ยุทธศาสตร์ปราบไทใหญ่ของผู้นำพม่าในสายตาเจ้ายอดศึก


โดย เจ้ายอดศึก

ความเป็นมาของกองกำลังกลุ่มต่อต้านรัฐบาลในรัฐฉาน
-----------------------------------------------------------------------

ในปี ค.ศ 1948 สหภาพพม่าได้รับเอกราชจากการยึดครองของประเทศอังกฤษ จากนั้นได้ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลบริหารสหภาพ โดยมีมติ เลือกเจ้าฟ้าส่วยแต้กขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนแรกของสหภาพ พม่า ถึงแม้จะมีการก่อตั้งสหภาพพม่าร่วมกัน แต่ก็ใช่ว่าปัญหาต่างๆ ภายในสหภาพจะหมดไป เพราะมีการแย่งชิงอำนาจการปกครองกันเองอยู่ตลอดเวลา หลังจากที่นายพลอองซานเสียชีวิต (19 ก.ค 1947)พม่าเองก็แบ่งออกเป็นหลายพรรคหลายพวก บ้างก็ฝักใฝ่ลัทธิ คอมมิวนิสต์ บ้างก็ฝักใฝ่ลัทธิสังคมนิยม บ้างก็ฝักใฝ่ระบอบประชาธิปไตย จนก่อให้เกิดการโต้แย้งกันอย่างรุนแรง ในขณะที่การร่างรัฐธรรมนูญสำหรับใช้ในสหภาพยังไม่เสร็จสมบูรณ์ก็เกิดกองกำลังปฏิวัติขึ้นแล้ว โดยในวันที่ 28 มี.ค ปีค.ศ 1948 พรรคคอมมิวนิสต์พม่า (BCP) ได้เข้าป่า

เด็กน้อยในชุดไทใหญ่


จากนั้นในปี ค.ศ 1949 กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงก็ลุกขึ้นปฏิวัติ ส่วนรัฐฉานนั้นพยายามใช้แนวทางสันติ เนื่องจากมีการให้คำมั่นสัญญา ต่อกันในรัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นเพื่อใช้ในสหภาพร่วมกันนั้นจะต้องมีการบัญญัติไว้ว่า ภายหลังร่วมกันเป็นสหภาพครบ 10 ปี รัฐฉาน (Shan state) มีสิทธิ์ในการถอนตัว (Right Secession) จากสหภาพ ดังนั้นในยามที่มี การขัดแย้งเกิดขึ้นในสหภาพ รัฐฉานจึงใช้ความอดทนและแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธีมาโดยตลอด

แต่ในขณะเดียวกันก็มีผู้นำรัฐฉานบางส่วนมีความเห็นว่า หากมัว แต่รอใช้วิธีการเจรจาอย่างสันติก็อาจจะสายเกินไป ดังนั้น ช่วงย่างเข้า ปีค.ศ 1958 เจ้าฟ้าจึงมีการตระเตรียมกองกำลังติดอาวุธเพื่อใช้ ในการปฏิวัติ ต่อมาในวันที่ 21 เดือนพฤษภาคม ค.ศ 1958  จึงก่อกำเนิด การปฎิวัติเพื่อกอบกู้บ้านเมืองของชาติพันธุ์รัฐฉานขึ้น เนื่องจากเหตุการณ์ภายในสหภาพเกิดความระส่ำระสายอย่างหนัก และยังต้องเตรียมการประกาศใช้รัฐธรรมนูญสำหรับสหภาพ ตลอดจนอูนุเห็นว่าตนเองไม่สามารถรักษาเสถียรภาพในการปกครองแล้ว จึงมีการวางแผน ให้นายพลเนวินทำการรัฐประหารยึดอำนาจการปกครองมาอยู่ในกำมือของกองทัพพม่าในวันที่ 2 มีนาคม ค.ศ 1962 ซึ่งเป้าหมายหลักที่นายพล เนวินทำรัฐประหารก็เพื่อสกัดกั้นการใช้สิทธิในการถอนตัว (Right secession) ออกจากสหภาพของรัฐฉานนั่นเอง

