8 ปีแห่งความล้มเหลว ของระบบสุขภาพในพม่า


เป็นที่ทราบกันดีว่า ประเทศพม่าปกครองด้วยรัฐบาลเผด็จการ ทหาร ที่มุ่งทำนุบำรุงงานด้านกองทัพเป็นสำคัญ สภาพชีวิตความเป็นอยู่ ของประชาชนในประเทศถูกปล่อยให้อยู่กันแบบตามมีตามเกิด สาธารณูปโภคพื้นฐานและสิทธิการรักษาพยาบาลขั้นต่ำที่ประชาชน ควรได้รับ ยังไม่เป็นจริงดังคำโฆษณา บทความชิ้นนี้แปลจากงานเขียน ของ Phil Thornton ซึ่งตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2553 สะท้อนมุมมองปัญหาการรักษาพยาบาลและ ปัญหาสุขภาพของคนพม่าได้อย่างชัดเจนผ่านคนไข้ในคลินิกแม่ตาว อ.แม่สอด จ.ตาก


ภาวะวิกฤตในสถานพยาบาล


แพทย์หญิงซินเทีย หม่อง คือผู้ที่ได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติด้าน สิทธิมนุษยชนจากนานาชาติกว่า 14 สถาบัน เธอได้ริเริ่มก่อตั้งคลินิก แม่ตาวในปี พ.ศ. 2531 ซึ่งตั้งอยู่บริเวณชายแดน ไทย-พม่า โดยในปีแรก ได้ทำการรักษาผู้ป่วยกว่า 2,000 คน จนถึงปัจจุบัน มีผู้ป่วยได้รับการรักษา รวมแล้วกว่า 140,000 คน

ชาวพม่าส่วนใหญ่เดินทางมาที่คลินิกเพราะไม่สามารถเข้าถึง บริการสุขภาพในประเทศตนเอง ชะตากรรมของพวกเขาเป็นสิ่งที่ สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาสุขภาพและปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในพม่า อันเกิดจากการปกครองโดยรัฐบาลเผด็จการทหารที่ ให้ความสำคัญ กับนโยบายของกองทัพมากกว่าการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน  

แม้ว่าหมอซินเทียจะได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติและคำชื่นชม มากมาย แต่เธอกลับไม่ได้มองว่านั่นคือความสำเร็จของเธอและคลินิก ตรงกันข้าม มันคือสัญญาณเตือนอะไรบางอย่างให้โลกรับรู้  เธอบอกว่า “มันไม่ใช่ความสำเร็จ แต่เป็นความล้มเหลวของรัฐบาลทหารพม่า ในการดูแลประชาชนมากกว่า”

สอดคล้องกับรายงาน Chronic Emergency จากทีมแพทย์เคลื่อนที่ (Back Pack Health Worker Team) ซึ่งเป็นหน่วยงานภาคประชาชนที่ ให้ความช่วยเหลือผู้พลัดถิ่นภายใน (IDPs) ในฝั่งตะวันออกของพม่า ระบุว่า เด็ก 1 ใน 10 คนมักเสียชีวิตก่อนอายุครบ 1 ขวบ และเด็กมากกว่า 1 ใน 5 เสียชีวิตก่อนได้ฉลองวันเกิดครบอายุ 5 ขวบ  ขณะที่ผู้หญิง 1 ใน 12 คนเสียชีวิตเพราะโรคแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ และเสียชีวิต ขณะคลอดลูก ซึ่งองค์กรสาธารณสุขจากนานาชาติพบว่า ไข้มาลาเรีย เอดส์ และวัณโรค มีอัตราการระบาดที่รวดเร็วในพม่า

หมอซินเทีย กล่าวว่าในแต่ละปีมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมีสาเหตุมาจากสถานการณ์การละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เลวร้ายลง และภาวะเศรษฐกิจในพม่าที่ตกต่ำลง ซึ่งคลินิกได้ให้การรักษาพยาบาล แก่ชาวพม่าที่เป็นแรงงานข้ามชาติ  ผู้ลี้ภัย และผู้พลัดถิ่นที่ได้รับ ผลกระทบจากทหารพม่า โดยไม่คิดค่ารักษาพยาบาลแต่อย่างใด

“เราต้องการเงินเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี เพื่อให้เพียงพอ เราไม่สามารถตั้งความหวังกับเงินบริจาคแบบระยะยาวได้ ตอนนี้เราได้รับเงินบริจาค เป็นรายปี ซึ่งสร้างความกดดันอย่างมาก เพราะยังไม่รู้ว่าจะช่วยเหลือ คนไข้ต่อไปได้หรือไม่”

