ถนนฝุ่นเกวียนเทียมม้า ณ เมืองพุกาม

ทุ่งทะเลเจดีย์อันเลื่องชื่อแห่งพุกามริมแม่น้ำอิรวดี




โดย ไพศาล เปลี่ยน

เกวียนหลังขนาดพอเหมาะกำลังเคลื่อนไปบนถนนฝุ่นสีแดงตามจังหวะย่างเหยาะของม้าที่กำลังย่ำเดินไปข้างหน้า กระโดกกระดอนก็ตามทางที่จะไป เหวี่ยงไปซ้ายทีโยกไปขวาที พอให้กระดูกขยับลั่นได้บ้างเอาเพลิน ก็ได้รำลึกบางอย่างที่ เคยผ่ านมาบ้างก็ดี อยากสบายทุกอย่ างที่ต้องการก็นั่งอยู่บ้านแล้วเอาพัดลมโกรกหว่างขาเอานั่นแหละไม่ต้องมาให้เสียความรู้สึก


“ม้าตัวนี้มันชื่ออะไรเหรอ...” เราถามซอทะ เด็กหนุ่มผู้เป็นสารถีและเป็นไกด์นำทางด้วย

“ม้าไม่มีชื่อ... ไม่มีใครตั้งชื่อให้ม้ากันหรอก” เด็กหนุ่มวัย 22ตอบพร้อมยิ้มเห็นฟันที่ทิ้งคราบหมากอยู่ในร่องฟัน พลางใช้แซ่ม้าฟาดไปข้างแก้มก้นมัน บางครั้งก็เคาะเข้าที่ข้างเกวียนแล้วส่งเสียง เอ้ว เอ้ว...ยามเมื่อจะให้ม้าวิ่งเหยาะๆ เลี้ยวไปข้างใดข้างหนึ่ง ม้ามันคงรู้ว่านี่คือภาระที่ต้องทำตามเพื่ออาหารในมื้อต่อไป ก็เช่นเดียวกับเด็กหนุ่มรู้ว่านี่คืองานของวันนี้กับภาระที่รออยู่ข้างหน้าและวันต่อไป...


ฟ้าสีฟ้าใส....อากาศร้อนแต่มีสายลมพัดมาปะทะเป็นระยะ ระหว่างทางถนนที่ม้าเหยาะผ่านหมู่เจดีย์มากมายผุดผงาดเหนือแมกไม้ และพืชไร่ นี่หรือที่เขาเรียกกันว่า “ทะเลเจดีย์”(Pagoda Sea) แห่ง เมืองพุกาม หรือ “Bagan” เรามาถึงอย่างที่หวังจะมาเห็นแล้วจริงๆ


เมื่อพูดถึง พม่า หรือ เมียนมาร์ (Myanmar) คุณนึกถึงอะไรหรือ? เจดีย์ชเวดากอง จะเด็ดผู้เป็นเลิศ สยบได้ทั้งเชิงรบและเชิงรัก ตะละแม่ จันทรา พม่าแทงกบ ถ่านไฟฉายตรากบ ยาหม่อง  ทานาคาบนใบหน้า หญิงสาว โสร่ง โมฮิงก่า-ขนมจีนพม่า สัญญาปางโหลงที่ถูกฉีกขาดวิ่น โบเมียะ ฝิ่น ยาบ้า ขุนส่า นายพลขิ่นยุ้น รัฐบาลเผด็จการทหาร  นางอองซาน ซูจี หญิงเหล็กกับอิสระภาพที่ถูกกักกั้น เนปีดอว์ อุโมงค์ ใต้ดิน โครงการหัวรบนิวเคลียร์ พายุนาร์กิส การปราบปรามประชาชน ที่ต้องการอิสรภาพและประชาธิปไตยอย่างแท้จริง  ชนกลุ่มน้อยกับการรบพุ่งเพื่อการสร้างชาติ...ร้อยแปดคิดประหวัดไปถึง


แน่นอน..พม่า ประเทศในสุวรรณภูมิมีปัญหาพันกันยุ่งในตัวมันเองอยู่มาก สิทธิและเสรีภาพที่ผู้คนพึงมีพึงได้รับถูกลิดรอนโดยรัฐบาลเผด็จการทหารมาเนิ่นนาน การปราบปรามด้วยความเหี้ยมเกรียม มีให้เห็นทุกครั้งที่เกิดการลุกฮือของประชาชนในพม่า ไม่เว้นแม้แต่พระสงฆ์ก็โดนปราบอย่างเหี้ยมเกรียมยิ่ง เพราะต่างก็เรียกร้องสิทธิและเสรีภาพอิสรภาพเช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป ทั้งที่ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ชาวพม่านับถือและถือเป็นศาสนาประจำชาติก็ไม่ได้ถูกเว้นในกรณีนี้ ดูไปมันไม่ต่างจากประเทศเพื่อนบ้านเช่นไทยเลย  พุทธซะเหลือเกินแต่การกระทำต่อกันเอง สุดเหี้ย...ม จนน่าสลดใจ... แม่ง...


