โดย โม๋หอม
ผืนธงชาติพม่าปลิวสะบัดตามแรงลมอยู่บนยอดเสาของมหาวิทยาลัยมิตจีนา สถาบันอุดมศึกษาแห่งแรกและ ใหญ่ที่สุดประจำรัฐคะฉิ่น ที่ผู้หลักผู้ใหญ่ในกองกำลังกู้ชาติคะฉิ่นหลายต่อหลายคนมีชื่ออยู่ในทำเนียบศิษย์เก่าของที่นี่ แต่ปัจจุบัน ใครจะเชื่อว่าสถาบันที่ชาวคะฉิ่นเคยภาคภูมิใจ ได้กลายสภาพเป็น “Heroin Heaven” หรือ “สวรรค์ของเฮโรอีน” ไปแล้ว
คงจะดีไม่น้อยหากเป็นเพียงข้อกล่าวหาจากคนภายนอก ทว่า นี่คือเสียงจริงจากคนในพื้นที่ ที่ปรากฏในรายงานเรื่อง “การแพร่ระบาด ของเฮโรอีนในรัฐคะฉิ่น” (Heroine Epidemic in Kachin State) โดยสำนักข่าว Kachin News Group (KNG) เมื่อปีที่ผ่านมา
ในรายงานระบุว่า มหาวิทยาลัยมิตจีนามีนักศึกษาในหลักสูตรภาคปกติและหลักสูตร ทางไกลรวมกันประมาณหกพันคน แต่ส่วนใหญ่ติดยาเสพติดอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะเฮโรอีน โดยนักศึกษาเหล่านี้จะ “ฉีดยา” เข้าเส้นกันอย่างเปิดเผย ทั้งในห้องน้ำ หรือแม้แต่ในห้องเรียน โดยมีซากเข็มฉีดยาที่ใช้แล้วเกลื่อนอยู่ตามห้องน้ำ ใต้บันได ตามสุมทุมพุ่มไม้ หรือสนามฟุตบอล เป็นหลักฐาน
“ไม่ใช่เฉพาะมหาวิทยาลัยมิตจีนาเท่านั้น สถาบันการศึกษาทุกแห่ง ไม่เว้นแม้แต่ โรงเรียนมัธยมก็มีนักเรียนที่ติดยาเสพติดเหมือนกันหมด” นอดิน บรรณาธิการสำนักข่าว KNG เผยข้อมูลล่าสุดที่อยู่นอกเหนือจากรายงานฉบับดังกล่าว
ภาพของยาเสพติดในสถานศึกษาอาจเป็นเรื่องที่น่าตกใจสำหรับคนภายนอก แต่นอดิน เล่าว่า “ยาเสพติดกลายเป็นเรื่องธรรมดาในรัฐคะฉิ่น และการเสพยาที่นั่นก็ไม่ต่างอะไรกับการนั่งดื่มกาแฟที่นี่ (ประเทศไทย)” ด้วยเหตุนี้ การเสพยาเสพติดจึงมีอยู่ทุกที่รวมทั้งสถาน ศึกษาอย่างมหาวิทยาลัยมิตจีนา
“รัฐบาลพม่าต้องการทำลายคนคะฉิ่น โดยใช้ยาเสพติดเป็นอาวุธ” นอดิน กล่าวถึง สาเหตุที่รัฐคะฉิ่นจึงกลายเป็นดินแดนเสรีของ ยานรก
เขาอธิบายถึงปัญหาระหว่างชนชาติ คะฉิ่นกับรัฐบาลทหารพม่าที่เป็นรากเหง้าของ ปัญหายาเสพติดในรัฐคะฉิ่นให้เราฟังว่า หลังยุค อาณานิคม ชาวคะฉิ่นได้ต่อสู้เรียกร้องเอกราชกลับคืนมาจากรัฐบาลพม่าโดยกองกำลัง เอกราชคะฉิ่น (Kachin Indendent Organization หรือ KIO) ในเวลานั้นการปลูกฝิ่นยังเป็นเรื่องที่ถูกกฎหมาย ประชาชนทำไร่ฝิ่นพื่อหารายได้ เลี้ยงชีพ กองกำลัง KIO ก็มีรายได้จากการเก็บ ภาษีฝิ่น ก่อนที่มันจะกลายเป็นสิ่งต้องห้ามใน เวลาต่อมา และในปี 1994 กองกำลังคะฉิ่น ทำสัญญาหยุดยิงกับรัฐบาลพม่าเพื่อยุติการ สู้รบ และเมื่อไม่สามารถโจมตีโดยอาวุธหนักได้ “ยาเสพติด” จึงถูกนำมาใช้ทำลายชาวคะฉิ่น โดยเล็งเป้าไปที่กลุ่มเยาวชนรุ่นใหม่ที่จะเป็น กำลังของ KIO ในอนาคต เป็นการบั่นทอนกำลัง ศัตรูโดยไม่ต้องเสียกระสุนปืนแม้แต่นัดเดียว หรือกำลังพลแม้แต่นายเดียว แถมเจ้าหน้าที่ ทหารพม่ายังได้รับเงินจากสินบนที่พ่อค้า ยาเสพติดยอมจ่ายเพื่อแลกกับการดำเนินธุรกิจ เถื่อนอีกด้วย