หมอซินเทียเตือนว่า สถานการณ์ในพม่าจะไม่ดีขึ้นเร็วๆ นี้อย่าง แน่นอน

“มันไม่ใช่แค่เรื่องวิกฤตด้านสุขภาพเพียงอย่างเดียว ตอนนี้มัน ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ เด็กกำพร้ากำลังตกอยู่ในความเสี่ยง มันยังเกี่ยวข้อง กับผู้สูงอายุ การขาดโอกาสที่จะเข้าถึงการศึกษา ปัญหาสภาพจิตใจ ความยากจนที่เรื้อรังมานาน และความมั่นคงทางอาหาร ประเทศพม่าไม่มี ระบบสุขภาพ ไม่มีประกันสังคม ไม่มีการวางแผนสวัสดิการ ไม่มีการดูแล ความเป็นอยู่ของประชาชนในขั้นพื้นฐาน”

หมอซินเทีย กล่าวว่าชุมชนที่อยู่ห่างไกลออกไปไม่มีน้ำและ ไฟฟ้าใช้ ซึ่งเป็นความจำเป็นพื้นฐาน “สวัสดิการสังคมไม่ใช่สิ่งสำคัญ อันดับต้นๆ ที่รัฐบาลพม่าจะให้ความสนใจ พวกเขาไม่ได้เห็นประชาชนเป็นมนุษย์ แต่มองว่าเป็นเพียงสิ่งที่ต้องควบคุม”

คลินิกแม่ตาวอยู่ระหว่างสองโลก ซึ่งก็คือโลกของความเร่งรีบ วุ่นวายของตลาดแม่สอดที่เต็มไปด้วยสินค้าต่างๆ มากมาย  กับโลกอันมัวหมองที่มีแต่ความยากจนข้นแค้นของผู้คนริมแม่น้ำเมยในฝั่งพม่า

รถสองแถวโดยสารคันเก่าๆ ถูกใช้เป็นยานพาหนะวิ่งรับส่งชาวพม่าที่ข้ามพรมแดนริมน้ำเมย โดยจะจอดรับผู้โดยสารตามร้านค้า คลินิก ร้านขายยา และตลาด พวกเขาไม่ได้มาช็อปปิ้งของแบรนด์เนมหรือ สินค้าฟุ่มเฟือย แต่ส่วนใหญ่จะเป็นพวกยาสีฟัน แชมพู ยาแก้ปวด ยาแก้ไอ สบู่ ผงซักฟอก น้ำปลา น้ำมัน ปลากระป๋อง สุรา ผงชูรส บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เกลือและน้ำตาล  แม้จะเป็นของที่หาได้ทั่วไปในฝั่งนี้ แต่กลับหาซื้อได้ยากในพม่า

ตั้งแต่เช้ามืดไปจนถึงบ่ายแก่ๆ รถโดยสารที่อัดแน่นไปด้วยผู้คนจะจอดส่งผู้โดยสารหน้าคลินิกแม่ตาวได้ถึงวันละ 500 คน ซึ่งมีทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กที่ต้องการความช่วยเหลือในการรักษาพยาบาล  บางคน เดินทางมาไกลมาก อย่างเช่น ลุงมิน วัย 72 ปี ที่ขึ้นรถโดยสารมาจาก รัฐอาระกัน ชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือติดกับประเทศบังกลาเทศ โดยใช้เวลาถึง 10 วันกว่าจะมาถึงคลินิกแห่งนี้ ชายชรานั่งนิ่งอยู่ในความ เงียบเพราะความเจ็บปวด บุตรสาวของชายสูงวัยกล่าวว่า

“ตาซ้ายของพ่อบอดสนิท แต่เรามาที่นี่เพื่อรักษาดวงตาอีกข้างหนึ่งไว้ พ่อไปรักษาในพม่ามาแล้วแต่อาการไม่ดีขึ้น พวกเราได้ยินว่ามี คลินิกที่นี่จึงตัดสินใจเดินทางมา”

ทั้งลูกสาวและลูกชายของลุงมินกลัวกล้องและไม่ยอมให้ถ่ายรูป เช่นเดียวกับชาวพม่าคนอื่น โดยให้เหตุผลว่า   “ผมกับพี่สาวกลัวเจ้าหน้าที่รู้ว่าเรามาที่นี่เราอาจจะถูกไล่ออก จากงาน และลูกๆ ของเราอาจจะไม่ได้รับอนุญาตให้เรียนต่อ”

