หมอซินเทีย : แพทย์หญิงชาวกะเหรี่ยงของคนไข้สงคราม

ในสายตาของรัฐบาลพม่า ดร.ซินเทียคือผู้หลบหนีความผิด ผู้ทำงานต่อต้านรัฐบาลและผู้ก่อการร้ายลักลอบขนฝิ่นข้ามแดนผู้นำรัฐบาลทหารพม่าปฏิเสธที่จะเรียกเธอว่า “หมอ” แต่ใส่ร้ายป้ายสีความผิดเหล่านี้ให้เธอ บนเว็บไซต์ไร้สาระของรัฐบาล ทว่า ความพยายามเหล่านี้ดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์อะไร เพราะความดีของเธอมากล้นเกินกว่าคำใส่ร้ายป้ายสีใด ๆ จะกลบเกลื่อนได้มิดชิด


หมอซินเทียมีเชื้อสายกะเหรี่ยง เกิดเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2502 เมื่อเธออายุได้ 5 ขวบ บิดาได้พาครอบครัวย้ายไปยังเมืองมะละแหม่ง ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ตั้งอยู่บนฝั่งน้ำแถบเทือกเขาตะนาวศรี จบการศึกษาชั้นมัธยมปลายที่นี่ในปี พ.ศ.2522 และสอบเข้าเป็นนักศึกษาแพทย์ ณ มหาวิทยาลัยย่างกุ้ง และจบการศึกษาแพทยศาสตร์บัณฑิตในปี พ.ศ. 2528 หลังจากนั้นทำงานเป็นแพทย์ในชนบทเป็นเวลาสองปี

ช่วงปี 2531 ขณะที่ขบวนนักศึกษากำลังประท้วงรัฐบาลมหารพม่า เธอทำงานอยู่ในชนบทของรัฐกะเหรี่ยง พบเห็นความทุกข์อันเกิดจากระบบการปกครองเผด็จการความยากจนเกิดขึ้นทุกหัวระแหง ชาวบ้านในชนบทถูกทหารกดขี่ข่มเหง เมื่อรัฐบาลทหารปราบปรามนักศึกษาที่ชุมนุมประท้วงอย่างหนัก เธอจึงตัดสินใจออกจากแผ่นดินเกิด เดินข้ามป่าเป็นเวลา ๗ วัน ถึงชายแดนประเทศไทย และเปิดบ้านพักสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการเดินทางเข้ามารักษาในเขตประเทศไทยตั้งแต่ปี ๒๕๓๒ ซึ่งในเวลาต่อมาพัฒนาเป็นคลินิกรักษาโรคขนาดใหญ่หรือโรงพยาบาลขนาดย่อมโดยไม่คิดค่าบริการ

คลินิกแห่งนี้มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า “คลินิกแม่ตาว” ตามชื่อตำบลที่ตั้งคลินิก แต่คนทั่วไปนิยมเรียก “ คลินิกหมอซินเทีย” ตามชื่อของแพทย์หญิงชาวกะเหรี่ยงมากกว่า ตั้งอยู่ที่ริมถนนอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก สู่สะพานมิตรภาพไทย-พม่า ก่อนถึงสนามบินอำเภอแม่สอด ไม่กี่ร้อยเมตร ปัจจุบัน เปิดรักษาผู้ป่วยทั้งคนไข้ในและนอก มีเตียงพยาบาลกว่า ๕๐ เตียง รักษาโรคตั้งแต่ท้องร่วง มาเลเรีย ไปถึงถูกปืนยิงหรือเหยียบกับระเบิด รวมทั้งส่งทีมหมอแบ็คแพ็ค หรือ หมอชาวบ้านเคลื่อนที่เข้าไปให้การรักษาผู้พลัดถิ่นภายในประเทศ หรือประชาชนที่อาศัยอยู่ใน เขตป่าเขาฝั่งพม่าอีก ๓๕ ทีม โดยรับสมัครอาสาสมัครชาวบ้านจากพื้นที่ต่างๆ แต่ละทีมมีสมาชิกประมาณ ๕ คน ทั้งหมดจะได้รับการฝึกอบรมความรู้แพทย์เบื้องต้น หลังจากนั้น แต่ละทีมจะแยกย้ายกันนำยารักษาโรคและเครื่องมือแพทย์ใส่เป้ หรือตะกร้าขนาดใหญ่แบกขึ้นหลัง เดินบุกป่าฝ่าดงเข้าไปค้นหาผู้พลัดถิ่นภายในที่หลบซ่อนอยู่กลางป่า