ภายหลังข่าวการก่อตั้งขบวนการปฏิวัติกอบกู้รัฐฉานเลื่องลือไปถึงหูประชาชนในรัฐฉาน ก็ได้ก่อให้เกิดขบวนการจับอาวุธลุกขึ้นต่อต้านทหารพม่าไปทั่วทุกแห่งหนในพื้นที่รัฐฉาน แต่เพราะระบบการสื่อสารถึงกันในสมัยนั้นมีความยากลำบาก การจะส่งข่าวถึงกันในแต่ละครั้งต้องใช้พลนำสารเดินทางกว่า 10 วันหรือในบางครั้งกินเวลาแรมเดือน จึงทำให้กลุ่มขบวนการปฏิวัติแต่ละกลุ่มต่างก็ดำเนินงานอยู่ในพื้นที่ของตนและไม่สามารถทราบข่าวของกันและกันได้  จึงเป็นเหตุให้ไม่สามารถรวมตัวกันเป็นกลุ่มหนึ่งกลุ่มเดียวกันได้ อีกด้านหนึ่ง กองทัพทหารพม่าก็ได้ฉวยโอกาสพูดจาหว่านล้อมกลุ่มขบวนการปฏิวัติกอบกู้รัฐฉานกลุ่มต่างๆ ให้เจรจาแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี จึงเป็นเหตุให้แนวความคิดและนโยบายต่างๆ ของกลุ่มขบวนการปฏิวัติกอบกู้รัฐฉาน มีความคิดเห็นแตกต่างกัน บ้างก็อยากจะรื้อฟื้นความสัมพันธ์ของกลุ่มสหภาพแล้วใช้การปกครองในระบอบประชาธิปไตย บ้างก็ยืนยันว่าต้อง ใช้สิทธิในการถอนตัวออกจากสหภาพแล้วประกาศเอกราช 


ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น สถานการณ์การเมืองทั่วโลกก็ต่างเกิด การเปลี่ยนแปลง กระแสคอมมิวนิสต์กำลังมาแรง ภายหลังจากที่เหมาเจ๋อตุงสามารถยึดครองประเทศจีนและสถาปนาการปกครองใน ระบอบคอมมิวนิสต์ได้สำเร็จ ก็มีความพยายามที่จะทำให้กลุ่มประเทศ เพื่อนบ้านเปลี่ยนการปกครองมาเป็นระบอบคอมมิวนิสต์เหมือนกันหมด จากเหตุดังกล่าว จึงทำให้กลุ่มขบวนการปฏิวัติกอบกู้รัฐฉานบางส่วนหันไปติดต่อเจรจากับจีนคอมมิวนิสต์ โดยหวังพึ่งพาความช่วยเหลือในการสู้รบกับพม่า แต่เพราะพรรคคอมมิวนิสต์พม่า(BCP) ภายใต้การนำของปะเต็งติ่นได้เข้าไปทำการเจรจากับทางจีนคอมมิวนิสต์ ก่อนหน้ากลุ่มขบวนการปฏิวัติกอบกู้รัฐฉาน จึงทำให้ความช่วยเหลือ ต่างๆ จากจีนคอมมิวนิสต์ไปตกอยู่ในมือของพรรคคอมมิวนิสต์พม่า (BCP) แทน


จุดอ่อนของกองกำลังกลุ่มต่อต้านรัฐบาล

----------------------------------------------------

กองกำลังที่ทำการปฏิวัติต่อต้านรัฐบาลทหารพม่านั้นคือกลุ่มคนรักชาติในสหภาพพม่าที่ลุกขึ้นมาจับอาวุธต่อสู้กับทหารพม่า เพราะ ไม่เห็นชอบและไม่สนับสนุนให้พม่าเป็นผู้นำรัฐบาลของสหภาพ โดยการ ต่อสู้ได้ขยายไปในทุกพื้นที่ แต่ทว่าในระยะเวลา 50 ปีที่ผ่านมาของการ ต่อต้านนั้น กลับไม่มีกลุ่มชาติพันธุ์ใดประสบความสำเร็จเลย  และเมื่อได้ มาวิเคราะห์พิจารณาดูจึงได้เห็นว่า กองกำลังปฏิวัติต่อต้านรัฐบาลทหารพม่าแต่ละกลุ่มนั้นมีความบกพร่องอยู่หลายประการดังนี้

