องค์กรเยาวชนปะโอ ต้นกล้าใหม่ใต้เผด็จการ

โดย หมอกเต่หว่า

ความแร้นแค้นในพม่าผลักดันให้คนจำนวนมากจากบ้านเกิดมุ่งหน้าแสวงหาโชคในประเทศอื่น ขณะที่หนุ่มสาวชาวปะโอกลุ่มหนึ่งในรัฐฉานกลับมีจุดประสงค์ที่แตกต่าง สิ่งที่พวกเขาแสวงหาไม่ใช่เงินทองหรือชีวิตที่สุขสบาย แต่เป็นความรู้และการศึกษา ที่พวกเขาเชื่อว่าจะสามารถนำกลับไปเผยแพร่ให้กับคนในชุมชนและส่งมอบให้กับคนอื่นๆ เพื่อเป็นรากฐานสำคัญที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของชุมชน รวมถึงการเปลี่ยนแปลงประเทศได้ในอนาคต พวกเขาเรียกตัวเองว่าองค์กรเยาวชนปะโอ (Pa O Youth Organization - PYO) ต้นกล้าใหม่ใต้เงาเผด็จการ


องค์กรเยาวชนปะโอก่อตั้งขึ้นในปี 2541 ในเชียงใหม่ โดยกลุ่มพระสงฆ์ชาวปะโอร่วมกับหนุ่มสาวชาวปะโอที่มาจากต่างสถานที่ในรัฐฉาน แต่มีจุดประสงค์หลักร่วมกัน คือ การเผยแพร่วัฒนธรรมชาวปะโอ ส่งเสริมการศึกษาและสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นในชุมชนชาวปะโอ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น เพื่อให้คนรุ่นใหม่เหล่านี้กลับไปทำงานและเป็นผู้นำของชุมชนชาวปะโอในอนาคต

แม้การก่อตั้งองค์กรในช่วงแรกเป็นไปด้วยความยากลำบากและอุปสรรคมากมาย หากเปรียบได้ก็เหมือนกับเมล็ดพันธุ์ที่เติบโตในทะเลทราย ทั้งขาดน้ำหล่อเลี้ยงและต้องเผชิญกับลม และแสงแดด แต่ก็ค่อยๆ เติบโตยืนหยัดได้ในที่สุด และเป็นที่พึ่งและร่มเงาให้กับเมล็ดพันธุ์ใหม่ๆ ต่อไป

ขุนทุนติ่น คณะกรรมการระดับสูงซึ่งทำงานกับ PYO มาตั้งแต่ปี 2543 เล่าว่า “เราไม่สามารถตั้งออฟฟิศในพม่าได้ แต่ก็มีสมาชิกส่วนหนึ่งอยู่ที่นั่น ซึ่งมีบทบาทสำคัญ เพราะได้เคลื่อนไหวด้านการเผยแพร่องค์กรของเราให้กับเยาวชนในฝั่งพม่าอย่างต่อเนื่อง ในแต่ละปีจึงมีเยาวชนชาวปะโอจากรัฐฉานทยอยเข้ามาทำงานร่วมกับเรา บางส่วนต้องการจะเรียนต่อ เราก็ให้การสนับสนุนพวกเขาต่อไป”

ขุนอู หนุ่มวัยยี่สิบต้นๆ เป็นอีกคนหนึ่งที่เดินทางเข้าไทยเมื่อสองปีก่อน เขารู้จักกับองค์กร PYO ผ่านสมาชิกของPYO ในรัฐฉาน