สิ่งที่ทำให้นอดินฟันธงว่า รัฐบาลใช้ ยาเสพติดเป็นเครื่องมือทำลายเยาวชนคะฉิ่น คือ ในช่วงปี 2004 กองกำลัง KIO ได้ริเริ่ม “โครงการเพื่อการศึกษาและพัฒนาเศรษฐกิจ แก่เยาวชน” (Education and Economy Development for Youth หรือ EEDY) เป็นการ อบรมเยาวชนคะฉิ่นในเรื่องประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม การเมือง และการฝึกภาคสนาม แบบทหาร เพื่อสร้างคนรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพ ผลปรากฏว่าในปีดังกล่าว ยาเสพติดได้ทะลัก เข้าไปในรัฐคะฉิ่นอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เฮโรอีนที่เคยหายาก กลับหาซื้อได้จากพ่อค้ายาเสพติดที่มีอยู่ทั่วไปแทบทุกมุมถนน เข็ม ฉีดยาจึงกลายเป็นสินค้าประจำในร้านของชำไปโดยปริยาย
สิ่งเหล่านี้คงเกิดขึ้นไม่ได้หากรัฐบาล พม่าไม่รู้เห็นเป็นใจ หรือ “จงใจ” อย่างที่นอดิน ย้ำ
อาวุธรูปแบบใหม่ของรัฐบาลพม่าดู เหมือนว่าจะได้ผลอยู่ไม่น้อย เพราะในปีแรก ที่มีการอบรม ตัวเลขของเยาวชนที่ติด ยาเสพติดพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ถึงกว่า ร้อยละ 80 แต่แล้วโครงการอบรมเยาวชน ก็ต้องสิ้นสุดลงในปี 2009 โดยมีเยาวชน ทั้งชายและหญิงเข้ารับการอบรม 8 รุ่น รวม ทั้งหมดประมาณ 4,000 คน ขณะที่ในปี เดียวกัน ตัวเลขของเยาวชนที่ติดสารเสพติด ยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงตัวเลขของ ผู้ติดเชื้อเอชไอวีในกลุ่มผู้ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน ที่สูงขึ้นด้วย ทั้งนี้เนื่องจากส่วนใหญ่นิยมเสพ เฮโรอีนเพราะราคาถูกกว่ายาเสพติดประเภทอื่น อย่างฝิ่น ซึ่งมีราคาสูงที่สุด และยาบ้า ที่ราคาแพงรองลงมา เนื่องจากต้องลักลอบ นำเข้ามาจากรัฐฉาน
กล่องโลหะที่มีกุญแจล็อกซึ่งเป็นถังขยะสำหรับทิ้งเข็มฉีดยาที่ใช้แล้วถูกนำไปติดตั้ง ตามห้องน้ำในมหาวิทยาลัยมิตจีนา โดย องค์กรต่างชาติด้านสุขภาพที่กังวลเรื่องโรค ติดต่อจากการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน ซึ่งอาจเป็น ที่เดียวในโลก ที่มีถังขยะชนิดนี้ในสถาบันการศึกษาก็ว่าได้ นอกจากนี้ องค์กรดังกล่าวได้แจก เข็มฉีดยาใหม่ให้ผู้ใช้เฮโรอีน แต่ล่าสุด ผลการตรวจเลือดผู้ใช้เข็มฉีดยาเสพเฮโรอีนพบว่า มีการติดเชื้อ HIV ถึง 100 เปอร์เซ็นต์