หนึ่ง ประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีความรู้ความเข้าใจทางการเมืองเพราะมีการศึกษาต่ำ ความรู้ความสามารถน้อย ศัตรูหลอกเพียงน้อยนิด ก็ตกใจกลัวเอาตัวรอด ส่วนผู้ที่มีความรู้มีการศึกษาก็ไม่ทนต่อความยาก ลำบาก บุคคลหรือกลุ่มคนที่พร้อมจะทุ่มเทแรงกายแรงใจและยอมเสียสละเรื่องส่วนตัวและนำความรู้ความสามารถมาแบ่งปันมาสอนกัน มาร่วมกันพัฒนาบ้านเมืองเพื่อให้เกิดความแข็งแกร่งนั้นก็มีจำนวนน้อย ซึ่งความจริงแล้ว จิตใจรักชาตินั้นล้วนมีอยู่ในชนทุกกลุ่ม แต่ขาดความร่วมมือและความพร้อมเพรียงกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน  จึงทำให้การ ปฏิวัติไม่สามารถที่จะประสบความสำเร็จได้ 

สอง นโยบายทางด้านการเมืองที่แตกต่างกัน บ้างก็ต้องการความ เป็นสหภาพที่โปร่งใส จึงต้องการที่จะปรับปรุงแก้ไขการเป็นสหภาพ บ้าง ก็ต้องการที่จะแยกออกจากสหภาพเพื่อเรียกร้องเอกราช ความต้องการ ที่แตกต่างกันนี้จึงก่อให้เกิดความขัดแย้งกันในทางความคิด ซึ่งความขัดแย้งนี้ทำให้เสียเวลาและไม่สามารถรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้ และยัง ส่งผลให้ไม่มีความชัดเจนในการกำหนดมิตรหรือศัตรูที่แน่นอน การที่จะ เป็นมิตรแท้นั้นต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ ซึ่งหากเกิด การไม่พอใจและมีปัญหากันเองภายในกลุ่ม ก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องภายใน ไม่สมควรที่จะนำไปเปิดเผยให้กับฝ่ายศัตรูเพียงเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวหรือกลุ่มของตนเองเท่านั้น เพราะศัตรูก็คือศัตรู ซึ่งหากมีปัญหา ภายในกลุ่มที่ไม่สามารถจะแก้ไขให้เกิดความพอใจได้ ก็สามารถลาออก ไปเป็นพลเรือนหรือชาวบ้านธรรมดาแล้วยอมเข้าหาพูดคุยกันให้อภัย ซึ่งกันและกัน แต่กลับไม่ทำ พอเวลาที่เกิดเหตุการณ์ไม่พอใจกันเกิดขึ้นหรือเกิดความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ก็จ้องแต่จะเอาชนะซึ่งกันและกัน แล้วหันเข้าพึ่งศัตรู สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ทั้งคู่นั่นเอง

สาม การมีทิฐิส่วนตัวมากกว่าความรักชาติ จึงทำให้กลุ่ม กองกำลังปฏิวัติมีการขัดแย้งกัน ต่อสู้รบกันเองเพื่อแย่งชิงพื้นที่ มีความ หวงแหนพื้นที่ ไม่มีความคิดที่จะร่วมมือกันหวงแหนประเทศ บางกลุ่มที่ลุกขึ้นมาจับอาวุธอ้างว่าทำตามหน้าที่ของประชาชนและเพื่อที่จะปกป้องประชาชน แต่แท้จริงแล้วการกระทำนั้น เป็นการทำเพื่อประโยชน์ ส่วนตัวกับพรรคพวกของตัวเอง ด้วยแรงทิฐินี้เอง เป็นบ่อเกิดแห่งความ ไม่เข้าใจกัน สร้างความแตกแยกระหว่างกัน ทำให้กองกำลังปฏิวัติทั้งหมดไม่แข็งแกร่งพอที่จะพากันสู้รบกับศัตรูที่ร้ายกาจนั้นได้ อีกทางหนึ่ง ยังเป็นการสร้างความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องแก่กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่กำลังเติบโตมาเพื่อสานต่อเจตนารมณ์ของพวกเรา ฉะนั้นแล้วกองกำลังปฏิวัติทุกกลุ่ม ถ้าหากว่ามีความต้องการที่จะเอาชนะศัตรูก็ต้องลดทิฐิต่อกันลง ร่วมมือกันในการที่จะก่อสร้างความสามัคคีให้แข็งแกร่ง เพื่อที่จะไม่ทำให้เกิดความสูญเสียจนยากที่จะหาทางออกได้