หมอซินเทีย กล่าวถึงสถานการณ์ของผู้พลัดถิ่นภายในและความจำเป็นในการส่งหน่วยแพทย์เคลื่อนที่เข้าไปช่วยเหลือว่า
“ทุกวันนี้ ตลอดแนวชายแดนประเทศพม่ากับประเทศไทยมีผู้พลัดถิ่นภายในประมาณ ๑ ล้านคน คนเหล่านี้ไม่ได้รับบริการด้านสุขภาพจากรัฐบาลทหารพม่า พวกเราจึงจัดโปรแกรมนี้ขึ้นเพื่อให้บริการเกี่ยวกับสุขภาพและฝึกฝนชาวบ้านในท้องถิ่นให้รู้จักวิธีดูแลสุขภาพตัวเอง คนกลุ่มนี้มีปัญหาด้านการดูแลสุขภาพอย่างมาก เพราะพวกเขาจะต้องเคลื่อนย้ายหลบหนีการคุกคามของทหารพม่าอย่างน้อยทุกหกเดือน บางครอบครัวต้องเคลื่อนย้ายสองถึงสามครั้ง เนื่องจากเกิดการสู้รบในพื้นที่บริเวณที่หลบซ่อนอยู่ หลายครอบครัวไม่สามารถกลับไปยังพื้นที่หลบซ่อนเดิมได้ เนื่องจากเต็มไปด้วยกับระเบิด ผู้พลัดถิ่นภายในต้องเผชิญกับปัญหาขาดแคลนอาหาร การเสียชีวิตของทารกแรกเกิดในอัตราที่สูง และโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ”

นอกจากนี้แพทย์หญิงชาวกะเหรี่ยงยังเริ่มต้นหาวิธีการแก้ปัญหาดังกล่าวด้วยการให้ความรู้กับประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่เปิดศูนย์เด็กเล็ก ให้การศึกษากับลูกหลานแรงงานอพยพ เปิดหลักสูตรอบรมความรู้ด้านการแพทย์ให้กับเยาวชนจากประเทศพม่าที่ต้องการกลับไปทำงานช่วยเหลือชุมชนของตัวเอง โดยคัดเลือกผู้เข้าเรียนจากประชาชนหลากหลายกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศพม่า อาทิ ชาวไทยใหญ่ ชาวคะฉิ่น ชาวปะหล่อง ชาวกะเหรี่ยง ชาวมอญ เป็นต้น

ผลแห่งคุณงามความดีของเธอทำให้เงินบริจาคและน้ำใจจากแพทย์อาสาสมัครต่างประเทศหลั่งไหลมาสู่คลินิกแห่งนี้ไม่ขาดสาย รวมทั้งได้รับรางวัลมากมายจากนานาประเทศทั่วโลก

ปัจจุบันคลินิกแห่งนี้มีแพทย์ประจำและอาสาสมัครหมุนเวียนกันมาตลอดทั้งปีประมาณ ๕ คน เจ้าหน้าที่พยาบาล ๘๐ คน นักเรียนพยาบาล ๔๐ คน และเจ้าหน้าที่ทั่วไป ๔๐ คน ให้บริการผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอกปีละประมาณ สามหมื่นราย และผู้พลัดถิ่นภายในประเทศพม่า ปีละกว่าหนึ่งแสนคน

สาละวินโพสต์ ฉบับที่ 10 (1 ก.ย.-15 ต.ม. 46)