ลุงมินเพิ่งได้รับการผ่าตัดรักษาดวงตาและจะสามารถมองเห็น ได้หลังจากถอดผ้าปิดตาออก  

“พ่อยังไม่สบายใจ แต่หมอบอกว่าอีกสองสามวันตาของพ่อก็ จะหายดี ถึงตอนนั้นพ่อคงจะมีความสุข” ลูกสาวบอก

ผู้คนที่ต้องดิ้นรนหาเช้ากินค่ำอย่างลุงมินและครอบครัว ต้องทน ทุกข์อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่รัฐบาลเผด็จการทหารกำหนดไว้

หมอซินเทียอธิบายว่า ภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยทั่วโลก เงิน บริจาคน้อยลง และข้าวของที่ขึ้นราคา ไม่ว่าจะเป็น ยา อาหาร ค่าไฟฟ้า เสื้อผ้า และน้ำ ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ทำให้ศักยภาพของคลินิกลดลง ต้อง พยายามจัดการเงินบริจาคเท่าที่ได้รับให้เพียงพอกับผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น

“ในปีนี้เราคาดว่าเงินบริจาคจะลดลงเหลือ 650,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 21 ล้านบาท เพื่อชดเชยเงินที่ขาดหายไปนี้ เราจำเป็นต้อง ลดค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่อาสาสมัคร และขอให้ญาติของพวกเขาบริจาค เงินหรือข้าวสารเท่าที่พวกเขาจะช่วยเหลือได้ให้กับทางคลินิก ซึ่งก็ยัง ไม่เพียงพอ  เราอาจจำเป็นต้องลดการจ่ายยา อาหารผู้ป่วย หรือบริการ บางอย่างไป แต่พวกเราทุกคนเห็นตรงกันว่าเราไม่อยากให้มันเกิดขึ้น”

อาสุโกะ ฟิทส์เจอรัล ผู้จัดการฝ่ายการเงินของคลินิกกล่าวว่า  ยัง มีกองทุนในต่างประเทศอีกหลายแห่งที่เรายังไม่ได้ขอรับบริจาค แต่ทางคลินิกมีปัญหาในการเข้าถึงกองทุนเหล่านั้น

“มีการปรับย้ายทุนสำหรับโครงการด้านสิทธิมนุษยชนเข้าไปในประเทศพม่า และลดเงินบริจาคสำหรับกลุ่มองค์กรที่อยู่บริเวณ ชายแดนไทย เพราะว่าองค์กรที่เราเป็นอยู่เป็นเพียงองค์กรขั้นพื้นฐาน เล็กๆ ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศไทย เราจึงไม่ได้รับพิจารณาในการให้ทุน

“เราไม่ใช่องค์กรต่างประเทศขนาดใหญ่ และไม่สามารถแข่งขันกับองค์กรใดเพื่อขอรับทุนจากรัฐบาล เราเป็นเพียงองค์กรเล็กๆ ที่ ช่วยเหลือสนับสนุนคนที่อ่อนแอตามแนวชายแดน”

อาสุโกะอธิบายว่า งบประมาณของคลินิกมีเป้าหมายเพื่อ ให้การรักษาผู้ป่วยที่เดินทางจากประเทศพม่ามารักษาที่นี่ เธอกลัวว่า รัฐบาลของหลายประเทศจะไม่ให้ความสำคัญกับความต้องการของ ผู้ป่วยเหล่านี้ เพราะกำลังเร่งรีบกับการส่งเงินเข้าไปทำงานในประเทศ พม่ามากกว่า

“องค์กรเอ็นจีโอระดับนานาชาติองค์กรเดียวที่ทำงานทั้งใน นิวยอร์ก ลอนดอน หรือ บรัสเซล อาจตัดให้บริการลงได้บางส่วน แต่ พวกเราจะทำอย่างนั้นไม่ได้ หากไม่ได้รับเงินสนับสนุนเพิ่ม เราก็ต้องลดค่าใช้จ่ายลงเท่าที่จะทำได้”

และก็เป็นอย่างที่อาสุโกะกล่าวมาจริงๆ มีเงินจากองค์กรนานาชาติที่เตรียมช่วยเหลือพม่า ซึ่งสำนักงานเพื่อการประสานงานด้าน มนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ (Office for the Coordination of Humanitarian Affairs - OCHA) ได้รวบรวมรายชื่อเงินทุน ข้อตกลง ความช่วยเหลือและข้อผูกมัดเพื่อประเทศพม่า โดยพบว่ามีมูลค่าโดยรวม มากกว่า 200 ล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ ณอน เทอร์แนล นักเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยแมคเคอรี่(Macquarie) เมืองซิดนีย์ ได้กล่าวว่า พม่ายัง มีรายได้หลายพันล้านดอลลาร์จากการขายทรัพยากรธรรมชาติ แต่ รัฐบาลกลับนำทรัพยากรเหล่านั้นมาใช้เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง

การขายก๊าซให้กับประเทศไทยเพียงประเทศเดียวทำรายได้ให้ กับรัฐบาลพม่าถึง 1-2 พันล้านดอลลาร์ต่อปี

แม้ว่าจะมีหลักฐานชัดเจนว่า การทำงานกับรัฐบาลทหารพม่ามีอุปสรรคมาก แต่องค์กรด้านมนุษยธรรมจากต่างประเทศก็ยังเห็นว่า พม่าเป็นประเทศที่ต้องให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน

องค์การเฝ้าระวังสิทธิมนุษยชน หรือ Human Rights Watch (HRW) กล่าวถึงวิกฤตด้านมนุษยธรรมในพม่าว่าเป็น “เลวร้ายอันดับต้นๆ โลก” เพราะหนึ่งในสามของประชาชนในประเทศต้องมีชีวิตอยู่ภายใต้ ความทุกข์ยากกับรายได้เพียง 1 ดอลลาร์ต่อวัน  HRW ระบุว่ามีโครงการ กองทุน และตัวแทนจากสหประชาชาติ 13 ประเทศทำงานอยู่ในพม่า และองค์กรพัฒนาเอกชนระหว่างประเทศหรือ INGO (International Non-Government Organisations) จำนวน 54 องค์กรที่จดทะเบียน อย่างถูกต้องทำงานอยู่ในพม่าขณะนี้

เดวิด มาติสัน นักวิจัยจาก HRW เน้นย้ำว่า การช่วยเหลือทางด้าน มนุษยธรรมไม่ควรเป็นการแข่งขันกันระหว่างองค์กรในพื้นที่ควบคุม ของรัฐบาลกับพื้นที่บริเวณชายแดนที่มีการสู้รบ

“ผู้บริจาคหลายรายรู้สึกกังวลเกี่ยวกับการส่งความช่วยเหลือไปยังชายแดน ซึ่งการระงับความช่วยเหลือจะทำให้ประชาชนที่ประสบ ปัญหาอยู่แล้วต้องลำบากยิ่งขึ้น”

นายมาติสัน กล่าวโทษว่า วิกฤติการณ์ในพม่าเกิดจากการ ไร้ประสิทธิภาพในการจัดการเศรษฐกิจและการบริหารที่ผิดพลาดของ ผู้นำทหาร “ความยุ่งเหยิงของการพัฒนาและวิกฤติทางด้านมนุษยธรรมคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับพม่ายุคใหม่ ซึ่งเป็นผลจากการปกครองที่ใช้กฎหมาย แบบผิดๆ ความโลภ ความไร้ประสิทธิ และการขาดความใส่ใจเรื่อง ปากท้องของประชาชน”

นายมาติสันกล่าวว่า “มีหลายข้อกล่าวหาที่เกิดจากการบริหารที่ผิดพลาดของรัฐบาลทหารที่เห็นกันอยู่คือ การใช้เงินส่วนใหญ่ในการ ซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ให้กองทัพ หรือทุ่มเงินให้กับโครงการที่เป็น สัญลักษณ์ของความทันสมัย อาทิ การสร้างสะพาน ถนน และการสร้าง เมืองหลวงใหม่อย่างเนปีดอว์ เป็นต้น”

รายงานเรื่อง “The Gathering Storm” ที่จัดทำโดยวิทยาลัย สาธารณสุข จอห์น ฮอพกินส์ ได้ประมาณการว่า รัฐบาลทหารพม่า ใช้จ่ายเงินด้านสุขภาพเพียง 3 เปอร์เซ็นต์ของงบประมาณแผ่นดิน ในขณะที่กองทัพซึ่งมีทหารมากกว่า 400,000 นายทั่วประเทศ ใช้งบประมาณมากถึง 40 เปอร์เซ็นต์

นายมาติสันยังระบุว่า การขาดความรับผิดชอบในการจัดสรร งบประมาณได้สร้างความหายนะให้กับประเทศ

“การรื้อฟื้นเศรษฐกิจของพม่าต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งชั่วอายุคน พม่าเป็นประเทศที่ร่ำรวยด้วยทรัพยากรซึ่งประชาชนไม่ควรมีฐานะยากจนเช่นนี้ แต่เป็นเพราะทรัพยากรที่มีมากมายถูกขายให้กับต่างชาติส่วนผลประโยชน์ก็เข้ากระเป๋าผู้ปกครองระดับสูงนั่นเอง”