สี่ ขาดผู้นำที่มีความรู้ความสามารถทางด้านการเมืองการทหาร และมีการศึกษาน้อย ถ้านำมาเปรียบเทียบกับผู้นำปฏิวัติของประเทศอื่น เช่น โฮจิมินห์แล้ว ยังห่างกันมาก การเคลื่อนไหวทางด้านการเมืองมีน้อย ยุทธศาสตร์ทางการเมืองของกลุ่มปฏิวัติก็ไม่ชัดเจน ซึ่งผู้นำด้านการเมืองนั้นต้องมีความสามารถและความรู้ในทุกด้าน มีใจซื่อสัตย์สุจริต ต้องมีความเสียสละส่วนตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวมเคารพกฎระเบียบมีวินัยที่ดีในการทำงานเพื่อส่วนรวมเป็นหลัก รู้จักสร้างขวัญกำลังใจแก่ประชาชนและทหาร รู้จักการผูกมิตรที่ดี ให้ความรู้แก่ประชาชน

ห้า กองกำลังปฏิวัติที่ตกลงหยุดยิงกับทางรัฐบาลทหารพม่านั้น ได้ทำการหยุดยิงมาเป็นเวลา 20 ปี จุดมุ่งหมายเพื่อที่จะพูดคุยเจรจากันทางด้านการเมืองนั้นกลับไม่มีความคืบหน้าอะไรเกิดขึ้นเลย ไม่เพียงเท่านั้น คนที่อยู่ในกลุ่มก็ยังไม่เข้าใจ รู้ไม่เท่าทันแผนของรัฐบาลทหารพม่า มัวแต่หลงมัวเมากับการทำธุรกิจหาเงิน หาผลประโยชน์ส่วนตัวรัฐบาลทหารพม่าจึงได้ใช้จุดนี้หลอกล่อทำให้แต่ละกลุ่มและบุคคลหลงลืมการบ้านการเมืองไปในที่สุด ทำให้กองกำลังเกิดความอ่อนแอ ง่ายต่อการควบคุม ซึ่งมีอยู่ 2 เหตุผลหลักที่ทางรัฐบาลทหารพม่าได้ทำการหยุดยิงกับกองกำลังปฏิวัติรัฐบาลทหารพม่า ซูจีได้ออกมาทำการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง รัฐบาลทหารพม่า จึงต้องระวังป้องกัน และให้ความสำคัญกับเรื่องภายในเรื่องนี้มาก


เหตุผลที่สอง เพื่อที่จะทำให้กลุ่มกองปฏิวัติของแต่ละชาติพันธุ์ไม่สามารถที่จะร่วมมือกับอองซาน ซูจี ทำการเคลื่อนไหวโค่นล้ม รัฐบาลทหารพม่าได้ จึงได้ทำการเจรจาหยุดยิง โดยอ้างผลประโยชน์ทาง การเมืองที่จะเกิดขึ้นร่วมกันในสหภาพ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว พม่าเพียง ต้องการระงับปัญหาชั่วคราวในการที่จะรับมือกับกองกำลังปฏิวัติต่อต้านรัฐบาลทหารพม่าเท่านั้น หากว่ากลุ่มหยุดยิงจะเข้าลงสมัครรับเลือกตั้ง หรือยอมรับที่จะเปลี่ยนเป็นกองกำลังอาสาสมัครรักษาชายแดน หรือยอมที่จะเป็นตำรวจชุมชนนั้น แสดงว่าการเมืองและจุดมุ่งหมายของกลุ่มที่หยุดยิงนั้นถือว่าประสบความล้มเหลว เพราะอย่างไรก็แล้วแต่ กลุ่มที่หยุดยิงก็ไม่ยอมรับรัฐธรรมนูญของรัฐบาลทหารพม่าอยู่แล้วแต่ ก็ยังจะปฏิบัติตามคำเสนอของรัฐบาลทหารพม่า แสดงว่าจุดมุ่งหมายทางด้านการเมืองของกลุ่มที่หยุดยิงนั้นไม่มีความมั่นคงและได้หมดสิ้นไปแล้ว

หก ด้านการทหารของกองกำลังปฏิวัติต่อต้านรัฐบาลทหารพม่า ถ้ากลับไปมองดูแล้ว ส่วนมากใช้การสู้รบแบบกองโจร (ในป่า)ไม่มีการวางแผนในด้านการรบแบบเต็มตัว การสู้รบระดับสูง และการรบให้ทัดเทียมกับทหารรัฐบาลทหารพม่า ยังจะเห็นได้ว่าการบังคับบัญชาของกองกำลังปฏิวัติยังขาดระเบียบวินัยและอ่อนแออยู่มาก