“ชาวบ้านที่มีชีวิตอยู่ในพม่าต่างถูกปฏิเสธสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานทุกรูปแบบ ผมรู้ว่าประชาธิปไตยคืออะไรแต่ก็ไม่เคยสัมผัสมันเมื่ออยู่ในพม่า แต่ผมก็ยังเชื่อว่า การศึกษาเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก ดังนั้นผมจึงตัดสินใจมาที่นี่ ผมอยากเรียนรู้ต่อไปเรื่อยๆ สิ่งที่ผมอยากจะเห็นในอนาคตก็คือ ผมอยากเปลี่ยนชุมชนของผม อยากให้คนในชุมชนมีการศึกษาเยอะๆ เพราะผมเชื่อว่า ถ้าพวกเขามีการศึกษาพวกเขาก็จะสามารถเรียนรู้เรื่องอื่นๆต่อไป ทั้งเรื่องสิทธิมนุษยชน สิ่งแวดล้อมและรู้หน้าที่และสิทธิของตัวเอง” ขุนอูกล่าว

สิ่ งที่ PYO ได้ทำมาตั้งแต่ เริ่ มแรก นอกจากการส่ งเสริมด้านศึกษาแล้ว ยังจัดอบรมเรื่ องประชาธิปไตยสิทธิมนุษยชน สุขภาพ และสิ่งแวดล้อม ให้กับคนหนุ่มสาวจากรัฐฉานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเยาวชนที่เรียนจบมาบางส่วนได้กลับเข้ามาทำงานกับ PYO สานต่ออุดมการณ์และเป้าหมายขององค์กรให้เดินไปข้างหน้า

ในปี 2545 PYO ได้เริ่มจัดโครงการสอนหนังสือให้กับเด็ก ซึ่งเป็นผู้ลี้ภัยชาวปะโอทั้งในจ.แม่ฮ่องสอน และในอ.แม่สอด จ.ตาก โดยมีการส่งสมาชิกของ PYO เข้าไปสอนหนังสือ โดยเฉพาะภาษาปะโอให้กับเด็กๆ ชาวปะโอเป็นเวลา 3 – 4 เดือน ในแต่ละปี ซึ่งยังเริ่มดำเนินการมาจน ถึงปัจจุบัน

ต่อมาในปี 2548 PYO ได้เริ่มจัดตั้งโครงการสุขภาพขึ้น โดยมีการส่งสมาชิกที่สนใจด้านสุขภาพไปฝึกอบรมที่ คลินิกแม่ ตาวในอ. แม่ สอด จ.ตาก เมื่ อสมาชิกกลุ่ มนี้จบหลักสูตรจะถูกส่ งกลับเข้าไปในชุมชนชาวปะโอในรัฐฉานปีละครั้ง โดยสมาชิกกลุ่มนี้จะต้องทยอยไปตามหมู่บ้านต่างๆ เพื่อไปให้ความรู้เกี่ยวกับด้านสุขภาพ เช่น การให้ความรู้เรื่องโรคเอดส์ เป็นต้น นอกจากการให้ความรู้กับชาวบ้านโดยตรงแล้ว องค์กร PYO ยังได้ฝึกอบรมให้กับชาวบ้านในพื้นที่ในรัฐฉานโดยตรงเพื่อให้ชาวบ้านที่ผ่านการอบรมไปเผยแพร่ให้กับคนอื่นๆ

แต่สิ่งที่ทำให้หลายคนรู้จักกับ PYO มากขึ้นก็คือ การออกรายงานเรื่อง Robbing the future เมื่อปี 2552ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นรายงานที่เปิดโปงเกี่ยวกับบริษัทรัสเซียร่วมมือกับทางการพม่าเข้าไปทำเหมืองแร่ในเมืองตองยีของรัฐฉาน ผลกระทบจากการสร้างเหมืองแร่ได้ทำให้กับชาวบ้านกว่า 7,000 คนต้องสูญเสียบ้านและที่ทำกิน และยังส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังประชาชนในพื้นที่อีกกว่า 35,000 คน โดยรายงานฉบับนี้ใช้เวลาติดตามและหาข้อมูลนานกว่า 3