ปัจจุบัน รัฐคะฉิ่นที่มีจำนวนผู้ติดยา มากเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ แต่กลับไม่มี ศูนย์บำบัดยาเสพติดแม้แต่แห่งเดียว นอดิน เล่าว่า อาจารย์สอนศาสนาในโบสถ์แห่งหนึ่ง เคยเปิดศูนย์บำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดแต่ถูก รัฐบาลสั่งปิด โดยเจ้าที่ทางการพม่าได้พูดกับ บาทหลวงที่ก่อตั้งศูนย์ดังกล่าวว่า “สิ่งที่คุณ ทำอยู่เป็นโครงการที่ดีนะ แต่คุณจะทำต่อไป ไม่ได้แล้ว” นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เยาวชน จำนวนมากที่ติดยาเสพติดต้องจบชีวิตลงก่อนวันอันควร
“หากเข้าไปที่สุสานในมิตจีนา แล้ว อ่านป้ายชื่อที่ปักอยู่เหนือหลุมศพจะพบว่า มีแต่หนุ่มสาวทั้งนั้น” นอดินกล่าว
ที่ผ่านมา KIO ได้พยายามมาหลายครั้ง ทั้งประกาศนโยบาย และบังคับใช้กฎหมาย เอาผิดกับผู้ลักลอบค้ายาเสพติด แต่ไม่สำเร็จ ล่าสุด หนึ่งเดือนก่อนหน้าการเลือกตั้งครั้งแรกของพม่าในรอบยี่สิบกว่าปี KIO ได้ลุกขึ้นมา ประกาศสงครามยาเสพติดอย่างจริงจังอีกครั้งเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ว่ากันว่า ครั้งนี้ KIO “เอาจริง” โดยได้เริ่มจับกุมผู้ลักลอบค้ายา เสพติด และทำลายโรงงานผลิตเฮโรอีนในพื้นที่ควบคุมของ KIO ไปบ้างแล้ว ส่วนในเมืองก็มี การรณรงค์ต่อต้านยาเสพติด โดยการติดป้าย ทั่วมิตจีนา แจกจ่ายซีดีเพลงฮิปฮอปต่อต้าน ยาเสพติดให้แก่วัยรุ่นตามมหาวิทยาลัย ซึ่ง นโยบายดังกล่าวได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากคนในชุมชน แต่รัฐบาลพม่าอาจไม่ชอบใจ นัก เพราะนอดินบอกว่า “ถ้าเจ้าหน้าที่พม่า เห็นรถยนต์ของชาวบ้านติดสติ๊กเกอร์ของ เรา เขาก็จะแกะออกทันที”
เวลานี้ ธงชาติผืนเก่าในมหาวิทยาลัยมิตจีนาและโรงเรียนทุกแห่งในรัฐคะฉิ่นถูก ปลดลงและแทนที่ด้วยธงพม่าแบบใหม่ การ เลือกตั้งครั้งแรกในรอบยี่สิบกว่าปีพม่าสิ้นสุด ลงด้วยชัยชนะอันน่ากังขาของพรรคการเมือง ของรัฐบาลทหารพม่า ขณะเดียวกัน เป็นที่แน่ชัด แล้วว่า กองกำลังคะฉิ่นที่ปฏิเสธเข้าร่วมเป็น กองกำลังรักษาชายแดน หรือ BGF กลายสภาพ เป็นกองกำลังนอกกฎหมาย ซึ่งต้องเตรียม พร้อมรับมือกับการถูกโจมตีที่อาจเกิดขึ้นได้ ทุกเมื่อ
ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดเช่นนี้ กลับพบว่า เยาวชนที่จะเป็นกำลังสำคัญของ ชนชาติคะฉิ่นยังคงถูกยาเสพติดครอบงำ และ ดูเหมือนว่าจะเลวร้ายลงเรื่อยๆ
ในขณะที่เขียนบทความนี้ แม้ศึกรอบใหม่ในสนามรบระหว่างกองกำลังคะฉิ่น กับรัฐบาลพม่าอาจยังไม่ปรากฏผู้แพ้ผู้ชนะ กระสุนนัดแรกยังไม่ถูกลั่นไก แต่ศึกในรั้วสถานศึกษากลับพบว่า เยาวชนคะฉิ่น จำนวนมากยังคงคว้าอาวุธจากฝ่ายตรงข้าม เข้าทิ่มแทงทำร้ายตัวเองวันแล้ววันเล่า จนมีสภาพที่ไม่ต่างกับทหารบาดเจ็บ โดยที่ไม่รู้ว่าจะเหลือรอดจากนรกขุมนี้ไปได้สักกี่คน.