นายณอน เทอร์แนล  นักเศรษฐศาสตร์ ได้อธิบายผ่านโทรศัพท์ จากเมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ถึงรายได้ที่เป็นรูปธรรมว่า “ในปี ค.ศ. 2008-2009 พม่าใช้เงินประมาณ 85 ล้านดอลลาร์ เพื่อฟื้นฟูสาธารณูปโภคหลังเกิดภัยพิบัติจากพายุนาร์กีส ขณะที่เงิน บริจาคจากนานาชาติมีมากถึงกว่า 600 ล้านดอลลาร์ และเงินจำนวน 85 ล้านดอลลาร์นี้ยังน้อยกว่าเงินที่รัฐบาลพม่าขายก๊าซให้ประเทศ เพื่อนบ้านในสองอาทิตย์ด้วยซ้ำ"

โรงพยาบาลพม่า : สัญญาณเตือนภาวะ สุขภาพ


หมออ่อง ผู้ที่ทำงานในโรงพยาบาลพม่ามาเกือบ 10 ปี ได้กล่าว ถึงระบบสุขภาพในพม่า ที่ถูกละเลยมาเป็นเวลานานหลายปีและจำเป็นต้องปรับปรุงขนานใหญ่ว่า
“มันเหมือนกับการถูกทำลายจิตวิญญาณความเป็นหมอ พวกเขา(รัฐบาล) ปฏิบัติกับแพทย์และความเจ็บป่วย เหมือนเป็นปัญหา เรื่องความมั่นคง ไม่ใช่ปัญหาสุขภาพ ถ้าพวกเรารายงานถึงปัญหาการ รักษาพยาบาล พวกเขาจะบอกว่า มันไม่ใช่หน้าที่ของเรา”

หมออ่องในวัยสามสิบกว่ากล่าวว่า เขาต้องการใช้ความรู้และ ความเชี่ยวชาญเพื่อช่วยเหลือชาวพม่าที่เจ็บป่วย แต่ก็ยอมรับว่า ความ พยายามทำอย่างนั้นในพม่า มันเหมือนฝันร้าย หมออ่องกล่าวถึง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่โรงพยาบาลอินเส่งเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งเป็นจุดสิ้นสุด ในอาชีพแพทย์ของหมอคนหนึ่ง

“มีเด็กนักเรียนคนหนึ่งถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเพราะถูกงูกัด แพทย์หญิงคนนี้พยายามช่วยเหลืออย่างเต็มที่ เนื่องจากโรงพยาบาล ไม่มีเซรุ่ม จึงต้องส่งตัวไปรักษาต่อในโรงพยาบาลอื่น แต่เด็กชายคนนี้ เสียชีวิตเสียก่อน ครอบครัวของเด็กได้้เข้าร้องเรียน ซึ่งกระทรวง สาธารณสุขได้โกหกพวกเขาว่าทุกโรงพยาบาลมีเซรุ่มรักษาพิษงู แพทย์หญิงคนดังกล่าวจึงถูกลงโทษด้วยการยึดใบอนุญาตประกอบโรคศิลป์ และถูกบังคับให้ลาออก สิ่งที่เธอต้องการคือการรักษาคนไข้ แต่ตอนนี้ อาชีพการเป็นหมอของเธอจบลงแล้ว”

หมออ่องกล่าวว่า การขาดแคลนอุปกรณ์และยาที่จำเป็นใน การรักษาทำให้พวกหมอต่างหงุดหงิดใจ

“เราอยากช่วยคน แต่ยาส่วนมากก็หมดอายุ ซึ่งยาเหล่านั้นไม่ใช่ แค่ไร้ประโยชน์ แต่ยิ่งกว่านั้น เพราะมันอันตราย และอาจทำให้เชื้อโรค ดื้อยาได้ เราอยู่ในโลกที่บ้าคลั่ง เราไม่สามารถรายงานเรื่องโรคร้ายหรือการระบาดของโรค การพูดคุยกับคุณอาจเป็นปัญหาสำหรับผม ผมอาจ จะกลับบ้านไม่ได้ ครอบครัวจะถูกรังควาน และสุดท้าย ผมอาจจะไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นหมอได้อีกต่อไป”

หมออ่องเปิดเผยว่า รัฐบาลโกหกเรื่องเงินสนับสนุนค่ารักษา พยาบาลและแพทย์

“พวกเขาไม่รับผิดชอบ ผมถูกส่งไปยังโรงพยาบาลไกลๆ เรา ไม่มีพยาบาล แพทย์ และเจ้าหน้าที่ที่เพียงพอกับการดูแลผู้ป่วย ไม่มี อุปกรณ์และไม่มียารักษาคนไข้ เราต้องซื้อเอง รัฐบาลบอกว่าพวกเขา จัดหาสิ่งเหล่านั้นให้กับโรงพยาบาล แต่มันเป็นเรื่องโกหก พวกเขาโกหก ตลอด โรงพยาบาลไม่มีอะไรเลย”