ยุทธศาสตร์ปราบไทใหญ่ของผู้นำพม่า 
--------------------------------------------------


ภาพวาดการลงนามในสธิสัญญาปางโหลง


หอหลวงเชียงตุงในอดีต ปัจจุบันถูกทุบทิ้งสร้างเป็นโรงแรม
รัฐฉาน(Shan state)และประเทศพม่าไม่ใช่ประเทศเดียวกัน ประเทศพม่ามีกษัตริย์ปกครองตนเอง รัฐฉานก็มีเจ้าฟ้าปกครองตัวเอง เช่นกัน และทั้งสองประเทศได้ทำศึกสงครามต่อกันมาทุกยุคทุกสมัย ในช่วงก่อนได้รับเอกราช นายพลอองซานผู้นำพม่าในขณะนั้นกับเจ้าฟ้าไทใหญ่ได้ร่วมมือกันเพื่อเรียกร้องเอกราช โดยมีการบัญญัติไว้ อย่างชัดเจนว่า หากจะร่วมกันเรียกร้องเอกราชต้องมีการทำหนังสือสัญญาต่อกัน ซึ่งเป็นที่มาของสนธิสัญญาปางโหลง(Panglong Agreement) และในหนังสือสนธิสัญญานี้ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า รัฐฉาน (Shan State)และพม่าไม่ใช่ประเทศเดียวกัน

ภายหลังที่มีการร่วมมือกันก่อตั้งเป็นสหภาพ ฝ่ายเจ้าฟ้าไทใหญ่ ต้องการเปลี่ยนระบอบการปกครองในรัฐฉานจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ปกครองโดยเจ้าฟ้า มาใช้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยแทน แต่ว่าในพม่าเกิดความขัดแย้งในระดับผู้นำด้วยกันเอง ต่างฝ่ายต่างพยายามช่วงชิงอำนาจการปกครอง โดย ผู้นำบางส่วนมีความเห็น ว่าไม่ควรปล่อยให้ไทใหญ่(Shan) มีสิทธิแยกตัวออกมา แต่ว่านายพลอองซานกลับมีความคิดแบบค่อยๆ กลืน ชาติพันธุ์ไทใหญ่ โดยการที่จะทำให้ชาติพันธุ์ไทใหญ่ไม่มีความคิดที่จะแยกตัวออกไปนั้นขึ้นอยู่กับการกระทำของเราชาวพม่าในระยะเวลา 10 ปี ที่เป็นสหภาพร่วมกัน

ถ้าเราสามารถส่งเสริมให้ประชาชนในรัฐฉานศึกษาภาษาพม่าทั้งการพูดการเขียน เรียนรู้วัฒนธรรมประเพณีและแต่งกายด้วยชุดประจำชาติของพม่าได้ ถึงเวลานั้นประชาชนในรัฐฉานก็หมดความคิดที่จะแยกตัวออกไป จากคำกล่าวของนายพลอองซานนี้เอง ทางพม่าจึงได้นำมาประยุกต์ใช้เป็นแผนยุทธศาสตร์แห่งชาติจวบจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งหากเรามาพิจารณาดูจะเห็นว่าที่ผ่านมา พม่าได้พยายามกระทำการที่จะกลืนชาติพันธุ์ไทใหญ่ในทุกวิถีทาง

หนึ่ง ยุทธศาสตร์ด้านการศึกษา ให้เยาวชนในรัฐฉานศึกษาเล่าเรียนและใช้ภาษาพม่าในการสื่อสารเท่านั้น ไม่อนุญาตให้มีการสอนภาษาไทใหญ่ในสถานศึกษาและกระตุ้นให้ประชาชนนิยมในประเพณีวัฒนธรรมของพม่า อีกทั้งยังส่งเสริมให้เยาวชนในรัฐฉานครองเรือนกับชาวพม่า โดยรุ่นลูกรุ่นหลาน นั้นจะระบุสัญชาติเป็นไทใหญ่-พม่า(Shan-Myanmar และจะกลืนเป็น สัญชาติพม่า (Myanmar) ในรุ่นเหลน

