คงไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งจะต้อง ตัดมดลูกทิ้ง เนื่องจากทำงานหนักจนไม่มีเวลาไปหาหมอ และคงเป็นเรื่องยากที่ใครสักคนจะยอมสละเวลาแสวงหาความสุข ส่วนตัวเพื่อ “คนอื่น” คนซึ่งไม่มีประเทศใดในโลกนี้ยอมรับว่าเป็น ประชาชนของประเทศนั้น คนซึ่งเป็นคน“ต่างด้าว” ของทุกแผ่นดิน ไม่มีสิทธิใด ๆ เท่าเทียมกับ “ราษฎรเต็มขั้น” ผู้มีบัตรประชาชน ทว่า ผู้หญิงวัยสี่สิบต้นๆคนที่ท่านกำลังจะรู้จักต่อไปนี้ รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร หรือที่นักศึกษา เรียกกันว่า “อาจารย์แหวว” กลับเป็นคนหนึ่งที่ทุ่มเทเวลาและ หัวใจให้กับคนไร้สัญชาติเหล่านี้อย่างเต็มที่มาตลอดเวลากว่า สิบปี อีกทั้งยังทำหน้าที่อาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาความรู้ทาง กฎหมายให้กับลูกศิษย์ทั้งในและนอกห้องเรียนอยู่เสมอ คอลัมน์รู้จักคนดังฉบับนี้ จึงขอแนะนำให้รู้จักกับผู้หญิงเก่งและ แกร่งคนนี้ โดยเราได้มีโอกาสได้พูดคุยกับเธอเมื่อกลางเดือน สิงหาคมที่ผ่านมา
อาจารย์แหววย้อนอดีตประวัติการศึกษาก่อนจะเริ่มต้น ทำงานเกี่ยวกับคนไร้สัญชาติว่า อาจารย์เรียนจบด้านกฎหมาย จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับ ที่มีเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 สังหารหมู่นักศึกษาในรั้ว มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เหตุการณ์ครั้งนั้นสร้างความเจ็บปวด มากจนอาจารย์ไม่สามารถทนเห็นความทุกข์ยากของผู้ได้รับ ผลกระทบจากเหตุการณ์ต่อไปได้ จึงตัดสินใจขอทุนจากสถานทูต ฝรั่งเศสเพื่อไปศึกษาต่อทางด้านกฎหมายระหว่างประเทศ สำหรับเอกชน หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่ากฎหมายระหว่าง ประเทศแผนกคดีบุคคล โดยศึกษาจนกระทั่งจบปริญญาเอก จึงเดินทางกลับประเทศไทย และสอนเกี่ยวกับกฎหมายธุรกิจ เพราะคิดว่า การทำงานกฎหมายธุรกิจคงไม่ต้องพบเห็น ความทุกข์ยากของคน แต่ทว่า สิ่งที่คิดไว้กลับตรงกันข้าม
“ตอนตัดสินใจไปเรียนด้านนี้เพราะอยากทำงานในเรื่องที่ไม่ต้องใช้หัวใจมากนัก คิดว่าหากเรียนเกี่ยวกับกฎหมายธุรกิจ เราคงไม่ต้องทำงานที่อยู่กับความทุกข์ยากของคน มีแต่เรื่อง ของกำไรขาดทุน แต่สุดท้ายก็พบว่าคนทำธุรกิจก็มีความทุกข์ยาก ไม่ต่างกันเมื่อธุรกิจของเขามีปัญหา”
ในปี 2532 หลังจากกลับจากต่างประเทศและเริ่มสอน หนังสือได้เพียงสองปี ชะตาชีวิตก็ชักนำให้อาจารย์แหววเข้าสู่งาน เกี่ยวกับคนไร้สัญชาติ
“คุณหญิงสายสุรีย์ จุติกุล และอาจารย์มาลี พฤษพงษ์ศาวดี ได้ชักชวนให้เข้ามาทำการศึกษาและแก้กฎหมายสัญชาติของ หญิงไทย ซึ่งกฎหมายของไทยขณะนั้นปฏิเสธสิทธิของหญิงไทย ที่จะให้สัญชาติกับบุตร ในฐานะที่อาจารย์เป็นนักกฎหมายระหว่าง ประเทศ จึงรู้เรื่องวิธีการกำหนดสัญชาติของคนว่าเป็นอย่างไร ก็เลยได้รับมอบหมายให้สำรวจดูว่า ในทางกฎหมายต่างประเทศ จะเลือกปฏิบัติระหว่างหญิงชายได้ไหม เราพบว่าการที่ลูกของ หญิงไทยไม่ได้สัญชาติโดยหลักสืบสายโลหิตจากแม่ แต่จะได้เฉพาะ ลูกของชายไทยเป็นเรื่องผิดหลักกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะ เลือกปฏิบัติไม่ได้ จุดนี้ เป็นก้าวแรกที่ก้าวเข้ามาทำงานเกี่ยวกับ สัญชาติ ซึ่ง ณ ตอนนั้นเราก็ไม่รู้ว่าจากจุดตรงนั้นจะทำให้เรา ก้าวมาสู่ชีวิต ณ วันนี้”