หมออ่องกล่าวว่า นอกจากนี้ สิ่งที่จำเป็นอย่างมากอย่างน้ำ ประปา และไฟฟ้าก็ยังมีปัญหา

“เรามีตึกหลายตึกสำหรับใช้รักษาพยาบาล เราวางแผนจะทำ การผ่าตัดในช่วงหกโมงเย็นถึงสี่ทุ่ม เนื่องจากถูกจำกัดเวลาในการไฟฟ้า หัวหน้าแพทย์ในโรงพยาบาลกลับไม่อนุญาตให้เราทำการผ่าตัดเพราะ กลัวว่าไฟฟ้าจะไม่พอสำหรับไฟส่องสว่าง ระบบดูดอากาศ เครื่องผลิต ออกซิเจนและเครื่องระบายอากาศใน โรงพยาบาล “เรารักษาทารกวัยหกเดือนคนหนึ่งที่ป่วยเป็นโรคปอดบวมด้วยยาปฏิชีวนะ แต่ไม่สามารถให้ออกซิเจนกับเด็กคนนี้ได้ ถึงเด็ก คนนี้จะหายจากโรคปอดบวม แต่ก็ต้องทรมาน จากสมองที่ถูกทำลาย ในบางพื้นที่ถ้าผู้ป่วย ต้องใช้ไฟฟ้าจะต้องซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องปั่นไฟเอง”

หมออ่องกล่าวว่า ชาวพม่าทุกคนไม่ ได้มีสิทธิเท่าเทียมกันหรือมีความจำเป็น ต้องพึ่งพาโรงพยาบาลของรัฐ

“หากเจ้าหน้าที่รัฐและคนในครอบครัวป่วย พวกเขาจะไปรักษาที่ี ต่่างประเทศ พวกเขาจะบินไปสิงคโปร์ หรือประเทศไทย โดยใช้เงิน ของรัฐซึ่งมันไม่ยุติธรรม ผมมีเรื่องที่เลวร้ายเกี่ยวกับการทำงานใน โรงพยาบาลในพม่ามากมาย คนไข้ของเราไม่ต่างอะไรกับคนที่นอนรอ คอยความตาย”

หมออ่องกล่าวว่า จำนวนผู้หญิงมากมายที่เสียชีวิตจากการ แท้งลูกเป็นสิ่งที่หลอกหลอนเขามากทีเดียว

“เพื่อนร่วมงานของผมหลายคนคาดการณ์ว่า อาจมีผู้หญิงถึง 10,000 คนที่เสียชีวิตในแต่ละปี แต่กระทรวงสาธารณสุขก็ออกมา โต้แย้งข้อมูลดังกล่าวและปฏิเสธที่จะให้ความช่วยเหลือ ซึ่งตัวเลขที่ กล่าวถึง เป็นข้อมูลเฉพาะในเขตย่างกุ้งเท่านั้น”

ข้อมูลจากเอกสารขององค์การอนามัยโลกสอดคล้องกับการ ประเมินของหมออ่องที่ว่า ผู้หญิงพม่าจำนวนมากมีความเสี่ยงจากการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัย และระบุว่า “การทำแท้งเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายใน พม่าและเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตในกลุ่มผู้หญิงตั้งครรภ์ คือ อย่างน้อย 50 เปอร์เซ็นต์ โดย 20 เปอร์เซ็นต์เกิดจากการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัย”

โรคภัยไร้พรมแดน 

จำนวนผู้ป่วยที่เดินทางมายังคลินิกของหมอซินเทียมีมากมาย จนแน่นขนัด คลินิกแห่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ชั่วยาม และแม้จะ เริ่มต้นจากคลินิก  แต่ทุกวันนี้เติบโตขึ้นเหมือนหมู่บ้านเล็กๆ ไปแล้ว  หอ ผู้ป่วยส่วนใหญ่สร้างจากอิฐบล็อกฉาบปูนหยาบๆ แต่ทว่า ภายในนั้น ผู้ป่วยจะได้รับการดูแลเอาใจใส่จากเจ้าหน้าที่การแพทย์เป็นอย่างดี

