะดวกขึ้น  ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการคาดว่า เบื้องหลังของการย้ายเมืองหลวงมีความเป็นไปได้ว่า พม่าอาจกลัวว่าสหรัฐอเมริกานำ กองกำลังเข้าโจมตีเหมือนที่บุกอิรัก ย่างกุ้งที่อยู่ติดทะเลจึงมีความเสี่ยง สูง และคงจะปลอดภัยกว่าหากย้ายเมืองหลวงไปยังปินมะนาเพราะตั้งอยู่ใจกลางประเทศและติดแนวเขา

บ้างก็คาดเดาว่าอาจเป็นเรื่องของ โหราศาสตร์หรือเรื่องหมอดู เบื้องลึกที่แท้จริงจะเป็นอย่างไรไม่มีใครทราบนอกจากบรรดาผู้นำทั้งหลาย แต่การย้ายจากย่างกุ้ง ซึ่งเป็นเมืองหลวงที่อังกฤษซึ่งยึด ครองพม่ามานานเป็นผู้สถาปนาขึ้น บวกกับความเชื่อที่ว่า การสร้าง เมืองหลวงในยุคของตนเองเป็นการเสริมอำนาจบารมี คงสร้างความ พอใจให้ผู้นำได้ไม่น้อย อันที่จริง การก่อสร้างเนปีดอว์ได้เริ่มขึ้นตั้งแต่ปีพ.ศ. 2545 บนพื้นที่กว่า 7 พันตารางกิโลเมตร โดยถูกแบ่งออกเป็นโซนต่างๆ คือ โซนที่พักเจ้าหน้าที่ โซนทหาร โซนเป็นที่ตั้งของกระทรวงต่างๆ โซนโรงแรม โซนการค้า โซนพักผ่อนหย่อนใจ และโซนนานาชาติ โดยมีส่วนที่เตรียมไว้สำหรับสถานทูต แต่ขณะนี้ยังไม่มีสถานทูตย้ายเข้าไป อยู่

ปัจจุบันการก่อสร้างถนนหนทาง ศูนย์การค้า สนามกอล์ฟ โรงแรม อาคารหน่วยงานราชการ และบ้านพักข้าราชการแล้วเสร็จและเปิดดำเนินการไปแล้วส่วนหนึ่ง ขณะที่ยังคงมีการก่อสร้างปรากฏให้ เห็นอยู่ทั่วเมือง เนปีดอว์มีไฟฟ้าใช้ตลอด 24 ชั่วโมง มีระบบสายโทรศัพท์ พร้อมใช้งาน แต่โทรศัพท์มือถือยังไม่สามารถใช้ได้ สนามบินที่ทันสมัย แห่งใหม่ของเนปีดอว์กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ปัจจุบัน สามารถเดินทางไปยังเนปีดอว์ทั้งทางรถไฟ รถโดยสาร และเครื่องบินโดยใช้ สนามบินปินมะนา ในส่วนของงบประมาณ

มีการคาดการจากหน่วยงานทางการ เงินระหว่างประเทศว่าอยู่ที่ ประมาณ 122-244 ล้านดอลลาร์สหรัฐใน การเนรมิตเมืองหลวงใหม่ ซึ่งมีบริษัทกว่า 25 แห่งเข้ามาดำเนินการ ก่อสร้างสาธารณูปโภคต่างๆ โดยจะได้รับสิ่งตอบแทนเป็นสิทธิ ประโยชน์ในการทำธุรกิจต่างๆ ในประเทศ หรือการสัมปทานต่างๆ ของ รัฐทั้งที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมายแทนการจ่ายเป็นตัวเงิน หนึ่งใน จำนวนนั้นคือบริษัท ทูเทรดดิ้ง เจ้าของเดียวกับสายการบินแอร์บะกัน บริษัทโทรศัพท์มือถือ และธุรกิจไม้เถื่อน ซึ่งนายเตซะ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคนของนายพล ตานฉ่วยนั่นเอง



โครงการไบโอดีเซล พลังงานทดแทนเพื่อใคร?



การผลิตน้ำมันไบโอดีเซลซึ่งเป็นพลังงานทางเลือกจากพืชที่กำลังมาแรงในยุคที่หลายประเทศเตรียมรับมือกับการขาดแคลนพลังงานที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต สำหรับพม่า ถึงแม้จะมีแหล่งพลังงานอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่ยอมตกกระแส เพราะในปี พ.ศ. 2548 พลเอกอาวุโสตานฉ่วยได้ประกาศรณรงค์ให้ประชาชนปลูกต้นสบู่ดำ หรือ แจ๊ตซู่ ในภาษาพม่า เพื่อผลิตน้ำมันไบโอดีเซลอย่างเป็นทางการ โดยตั้งเป้าที่ 20 ล้านไร่ทั่วประเทศภายในสามปี

รัฐบาลได้กำหนดให้ทั้งประชาชนทั้ง 7 รัฐและ 7 ภาคทั่วประเทศ ปลูกสบู่ดำเขตละ 1.25 ล้านไร่เท่ากันหมด โดยไม่สนใจขนาดพื้นที่ของแต่ละรัฐหรือภาคว่ามากน้อยเพียงใด งานหนักจึงตกไปอยู่ที่รัฐคะเรนนีซึ่งเป็นรัฐที่มีขนาดเล็กที่สุด ซึ่งเฉลี่ยแล้วภายในสามปีประชาชนในรัฐคะเรนนีจะต้องปลูกคนละ 177 ต้น

