โดย หมอกเต่หว่า
Orphans of Burma’s Cyclone เป็นสารคดีที่ แพร่ ภาพในรายการ Dispatches ของสถานีโทรทัศน์ Channel 4 ในอังกฤษ ซึ่งเผยให้เห็นชีวิตจริงของเด็กกำพร้า 8 คนในพื้นที่ประสบภัยนาร์กิสซึ่ งต้องพบกับชะตากรรมที่ พลิกผันหลังกำพร้าพ่อแม่ในชั่วข้ามคืน พวกเขาต้องดิ้นรนต่อสู้อย่างยากลำบากตามลำพัง เพื่อให้มีชีวิตอยู่รอด เด็กกลุ่มนี้เป็นเพียงเด็กกลุ่มเล็กๆ ที่สะท้อนถึงชีวิตและปัญหาที่เด็กอีกหลายหมื่นคนในพื้นที่ประสบภัยนาร์กิสต้องเผชิญ
ช่วงค่ำของวันที่ 2 พฤษภาคม 2551ท้องฟ้าครึ้มดำทะมึนปกคลุมไปทั่ว พายุได้พัดโหมกระหน่ำในพื้นที่ปากแม่น้ำอิรวดีราวกับบ้าคลั่งขณะที่ คลื่ นทะเลสูงขึ้นจนท่ วมพัดกระหน่ ำซ้ำชาวบ้านที่พยายามหนีเอาชีวิตรอด
“ผมกับแม่พยายามว่ายน้ำ ตอนที่ผมกำลังจะจมน้ำ แม่ดึงตัวผมขึ้นมา แต่พอคลื่นลูกใหญ่ซัดมา แม่ก็หายไปต่อหน้าต่อตา ผมพยายามเรียกแม่ แต่ แม่ ก็หายไปแล้ว” มิ้นเด็กชายวัย 16 ปี เล่าเหตุการณ์ที่เป็นฝันร้ายที่สุดของเขา
“นี่คือน้องสาวของผม เธอถูกพายุซัดหายไปและมาเสียชีวิตที่นี่ เธอเพิ่งอายุได้ 10ขวบ” ทุน เด็กชายวัย 10 ขวบชี้ให้ดูโครงกระดูกที่ถูกกองรวมกันบริเวณพงหญ้าแห่ งหนึ่ งซึ่ งเคยเป็นบ้านของเขา
“นี่เคยเป็นโรงเรียนของผม ครูใหญ่บอกให้ทุกคนหนีแต่เขาถูกคลื่นซัดหายไปในทะเล”ทุนเล่าต่อและชี้ไปยังซากปรักหักพังที่เขาเรียกว่าโรงเรียน ซึ่งดูไม่ออกด้วยซ้ำว่าที่แห่งนี้เคยเป็นที่ตั้งโรงเรียนของเขามาก่อน
ภายหลังเหตุการณ์ภัยพิบัติ นอกจากซากปรักหักพัง ความเสียหาย ร่างผู้เสียชีวิตที่ยังไม่ได้รับการเก็บกู้แล้ว สิ่งหนึ่งที่ยังปรากฏให้เห็นก็คือ แววตาแห่งความสิ้นหวังของชาวบ้านและเด็กๆ เพราะยังไม่มีการยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือใดๆ จากทางรัฐบาลหนำซ้ำรัฐบาลยังกีดกันและไม่ ยอมรับความช่ วยเหลือจากต่ างชาติเนื่องจากหวั่นเรื่องความมั่นคงของตัวเอง แม้มีรายงานว่า เด็กกว่าห้าแสนคนต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนก็ตาม
ในอีกด้านหนึ่ง เยพิน เด็กชายวัย 10 ขวบ และเมนิน เด็กหญิงวัย6 ขวบ ต้องกลายเป็นตัวแทนพ่อและแม่ของเนเล น้องชายคนเล็กวัย 3ขวบทันที หลังจากที่ทั้งสามพี่น้องต้องสูญเสียพ่อแม่จากภัยพิบัติครั้งนี้พวกเขาได้รับการดูแลจากเพื่อนบ้านใจดี และอาศัยอยู่ในกระท่อมเล็กๆพี่ชายคนโตอย่างเยพินต้องกลายเป็นที่พึ่งและเสาหลักให้กับน้องๆ ทั้งสองคนโดยการรับจ้างหาบน้ำทุกเช้า แต่เงินที่ได้ก็ยังไม่เพียงพอกับสามชีวิต
“ผมอยากจับปูได้เยอะๆ และดูแลทุกคนเอง” นี่คือคำตอบจากเยพินเมื่อถูกถามว่าอยากเป็นอะไร การจับปูได้เยอะๆ ในความหมายของเยพินก็คือ อย่างน้อยพวกเขายังมีอาหารประทังยามหิว ขณะที่เมนินน้องสาววัย 6 ขวบ ตอบคำถามนี้เพียงว่า “หนูไม่รู้ค่ะ”
ภาพของนายกเต็งเส่งและคณะที่บอกกับผู้ประสบภัยที่เหลือเพียงตัวเปล่าว่า ต้องพึ่งพาและช่วยเหลือตัวเอง อย่ารอความช่วยเหลือจากรัฐเพียงอย่างเดียว บวกกับภาพของนายพลทั้งหลายและภรรยาสวมใส่ เครื่ องประดับราคาแพง กำลังมีความสุขกับการรับประทานอาหารชั้นดีเต็มโต๊ะอาหารในวันกองทัพพม่า ที่ปรากฏในสารคดีเรื่องนี้เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่า ประชาชนไม่อาจหวังพึ่งรัฐบาลได้เลย