การมาถึงเมืองพุกามนั้นไม่ยาก แต่ด้วยระยะทางระหว่างย่างกุ้งมาที่พุกามค่อนข้างไกลอยู่  เราสมควรมาแวะที่มัณฑะเลย์เสียก่อน หรือถ้า ใครร้อนใจอยากจะเห็นทะเลเจดีย์มากก็เลือกใช้บริการสายการบินภายในประเทศที่มีบริการอยู่หลายบริษัท  เที่ยวบินมีทุกวันสะดวกพอควรไม่เก่าคร่ำดังคำลือ ราคาพอสมควรและก็ย่นระยะเวลาได้ดี อ้อ...ยังไม่เคยได้ยินเรื่องดิ่งพื้นน่าจะไว้ใจได้ แฮ่ม...


แต่ก่อนที่จะเข้าไปยังพุกาม คุณจะต้องจ่ายค่าเข้าเมือง 10 ยูเอส ดอลลาร์เสียก่อนหน้าด่านทางเข้า ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะรู้ว่าเราเป็นใคร  คนพม่าที่นั่นหรือนักท่องเที่ยว ก็หน้าตาเครื่องแต่งตัวต่างกันซะอย่างนั้น ดูไม่ยากดอก ค่าตั๋วนั้นรวมไปถึงค่าเข้าชมเจดีย์ในพุกามตลอดเท่าที่คุณจะมีแรงถ่อไปดูได้ แฟร์(fair)ดีเมื่อเทียบกับประเทศอื่นอย่างโบโรพุทโธในอินโดนีเซียอย่างเดียวคุณต้องจ่ายถึง 15 เหรียญยูเอส หรือ 500 บาท สะใจซะไม่มี


ตัวเมืองพุกามไม่ได้ดูใหญ่โตอะไรมากนัก บ้านเรือนเหมือนหัวเมืองเก่าในประเทศแถบนี้อย่างในลาว ตัวตึกและบ้านเก่าได้รับอิทธิพลจากประเทศที่มาครอบครองเป็นอาณานิคมอย่างอังกฤษวิถีชีวิตผู้คนที่นี่ดูจะเรียบง่าย ไม่เร่งรีบแต่ก็ไม่ได้หยุดนิ่งจนดูไร้ชีวิต  เป็นเช่นวิถีชนบทพึงเป็นยามเช้าผู้คนออกมาจับจ่ายซื้อข้าวของผักปลาเครื่องใช้ไม้สอยส้มสูกลูกไม้ก็เยอะไปหมด ใครที่ชื่นชอบอโวคาโด ขอบอกที่พม่าราคาถูกอย่างไม่น่าเชื่อ บวบในเมืองไทยยาวไม่ถึงฟุตแต่ที่นี่หนึ่งเมตรถือเป็นธรรมดา ยังไม่นับรวมทั้งทานาคา สินค้ายอดฮิตประจำชาติมีทั้งสำเร็จรูปและเป็นท่อนไม้ใหญ่กว่าน่องขาก็เยอะ ที่ชอบอย่างหนึ่งผู้คนยังใช้เกวียนเทียมม้ากันอยู่ ดูเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของพุกาม มันมีเสน่ห์อย่างหลายเมืองที่เคยผ่านเข้าไป วิถีชีวิตเช่นนี้เราคงหาไม่ค่อยได้แล้วในเมืองไทยปัจจุบันแต่ที่นี่ถือเป็นธรรมดาของเขา...