รายงานของแม่ตาวคลินิกในปี ค.ศ. 2009 ระบุว่า ในปีดังกล่าว มีผู้ป่วยนอกจำนวน 29,874 ราย ผู้ป่วยใน 3,918 คน และผู้ป่วย ที่ได้รับการผ่าตัด  7,074 ราย เด็กจำนวน 13,438 คนได้รับการดูแล จากแผนกกุมารแพทย์ ผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับดวงตา 9,782 คน และ1,545 คนในจำนวนนั้นได้รับการผ่าตัด ผู้ต้องการขาเทียม 221 คนและผู้ป่วยรักษาฟัน 4,741 คน

นายแพทย์รณไตร เรืองวีรยุทธ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาล แม่สอด เป็นผู้หนึ่งที่มองเห็นความสำคัญของการรักษาผู้ป่วยที่คลินิก แม่ตาว ท่านมีประสบการณ์ทำงานด้านสุขภาพมานานถึง 32 ปี และ อยู่ในพื้นที่อำเภอแม่สอดมา 30 ปีแล้ว

“ผมคิดว่า มีเพียงไม่กี่คนที่จะทำได้อย่างหมอซินเทีย ทีมแพทย์ของเธอช่วยให้เราควบคุมป้องกันการแพร่กระจายของโรค เรามีการใช้ มาตรการเพื่อสุขภาพที่ดีของประชาชน และทำงานร่วมกันในโครงการฉีด วัคซีน โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ มันไม่รู้จักเส้นแบ่งเขตพรมแดน  ความช่วยเหลือ ทางด้านมนุษยธรรมก็ไม่เคยแบ่งแยกเช่นกัน”

“คุณต้องฉีดวัคซีนให้เด็กที่เดินทางข้ามไปมาทั้งสองฝั่ง  มันไม่มีความหมายอะไรเลยหากคุณพุ่งเป้าไปแค่คนกลุ่มเดียว คลินิกแม่ตาว อบรมเจ้าหน้าที่จากหมู่บ้านฝั่งในพม่าเรื่องการฉีดวัคซีน และนี่คือสิ่ง สำคัญที่จะช่วยหยุดการแพร่กระจายของโรคต่างๆ  ”

เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคมที่ผ่านมา รายข่าวจากหนังสือพิมพ์ บางกอกโพสต์ได้ยืนยันว่า การรักษาโรคติดต่อที่นายแพทย์รณไตร ได้กล่าวมานั้นเป็นนโยบายของรัฐบาลเช่นกัน โดยกระทรวงสาธารณสุขของไทยได้ดำเนินการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอให้แก่ลูกแรงงาน ข้ามชาติที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี  ซึ่งโครงการนี้ดำเนินการมาเป็นปีที่สอง และเป็นช่วงเดียวกับที่ฉีดวัคซีนให้กับเด็กไทยเช่นกัน

แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่นายแพทย์รณไตรไม่ได้กล่าวถึงก็คือ หากดูจากสถิติของผู้ป่วยที่เข้ามารักษาที่โรงพยาบาลแม่สอดจะพบว่า  โรงพยาบาลต้องแบกรับค่าใช้จ่ายจำนวนมากในการรักษาผู้ป่วยจาก พม่าเช่นเดียวกับคลินิกแม่ตาว ซึ่งพบว่าในจำนวนผู้ป่วยในของ โรงพยาบาลแม่สอดเป็นชาวพม่าถึง 25 เปอร์เซ็นต์

นายแพทย์รณไตรระบุว่า โรงพยาบาลรับรักษาเฉพาะแรงงาน ที่ถูกฎหมาย โดยมีค่าใช้จ่ายกว่า 50 ล้านบาทต่อปีให้กับคนที่ไม่ สามารถจ่ายค่ารักษาได้

“แม้ว่าโรงพยาบาลเราจะประสบปัญหาในการหางบประมาณ เพื่อดูแลคนเหล่านี้ แต่เราก็ต้องทำ เราจะต้องใช้มาตรการป้องกันการ แพร่ระบาดของโรคร้ายแรง และคลินิกแม่ตาวก็ร่วมทำงานกับเราเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จนี้”

นายแพทย์รณไตรกล่าวว่า ขณะนี้เริ่มตรวจพบโรคบางชนิดที่ เคยควบคุมได้แล้วกลับมาอีกครั้งในประเทศไทยซึ่งพบแหล่งที่มาจาก ประเทศพม่า เช่น โรคเท้าช้าง เป็นต้น

รายงานเรื่อง “The Gathering Storm”  โดยวิทยาลัยสาธารณสุข จอห์น ฮอพส์กิน ระบุว่า “แรงงานข้ามชาติจากพม่ามีแนวโน้มที่จะ ติดเชื้อโรคเท้าช้างมากกว่ากลุ่มประชากรในประเทศไทย”