ด้วยเหตุนี้ วัดและโบสถ์ได้กลายเป็นสถานที่พึ่งเดียวที่ให้ความช่วยเหลือแก่เด็กกำพร้าคนอื่นๆ อย่าง มิ้น เด็กหนุ่มวัย 16 ที่อย่างน้อยยังมีข้าวก้นบาตรและเปรียบเหมือนบ้านหลังที่สองยามไร้ที่พึ่ง รวมถึงลินลินเด็ก ชายวัย 5 ขวบและจ่ อตู แม้จะได้รับการดูแลจากโบสถ์คริสเตียน แต่ความคิดถึงบ้านกลับไม่เคยจางหายจากใจของเด็กเหล่านี้
พายุไซโคลนนาร์กิสไม่ได้สร้างความสูญเสียทางวัตถุและจิตใจเพียงอย่างเดียว แต่ยังทำให้วิถีชีวิตของชาวบ้านในพื้นที่ต้องเปลี่ยนไปด้วย เช่น ชาวนาต้องเลิกอาชีพปลูกข้าวที่เคยเป็นอาชีพหลัก ไปทำอาชีพอื่ นแทน เนื่ องจากน้ำทะเลได้ท่ วมนาข้าวและทำลายสภาพดินจนเสียหาย ไม่สามารถปลูกข้าวได้เหมือนแต่ก่อน นอกจากนี้ ชาวบ้านที่สิ้นเนื้อประดาตัวยังต้องเผชิญกับราคาสินค้าที่แพงกระฉูด ทำให้หลายคนต้องกู้หนี้ยืมสิน ไม่เว้นแม้แต่สามพี่น้อง เยพิน เมนิน และเนเล
ลันและขิ่น เด็กหญิงสองพี่น้องต้องออกจากโรงเรียนทันทีหลังกำพร้าแม่ สารคดีเผยให้เห็นภาพของทั้งสองพี่น้องกำลังบดดินให้เรียบทีละน้อยในทุ่งนาอันแสนกว้างใหญ่ของรัฐบาล ในขณะที่อากาศร้อนอบอ้าวจนแทบจะแผดเผาร่างเล็กๆ ของเธอ
“ถ้าหากเรามาสายสัก 1-2 นาทีเราอาจจะถูกเลิกจ้าง และถ้านายจ้างที่เป็นทหารมาตรวจงาน เรายิ่งต้องทำงานหนักหลายเท่าให้เขาเห็น บางครั้งหนูคิดว่า มันคงดีถ้าหากเรารวย แต่นี่ถ้าเราไม่ทำงานก็ไม่มีเงินซื้อข้าวกิน” ลัน เด็กสาววัย 14 กล่าวด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
“น้องคนเล็กเริ่มไปขออาหารจากคนอื่นและร้องไห้ เมื่อเขากินไม่อิ่ม เราเริ่มมีอาหารไม่พอ และตอนนี้จับปูแทบไม่ได้” เยพินพี่ชายคนโตกล่าวด้วยสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัดตอนท้ายเรื่อง ซึ่งนั่นหมายความว่า พวกเขาอาจต้องเผชิญกับความอดอยากหิวโหยมากกว่านี้ในอนาคต
ในขณะที่โบสถ์ที่จ่อตูและลินลินและเด็กอีกหลายคนอาศัยอยู่อาจต้องถูกปิดตัวลงในไม่ช้า เพราะโบสถ์แห่งนี้ได้รับความช่วยเหลือจากองค์กรต่างชาติ ซึ่งเป็นเรื่องที่ขัดใจรัฐบาลอยู่ไม่น้อย และหากโบสถ์แห่ งนี้ถูกสั่ งปิดขึ้นมาจริงๆ จะเกิดอะไรขึ้นกับจ่ อตู ลินลินและเด็กกำพร้าคนอื่นๆ คงไม่มีใครกล้าคิด
Orphans of Burma’s Cyclone เพิ่งคว้ารางวัล Rory Peck Awardเมื่ อไม่ กี่ เดือนที่ ผ่ านมานี้ แต่ กว่ าจะได้ภาพเหล่ านี้มาไม่ ใช่ เรื่ องง่ ายช่างภาพชาวพม่า 2 คนจากสำนักข่าวเสียงประชาธิปไตย (DemocraticVoice of Burma -DVB) และทีมงานอีก 8 คน (รวมทั้งคนดูต้นทางคอยระวังทหารพม่า) ต้องถ่ายทำอย่างลับๆ นานกว่า 1 ปี หากถูกจับได้อาจต้องไปใช้ชีวิตอยู่ในคุกนานถึง 30 – 35 ปี และข่าวร้ายก็คือ หนึ่งในช่างภาพที่ทำสารคดีเรื่องนี้ถูกทางการพม่าจับกุมตัวโดยที่ไม่มีโอกาสได้ฉลองความสำเร็จ
อย่ างไรก็ตาม ครบรอบ 2 ปีนาร์กิสเมื่ อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ชีวิตของเด็กๆ ทั้ง 8 คนจะเป็นอย่างไรไม่มีใครล่วงรู้ได้ พวกเขาอาจกำลังอดอยากหิวโหยอยู่ที่ไหนสักแห่ง
ทว่า สิ่งหนึ่งที่เห็นชัดเจนเมื่อชมสารคดีเรื่องนี้จบ คือ แม้เมฆหมอกของพายุไซโคลนจะพัดผ่านไปแล้ว แต่ความใจดำของรัฐบาลที่ปกคลุมเด็กๆ ในประเทศนี้กลับไม่เคยจางหา