หลังจบการแก้ปัญหาสัญชาติลูกของหญิงไทย ดูเหมือน ชะตาชีวิตจะขีดเส้นให้อาจารย์ก้าวเดินต่อไปในเส้นทางซึ่ง เกี่ยวข้องกับคนที่มีปัญหาเรื่องสัญชาติมากขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อ มองย้อนกลับไป ณ วันนี้ ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้ ก็มีส่วนสำคัญ ที่ช่วยเปลี่ยนชีวิตของคนจำนวนไม่น้อย ให้กลายเป็น “ราษฎรเต็มขั้น” มีสิทธิทางการศึกษาและการประกอบอาชีพ เฉกเช่นคนถือบัตรประชาชนไทยทั่วไป
อาจารย์แหววกล่าวถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตว่า
“จริง ๆ แล้ว จุดเริ่มต้นของงานตรงนี้ เริ่มจากคนที่เป็น ผู้ใหญ่กว่าเรา ซึ่งเค้ารู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เค้าจึงมาบอกเราว่า เรื่องนี้มันต้องศึกษา แล้วมันอาจเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิมั้ง ที่พอ แก้กฎหมายสัญชาติปี 35 เสร็จ ก็ทำให้ลูกของหญิงไทยได้สัญชาติ ตามมารดา”
หลังจากหมดภาระการแก้ปัญหากฎหมายลูกของหญิงไทย ชีวิตของผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งซึ่งตั้งใจว่าจะไม่ทำงาน ที่เกี่ยวข้องกับความทุกข์ยากของผู้คน กลับต้องพบเห็นกับสิ่งที่ พยายามวิ่งหนีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุด อาจารย์แหววก็หันกลับ มาเผชิญหน้ากับความทุกข์ยากที่พบเจอและพยายามหาทาง แก้ปัญหาให้กับคนเหล่านี้เท่าที่เรี่ยวแรงของเธอผู้หญิงคนหนึ่งจะทำได้ อาจารย์แหววเริ่มออกเดินทางขึ้นเขาลงห้วยไปรับฟังและหาทาง แก้ปัญหาสัญชาติให้กับบุคคลบนพื้นที่สูงไม่น้อยกว่า 20 จังหวัด หลังจากนั้น เริ่มเข้ามาเกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาการให้สัญชาติของ ญวนอพยพ ซึ่งเกิดความเข้าใจผิดว่าญวนอพยพเหล่านั้นมีสัญชาติ ญวน ทั้ง ๆ ที่ตามข้อเท็จจริงแล้ว กลุ่มญวนอพยพกลุ่มนี้ได้หนี ออกจากประเทศเวียดนามตั้งแต่ก่อนเวียดนามจะประกาศอิสรภาพ จากฝรั่งเศสและมีการสำรวจทะเบียนราษฏร คนกลุ่มนี้จึงไม่ได้รับ สัญชาติญวน
จากประสบการณ์เดินบนถนนซึ่งแวดล้อมไปด้วยคนไร้สัญชาติ มาตลอดเวลากว่าสิบปี อาจารย์แหววได้สรุปปัญหาความไร้สัญชาติ ว่าเป็นเสมือนโรค ๆ หนึ่ง ซึ่งต้องใช้วัคซีนป้องกันหรือรักษา ให้ถูกโรค
“โรคไร้สัญชาติมีอยู่ด้วยกันสองลักษณะ คือ ไร้สัญชาติ โดยข้อเท็จจริง กับ ไร้สัญชาติโดยข้อกฎหมาย มันมีวัคซีนสองตัว ถ้าคุณเอาตัวหนึ่งรักษาอีกโรคหนึ่ง มันก็แก้ไม่ได้” (อ่านรายละเอียด เกี่ยวกับปัญหาคนไร้สัญชาติในเรื่องจากปกฉบับเดียวกันนี้) สิ่งที่ทำ อยู่ตอนนี้ ไม่ใช่กำจัดปัญหาไร้สัญชาติ แต่เป็นเหมือนการ ให้วัคซีน คือ ทำให้คนไทยสนใจในองค์ความรู้และสามารถ ปฏิบัติเองได้อย่างถูกต้อง นั่นถือว่าเป็นวิธีแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ยกตัวอย่างเช่น ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน ซึ่งสามารถใช้องค์ความรู้ ต่างๆมาใช้แก้ปัญหาได้อย่างถูกจุด ทำให้การสำรวจปัญหา คนไร้สัญชาติทำสำเร็จอย่างรวดเร็ว และคนได้รับสัญชาติ ภายในวันเดียว”