สอง ยุทธศาสตร์ด้านหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์  ถึงแม้ว่าในพม่าจะมีการช่วงชิงอำนาจการปกครองในระดับผู้นำด้วยกันเอง แต่ผู้นำทุกคนที่ขึ้นมามีอำนาจล้วนมีความคิดที่เหมือนกันอยู่ประการหนึ่งก็คือ การไม่ยอมให้กลุ่มรัฐฉานแยกตัวออกมาปกครองตนเอง โดยพยายามที่จะผลักดันให้คำว่า สหภาพพม่านั้นหมายถึงประเทศพม่าเพียงประเทศเดียว และต้องการสถาปนาการปกครองให้เป็นของพม่าแต่เพียงผู้เดียว ดังนั้นพม่าจึงต้องการเผาทำลาย หลักฐานทางประวัติศาสตร์ทุกอย่างที่เป็นของชาวไทใหญ่ ทำลาย ศิลปะและวัตถุ โบราณล้ำค่าคู่บ้านคู่เมือง เช่น เจดีย์เก่า พระพุทธรูปเก่าแก่ วัดเก่า ตลอดจนงานศิลปะ วรรณกรรม อันมีค่าของชาวไทใหญ่ จนเกิดความเสียหายย่อยยับ จากนั้นทำการบูรณะซ่อมแซมหรือสร้างขึ้นใหม่ในแบบศิลปะของชาวพม่าขึ้นแทน เช่น เจดีย์หม่อโจ่ เมืองสี่ป้อ เจดีย์กาดกู่ทุ่งโปง ถูกพม่าทุบทำลายแล้วสร้างขึ้นใหม่ตามแบบศิลปะ ของพม่า และยังได้ทำลายพระราชวังหอคำของเจ้าฟ้าเชียงตุงแล้วทำ เป็นโรงแรมให้บริการห้องพักแทน นอกจากนี้พระราชวังหอคำของ เจ้าฟ้าหยองห้วย เจ้าฟ้าสี่ป้อ เจ้าฟ้าลายค่า ซึ่งล้วนเป็นสมบัติอันล้ำค่าทางประวัติศาสตร์ของชาวไทใหญ่ที่ควรจะได้รับการบูรณะซ่อมแซมรักษาไว้ให้ลูกหลานชาวไทใหญ่ได้รู้ได้เห็น ได้ศึกษาเล่าเรียน พม่ากลับ ทำลายทิ้ง ในทางตรงกันข้าม หากเป็นสมบัติของพม่าเอง เช่น พระราชวัง หอคำมัณฑะเลย์ หุ่นรูปเหมือนพระเจ้าบุเรงนอง นครปะก่าน เหล่านี้ จะถูกป้องกันดูแลรักษาไว้อย่างดี ซึ่งการที่พม่ากระทำการเช่นนี้ก็เพื่อมีวัตถุประสงค์ให้เยาวชนรุ่นหลังเห็นว่า ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นศิลปะวัฒนธรรมของพม่ามาตั้งแต่ดั้งเดิม

สาม ยุทธศาตร์ด้านการสร้างความแตกแยกให้เกิดในกลุ่มชาติพันธุ์ในรัฐฉานผู้นำพม่าต้องการให้กลุ่มชาติพันธุ์ในรัฐฉาน อันได้แก่ ชาติพันธุ์ว้า (Wa) ชาติพันธุ์ปะโอ (Pa-o) ชาติพันธุ์ปะหล่อง (Palaung)  ชาติพันธุ์ลาหู่ (Lahu) และชาติพันธุ์ไทใหญ่(Shan) เกิดความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน ยุแหย่ให้เกิดความบาดหมางใจกัน โดยการเสนอสิทธิผลประโยชน์เล็กน้อยแล้วก่อให้เกิดความแตกแยกกันเองภายในกลุ่มชาติพันธุ์รัฐฉาน จนถึงขั้นสู้รบกันเอง เมื่อกองกำลังกลุ่มต่างๆ อ่อนแอลง พม่าก็ได้ฉวยโอกาสใช้กำลังทหารของตนบุกเข้ายึดครองกลุ่มชาติพันธุ์ทั้งหมด