หากพิจารณาจากรายงานทั้งหมด รวมทั้งหลักฐานที่ชี้ให้เห็นถึงการไร้ระบบดูแลสุขภาพในพม่าแล้ว เป็นไปได้ยากที่ประชาชนใน ประเทศจะได้รับการรักษาเยียวยาจากโรคเท้าช้าง หรือโรคติดต่ออื่นๆ  ซึ่งรัฐบาลพม่าก็ยินดีผลักภาระเหล่านี้ให้กับประเทศเพื่อนบ้านมากกว่า  

บทความดังกล่าวจากหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์แสดงให้เห็น ว่า รัฐบาลไทยได้ตระหนักถึงความเสี่ยงหากไม่ดำเนินมาตรการป้องกันโรคข้ามพรมแดนเหล่านี้ จึงมีการจัดสรรงบประมาณ 472 ล้านบาท สำหรับโรงพยาบาลชายแดนไทย เพื่อให้บริการทางการแพทย์แก่ผู้ ไร้สัญชาติ รายงานข่าวระบุว่า โรงพยาบาลหลายแห่งตามแนวชายแดนมีภาระหนี้สินเกิดขึ้นจากการรักษาผู้ป่วยที่ไม่มีเอกสารจดทะเบียน แสดงสัญชาติ

นายแพทย์รณไตรกล่าวว่า คลินิกหมอซินเทียมีบทบาทสำคัญ ต่อนโบายด้านสาธารณสุข ในการหยุดการแพร่กระจายของโรคติดต่อ และเชื้อโรคต่างๆ  

“นี่เป็นด่านแรกของการพบโรคที่จะก่อให้เกิดปัญหา การรับมือกับโรคติดต่อและการระบาดของโรคได้อย่างทันท่วงทีนั้นเป็นสิ่งที่ สำคัญมาก”

การเพิกเฉยของรัฐบาลทหารพม่าที่จะช่วยเหลือและดูแล ประชาชนในประเทศของตัวเอง ส่งผลให้ภาระตกไปอยู่ที่ประเทศ เพื่อนบ้านและคลินิกแม่ตาว หมอซินเทียยอมรับว่าเธอกำลังประสบกับปัญหา เพราะคลินิกมีเงินไม่เพียงพอ และท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจ ย่ำแย่ในปัจจุบัน คลินิกจึงหาแหล่งทุนใหม่ได้ลำบากขึ้น

ดร.เดชา ตั้งสีฟ้า อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญในประเด็นเรื่องการบังคับย้ายถิ่นฐานใน ชายแดนไทยพม่า กล่าวว่า งานที่คลินิกแม่ตาวทำเป็นงานที่สำคัญ อย่างยิ่ง

“คลินิกแม่ตาวเป็นของขวัญเพื่อคนทุกข์ในพม่า ผมใช้เวลา 11 ปี ในการทำงานบริเวณชายแดน ผู้คนมาที่นี่ (แม่สอด) โดยไม่มี สถานะทางกฎหมาย พวกเขาไม่มีทางเลือกและก็ยังคงเดินทางข้ามมา เรื่อยๆ สถานพยาบาลในพื้นที่ถูกทำลายไป หมอซินเทียแสดงให้เห็น ถึงความมุ่งมั่นนานกว่า 20 ปี ในการการอุทิศตัวของเธอ รวมทั้ง เจ้าหน้าที่ในคลินิก”

ในห้องคอนกรีตแคบๆ ปราศจากหน้าต่าง พัดลมขนาดเล็กไม่มีแรงพอที่จะพัดไล่อากาศร้อนให้ออกไปได้หมด สายตาของหมอซินเทียลอยเหม่ออยู่ในห้วงลึก คล้ายกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องอนาคตทางการเงิน ของคลินิกและอนาคตของประเทศพม่า

“ชาวพม่าได้รับความทุกข์ยาก เราไม่ได้รักษาเฉพาะแรงงานข้ามชาติและผู้ลี้ภัยเท่านั้น แต่คนจากเมืองอื่นๆ ในประเทศพม่าก็ต้องการ ความช่วยเหลือเช่นกัน ตลอดเวลาที่ใช้เวลาอยู่ที่นี่ ฉันไม่เคยเห็นคนไข้ ลดลงเลย และมันจะไม่ลดลงจนกว่าความปลอดภัยและความมั่นคงในชีวิตจะเกิดขึ้นกับประชาชนพม่า   “ประชาชนชาวพม่าจะไม่ยอมแพ้ พวกเขารักประเทศและ ลูกหลานของพวกเขา และคลินิกของเราไม่มีวันที่จะหยุดดูแลพวกเขาเช่นกัน”