และเพื่อให้ได้ตามเป้าที่วางไว้ ประชาชนทุกสาขาอาชีพจึงถูกบังคับให้เข้าร่วมโครงการนี้โดยปริยาย ด้วยเหตุนี้พื้นที่ว่างในหน่วยงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบริเวณบ้าน ตามถนน ในสวน หรือ แม้แต่ในไร่ที่ติดทางหลวงจึงเต็มไปด้วยต้นสบู่ดำ โดยถือว่าเป็นหน้าที่อย่างหนึ่งของประชาชนเลยทีเดียว งานนี้ชาวไร่ชาวนาต้องเสียพื้นที่เพาะปลูกข้าวให้กับต้นสบู่ดำ แถมประชาชนยังถูกบังคับให้ไปปลูกต้นสบู่ดำในที่ดินของกองทัพ จนไม่มีเวลาทำงานเลี้ยงตนเองและครอบครัวอีกด้วย หลายคนถึงขนาดต้องพาครอบครัวอพยพไปหางานทำในประเทศเพื่อนบ้านเลยก็มี โครงการที่ดูเหมือนจะดี ก็กลายเป็นเป็นปัญหาไปเสียนี่

นอกจากนี้ในบางพื้นที่ ทางการยังใช้ที่ดินชาวบ้านเพื่อปลูกสบู่ดำอีกด้วย นอกจากไม่จ่ายค่าชดเชยแล้ว ยังเก็บเงินจากชาวบ้านเพื่อนำไปใช้ในการเพาะปลูกอีกด้วย บางส่วนอาจได้รับค่าชดเชย แต่ก็ เป็นเงินจำนวนเพียงน้อยนิด

เมื่อปลายปี 2552 ที่ผ่านมา รัฐบาลในรัฐคะฉิ่น ทางตอนเหนือ ของประเทศ ได้เริ่มโครงการปลูกสบู่ดำอีกครั้ง โดยตั้งเป้าที่ 5 แสน เอเคอร์ ขณะที่เด็กในรัฐคะฉิ่นหลายคนถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลหลังจากกินเมล็ดสบู่ดำเข้าไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ นั่นก็เพราะรัฐบาลไม่เคยพูดถึงพิษที่อันตรายของพืชชนิดนี้มาก่อน

ในส่วนของรัฐอาระกันแทบไม่ได้ผลผลิตเพราะมีสภาพภูมิประเทศที่แห้งแล้ง ข่าวล่าสุดเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2553 รายงานว่า ต้นสบู่ดำที่ชาวบ้านถูกบังคับให้ปลูกเสียหายล้มตายไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งชาวบ้านที่ปลูกสบู่ดำไม่ได้ผล ต้องจ่ายเงินให้กับรัฐบาลแทน

หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า เหตุที่รัฐบาลยังดึงดันดำเนินโครงการดังกล่าวทั้งๆ ที่รู้ว่าอาจจะไม่ได้ผล แถมยังขาดแคลนเทคโนโลยีนั้นอาจเป็นเพราะความงมงายเรื่องไสยศาสตร์มากกว่า เพราะคำว่า “แจ๊ตซู่” ซึ่งเป็นชื่อในภาษาพม่าของพืชชนิดนี้ อองเสียงคล้ายกับคำที่ความหมาย ว่า “ไก่ขัน” และหากปลูกแจ๊ตซู่ทั่วประเทศ เสียงของไก่ก็จะดังกลบเสียงประชาชน นอกจากนี้ หากสะกดคำว่าแจ๊ตซู่ในภาษาอังกฤษ (Kyet Suu) จะได้อักษรนำของแต่ละคำคือ K กับ S ตรงกันข้ามกับชื่อของนางซูจี (Suu Kyi) ที่มีอักษรนำของชื่อคือ S กับ K ยิ่งปลูกสบู่ดำมากเท่าไหร่ก็จะเป็นเคล็ดให้กลบเงาของนางซูจี ศัตรูหมายเลขหนึ่งของรัฐบาลทหารได้มากเท่านั้น

แม้มีแนวโน้มว่าโครงการดังกล่าวอาจมีอันต้องล้มพับไปในไม่ช้า แต่สำหรับปะชาชนแล้ว เจ้าแจ๊ตซู่คงจะคอยตามหลอกหลอนพวกเขาไปอีกนาน

เห็นรัฐบาลเผด็จการพม่าผลาญทรัพยากรธรรมชาติของตัวเองจากโครงการยักษ์ใหญ่ทั้งหลายที่กล่าวมาอย่างนี้แล้ว อดคิดไม่ได้ว่ากว่าประเทศจะสงบสุขและพบกับประชาธิปไตยที่แท้จริง ก็คงไม่มีอะไรหลงเหลือให้ประชาชนอีกแล้ว นอกเหนือจากเศษซากของการกอบโกยให้ไว้ดูต่างหน้าเท่านั้น



แหล่งข้อมูล
-รายงาน Total Impact , Total Denial Continue, Getting it Wrong ดาวน์โหลดได้จาก www.earthrights.org
-รายงาน Corridor of Power, Blocking Freedom, Supply and Command ดาวน์โหลดได้จาก www.shwe.org
-“Biofuel By Decree : Unmasking Burma’s bio-energy fiasco” โดย Ethnic Community Development Forum (ECDF)
-www.burmariversnetwork.org-รายงาน Damming Irrawaddy