อาจกล่าวได้ว่า ชีวิตในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผู้หญิงเก่งคนนี้ แทบไม่มีเวลาหลงเหลือให้กับการพักผ่อนหรือผ่อนคลาย เฉกเช่นคนทั่วไป การดูหนังสักเรื่องหรือพักผ่อนตามชายทะเล ดูจะเป็นเรื่องไกลเกินเอื้อม แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ความสุข ในชีวิตของเธอหายไปไหน ตรงกันข้าม ความสุขของผู้หญิงคนนี้ กลับยิ่งใหญ่และยาวนาน
“ชีวิตหนึ่งๆจะมีค่ามากที่สุด ก็ต่อเมื่อได้ทำหน้าที่ของ ตัวเองให้ดีที่สุด ครูเปรียบเสมือนเรือจ้างซึ่งพาคนไปส่งให้ถึงฝั่ง หรือเปรียบเสมือนก๊อกน้ำ ที่ใครหิวก็สามารถมาเปิดก๊อกกินน้ำได้ ถ้าวันหนึ่งมีคนมาเปิดก๊อกของเราแล้วเราไม่มีน้ำให้เค้ากิน หรือ พายเรือไปส่งไม่ถึงฝั่ง นั่นทำให้เรากลับมานอนไม่หลับ ไม่สบายใจ แล้วว่าจะช่วยแก้ปัญหานั้นได้อย่างไร ถ้าเราแก้ปัญหาได้ นั่นแหละ คือความสุข ความสุขที่ได้ช่วยชีวิตคนหลายๆคน หรือแม้กระทั่ง คนเพียงคนเดียว ก็เป็นความสุขที่หาอะไร เปรียบไม่ได้ ”
ทว่า ความสุขอันยิ่งใหญ่ก็ไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ ในชั่วพริบตา หากผู้หญิงแกร่งคนนี้ต้องผ่านการเสียน้ำตาให้กับความทุกข์ยาก ของผู้คนบนรายทางมาไม่น้อยเช่นกัน
“งานที่ทำอยู่มันไม่ได้มีความสุขหรอก อย่างบทความ ของจอบิ(กรณียิงรถนักเรียนราชบุรี) ที่เขียนขึ้นมา เขียนไป ร้องไห้ไป แต่เพราะเราทนเห็นคนเดือดร้อนไม่ได้ และที่หนีไปจาก ตรงนี้ไม่ได้ก็เพราะเราไม่อยากเห็นคนรังแกคน อีกอย่างหนึ่งคือ กฎหมายอยู่ข้างเรา เราจะใช้กฎหมายในการแก้ปัญหาตรงนี้”
จนถึงวันนี้ อาจารย์แหววยังคงมุ่งมั่นที่จะทำงาน เพื่อคนไร้สัญชาติต่อไป รวมทั้งงานให้ความรู้กับนักศึกษากฎหมาย ทั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งอาจารย์ประจำอยู่และมหาวิทยาลัย อื่น ๆ ทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังมีเว็บไซต์ให้ความรู้และตอบคำถาม เกี่ยวกับกฎหมายสัญชาติชื่อว่า www.archanwell.org รวมถึง งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชนในประเด็นต่าง ๆ อีกมากมาย
ก่อนจบการสัมภาษณ์วันนี้ อาจารย์แหววกล่าวทิ้งท้าย ไว้อย่างน่าคิดว่า
“ ชีวิตของมนุษย์เรา ไม่น่าจะให้ความสำคัญอะไรนักหนา กับตัวเอง เพราะมันก็เป็นไปตามธรรมชาติของชีวิต เกิดขึ้นมา อีกไม่นานก็แก่ ความสวย เดี๋ยวก็หายไป อาจารย์ต้องตัดมดลูกทิ้ง เพราะเป็นเนื้องอก ไม่ได้ดูแลตัวเอง กว่าจะรู้ตัวมันสายไปแล้ว เคยรู้สึกว่า ชีวิตเราถ้าอยู่ไปก็คงไม่มีคุณค่าอะไร ถ้าเราไม่ได้ทำอะไร ที่เป็นประโยชน์ และการนำเงินไปทำบุญสร้างวัดเท่าไหร่ มันก็คง ไม่เท่ากับให้ชีวิตคน ความสุขและความสำเร็จของชีวิตในตอนนี้คือ ความรู้สึกดีที่เราได้ทำให้คนอื่นมีความรู้สึกมั่นคงในชีวิต ทุกวันนี้ ไม่รู้สึกกลัวตาย แม้บางครั้งต้องเดินทางไปยังพื้นที่อิทธิพล ต่างๆ เคยคิดด้วยซ้ำว่า ตอนที่คุณสืบ นาคะเสถียร ฆ่าตัวตาย แล้วรักษา ห้วยขาแข้งเอาไว้ได้ หากวันหนึ่งจำเป็นต้องทำ อย่างคุณสืบก็คงจะ ทำเหมือนกัน ”
กระดาษเพียงไม่กี่หน้าหากจะบอกเล่าเรื่องราวชีวิตของ คนคนหนึ่งมันอาจจะดูน้อยนิด โดยเฉพาะหากเป็นการบอกเล่า เรื่องราวของคนที่ทำงานมามากมายอย่าง รศ.ดร. พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร หรืออาจารย์แหวว นักกฎหมายผู้ทุ่มเท แรงกายและแรงใจเพื่อคนไร้สัญชาติในเมืองไทยผู้นี้
สาละวินโพสต์ ฉบับที่ 16 (1 ก.ค. - 15 ส.ค 47)