ขุนทุนติ่น หนึ่งในผู้จัดทำรายงานชิ้นนี้เล่าว่า “การเข้าไปทำรายงานในแต่ละครั้ง เราต้องเตรียมตัวและวางแผนอย่างดี นอกจากจะต้องระมัดระวังทหารพม่าแล้ว พวกเรายังต้องปรับตัวให้เข้ากับชาวบ้านให้ได้เร็วที่สุดและทำให้พวกเขาไว้ใจเราและยอมเปิดเผยข้อมูล แม้ว่าผมจะกลัวทหารพม่า แต่ผมก็อยากให้คนภายนอกได้รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในชุมชนของเรา ผลตอบรับจากรายงานฉบับนี้ ชาวบ้านบางส่วนที่ถูกยึดที่ทำกินได้รับค่าชดเชยจากบริษัทรัสเซียแล้ว”

ทั้งนี้ PYO เริ่มทำรายงานที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมและผลกระทบต่อชุมชนของตนในรัฐฉานมาตั้งแต่ปี2549 โดยในแต่ละปี PYO จะส่งสมาชิกเข้าไปทำรายงานในหัวข้อที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งนับตั้งแต่ก่อตั้งองค์กรมาเป็นระยะเวลา 12 ปี มีสมาชิกที่เข้าร่วมกับ PYO แล้วหลายร้อยคน ขณะที่ปัจจุบันมีสมาชิกที่ปฏิบัติงานทั้งสิ้น 22คน กระจายอยู่ทั้งในจ.เชียงใหม่ อ.แม่สอด จ.ตาก และจ.แม่ฮ่องสอน รวมทั้งในพม่า

ด้านขุนเยตวย หนึ่งในสมาชิก PYO เล่าว่า เขาดีใจที่ได้เข้ามาทำงานร่วมกับ PYO และได้ทำงานให้กับคนปะโอ โดยในอนาคตเขาวางแผนที่จะเรียนในระดับที่สูงต่อไป เมื่อเรียนจบก็กลับเข้ามาทำงานให้กับ PYO และคนปะโอต่อไป

อาจกล่าวได้ว่า PYO เป็นเพียงกลุ่มเล็กๆ ที่ทำงานที่ใหญ่และหนัก แต่พวกเขาก็ไม่ได้เดินอยู่ตามลำพังบนเส้นทางสายนี้ เพราะพวกเขาได้จับมือกับเยาวชนกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ในพม่าที่ต้องการเห็นประชาธิปไตยความเท่าเทียม เสรีภาพและความยุติธรรมเกิดขึ้นในประเทศ โดยการเข้าเป็นสมาชิกของกลุ่ม Students and YouthCongress of Burma (SYCB) และกลุ่ม Nationalities Youth Forum (NY Forum) และนอกเหนือไปจากการเปลี่ยนแปลงของชุมชนที่เป็นไปในทางสร้างสรรค์และพัฒนาแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดที่พวกเขาต้องการจะเห็นมากกว่านั้นก็คือ ความสงบ สันติภาพ และเสรีภาพที่เกิดขึ้นในบ้านเกิด

“สิ่งที่ทุกข์ยากและสาหัสที่สุดสำหรับชาวบ้านในพม่าตอนนี้ ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นกับชาวปะโอเพียงกลุ่มเดียวก็คือ การไม่มีที่ทำกิน เพราะถูกทหารพม่ายึดไปทำประโยชน์ให้กับตัวเอง ซึ่งปัญหานี้บีบคั้นให้หลายคนเดินทางเข้ามาหางานทำงานในไทยอย่างไม่มีทางเลือก บางคนไม่ได้ประสบความสำเร็จในการเข้ามาหางานทำที่นี่ เพราะตกไปเป็นเหยื่อขบวนการค้ามนุษย์ กลายเป็นปัญหาลูกโซ่ต่อไป ประชาชนทุกชนชาติในพม่าต้องการเห็นสันติภาพเกิดขึ้นในบ้านของตัวเอง และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสงบ โดยไม่ต้องกลัวว่าใครจะมายึดที่ทำกินไป หรือใครจะมาทำร้าย นั่นเป็นสิ่งที่ทุกคนหรือแม้แต่ตัวผมอยากจะเห็นจริงๆ” ขุนทุนติ่นกล่าวทิ้งท้าย