“ดีแล้วครับที่จ้างเกวียนไปชมเจดีย์” เ
จ้าของเกสเฮาส์บอกกับ พวกเราหลังจากจัดการกับขนมปัง ไข่ดาวเรียบร้อย เมื่อเห็นสีหน้าสงสัย จึงเว้าบอกว่า“ถ้าใช้เกวียนเงินจะเข้าไปถึงมือชาวบ้านเต็มๆ แต่ถ้าเช่า รถยนต์ เงินส่วนหนึ่งจะเข้าเป็นของหลวงถึงมือชาวบ้านไม่มากเท่า” อย่างนี้นี่เอง ด้วยรักและยืนอยู่ข้างชาวบ้านผู้หากินแลกมาด้วยพลังกายและหยาดเหงื่อ แน่นอน...เราเลือกใช้เกวียน


แต่เริ่มอาณาจักรพุกามตั้งอยู่ในพื้นที่ที่เรียกได้ว่าเป็นทะเลทรายข้างแม่น้ำอิรวดี แน่นอนมันต้องร้อน และแสงแดดยามเช้านี้ก็ค่อนข้าง ร้อน ถนนฝุ่นนำเกวียนเข้าสู่เจดีย์ใหญ่ เราปีนขึ้นข้างบน เป็นทางแคบ เล็กๆ เข้าไป เบื้องหน้าเป็นภาพกว้างหันได้รอบกาย เจดีย์รูปทรงสวยงาม ตั้งตระหง่านเสียดยอดโผล่พ้นยอดไม้สูงลดหลั่นใกล้ไกลอยู่เต็ม ปหมด  ทะเลเจดีย์ที่ว่ากันว่าแต่ก่อนเก่ามีถึง 4,196 องค์ (เริ่มปี พ.ศ. 1585- พ.ศ. 1830) ผ่านกาลเวลานับแต่ยุค พระเจ้าอโนรธา มั่งช่อ กษัตริย์ผู้ สถาปนาเมืองพุกามนี้ และแล้วพุกามก็เริ่มถึงกาลล่มสลายลง เมื่อกองทัพมองโกลโดยกุบไล่ข่าน กษัตริย์ผู้เกรียงไกรนำทัพเข้ามารบพุ่งจนมีชัยต่อพุกาม

และก็ด้วยกาลเวลาอีกเหมือนกันที่มีส่วนทำให้เจดีย์ในพุกามล่มล้มลง  ในปี ค.ศ 1975 เกิดแผ่นดินไหวขึ้น ทำให้หมู่เจดีย์จำนวนมาก ล้มครืนลงมา แต่ด้วยศรัทธาอันยึดแน่น  ได้มีการบูรณะขึ้นใหม่และอีกมากก็เป็นการสร้างเพิ่มขึ้นทดแทนด้วยพลังศรัทธา ของผู้คน จนถึงวันนี้ พุกามมีเจดีย์เหลือเป็นหมุดหมายของศาสนาพุทธที่เจริญรุ่งเรืองมาเนิ่นนาน ถึง 2,227 องค์ ก็นับว่ายังความยิ่งใหญ่อยู่อย่างสง่างาม ยิ่งยากที่สิ่งใดจะมาล้มล้างลงได้


ถ้าว่ากันตามจริง ต่อให้ดินแดนทะเลเจดีย์จะทรุดโทรมยากแก่การเข้ามาถึงได้ง่าย ยังไงก็ยังมีผู้คนที่มีศรัทธานับถือศานาพุทธเดินทางมาแสวงบุญกราบไหว้อยู่ดี เพราะนี่คือหนึ่งของสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตวิญญานที่พวกเขาพึงแสวงหาว่ากันว่าชาวพม่าจะนับถือศาสนสถานมาก ในห้วงชีวิตถ้าได้มานมัสการ กราบไหว้สักครั้งถือว่าเป็นบุญใหญ่หาที่เปรียบได้ เราจึงมักเห็นผู้คนนั่งรถไกลจากใต้สู่เหนือเบียดเสียดกันเพื่อมานมัสการเจดีย์ที่พุกามอยู่ตลอดเวลา


แสงแดดยามเย็นมาพร้อมกับสายลมเอื่อยที่พัดมาจากแม่น้ำอิรวดี ประกายแดดสะท้อนสีทองอร่ามขององค์เจดีย์ Bupaya ที่ตั้งอยู่เคียงข้างแม่น้ำนั้นมาเนิ่นนาน  และแน่นอน...วันนี้เป็นเดือนเพ็ญ แสงจันทร์เพ็ญจะอาบไล้องค์เจดีย์ให้อร่ามนวลแทนที่แสงอาทิตย์ที่เริ่มอัสดง พุกามยังดำรงอยู่ไม่เสื่อมคลายนับถือด้วยศรัทธาของผู้คนตลอดไปเช่นนั้น...

หมู่พิราบในฟ้าครามเหนือองค์เจดีย์วัดอนันดา




ทานาคาเครื่องประทินผิวท่อนเท่าน่อง
ในตลาดยามเช้า






พระยืนสีทองสุกอร่ามในปางต่างๆท่ามกลางศรัทธาของผู้คน