สี่ ยุทธศาสตร์ด้านการเมือง พม่าใช้วิธีทางการเมืองหลอกลวงให้ประชาคมโลกเห็นว่าตนเองนั้นเป็นรัฐบาลทำการปกครองโดยความเที่ยงธรรม และทำการใส่ร้ายกลุ่ม ชาติพันธุ์ในรัฐฉานว่าเป็นผู้ก่อเหตุความวุ่นวาย อีกทั้งพม่ายังได้ใช้วิธีทาง การทูตเข้ายึดครองพื้นที่ทางการเมืองตามประเทศต่างๆ จนกลุ่มต่างๆไม่สามารถเข้าหาประเทศเหล่านั้นได้ ตามที่กฎบัตรอาเซียนได้บัญญัติไว้ว่า จะไม่เข้าไปแทรกแซงกิจกรรมทางการเมืองของประเทศสมาชิก ซึ่ง เข้าทางแผนยุทธศาสตร์ของพม่าเป็นอย่างดี ในทางกลับกัน กลุ่มผู้รักชาติพันธุ์ในรัฐฉานนั้นได้ทำการต่อสู้กับพม่าด้วยวิธีการซื่อตรง เพื่อหวัง เพียงที่จะได้ผืนแผ่นดินของตนกลับคืนมา

ห้า ยุทธศาสตร์ด้านการทหาร พม่าใช้กำลังทหารเข้าทำการรบ ทำการทารุณกรรมอย่างรุนแรง ละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ในทุกรูปแบบ โดยหวังกดดัน ให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์เกิดความกลัวเกรง ไม่กล้าลุกขึ้นต่อต้านหรือเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาล จากนั้นก็ใช้กำลังทหารเข้าทำการกวาดล้าง กองกำลัง ปฏิวัติกอบกู้เอกราชกลุ่มต่างๆ อย่างเด็ดขาด

แผนยุทธศาสตร์ทั้งห้านี้ พม่าใช้สำหรับกำราบปราบปรามกลุ่มกองกำลังติดอาวุธทั้งหมดให้ล่มสลายไป ซึ่งพม่านั้นได้กระทำการด้วยความเด็ดขาดต่อรัฐฉานมาโดยตลอด แต่ประชาชนในรัฐฉานกลับไม่ สามารถกระทำการใดๆ ต่อพม่าได้เลย การปฏิวัติกอบกู้เอกราชในสหภาพ พม่าจึงยังไม่มีกลุ่มไหนสามารถกระทำได้สำเร็จ ยุทธวิธีที่กองทัพรัฐบาล เผด็จการทหารพม่านำมาใช้กับกลุ่มชาติพันธุ์รัฐฉานนั้น เป็นยุทธวิธีขั้นเด็ดขาดที่เรียกว่า ยุทธวิธีตัด 4 (Four Cut) โดยทำการขับไล่ชาวบ้าน ให้ย้ายถิ่นฐานที่ทำกิน ใช้ไฟจุดเผา ทำลายบ้านเรือนที่อยู่อาศัย เข่นฆ่า ผู้บริสุทธิ์ ตลอดจนการบังคับขืนใจหญิงสาวชาวบ้าน ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ ทหารพม่าได้เข้ามากระทำในพื้นที่รัฐฉานและรัฐชาติพันธุ์อื่นๆ มาเป็น เวลานานกว่า 50 ปีแล้ว การกระทำเช่นนี้ส่งผลให้ผู้คนเกิดความหวาดกลัวจนต้องละทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิดเมืองนอน หลบหนีเข้ามาทำงาน รับจ้างหาเลี้ยงตัวเองอยู่ในประเทศไทยกว่า 2 ล้านคน และที่หนีเข้าใน ประเทศจีนและลาวก็มีอยู่ไม่น้อย ซึ่งปัญหาเหล่านี้ พูดได้ว่าเป็นการสร้าง หรือผลักภาระให้กับประเทศเพื่อนบ้านโดยฝีมือของพม่า

ดังที่กล่าวมา พม่านั้นจะกระทำทุกวิถีทางเพื่อให้สำเร็จบรรลุตามแผนยุทธศาสตร์ที่ได้กำหนดไว้ ดังเช่น การจัดให้มีการ เลือกตั้งทั่วไปใน ปี ค.ศ 2010 นั้นก็ไม่ใช่ทางออก หรือเป็นวิธีการ แก้ปัญหาในสหภาพพม่าเลย พม่าจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปเพียงเพื่อต้องการแสดงตนต่อประชาคมโลกว่า ตนก็ได้ดำเนินการตามแนวทางของระบอบประชาธิปไตยเช่นกัน ตามแผนโรดแมป 7 ขั้นตอนของพม่า เพื่อให้แรงกดดันจากประชาคมโลกลดน้อยลงโดยพม่าไม่ได้หวังที่จะให้เกิดความปรองดองภายในชาติเกิดขึ้น ตามที่ได้กล่าวอ้างต่อชาวโลก.