แปลจากเรื่อง A Jourmey for Change
ในหนังสือ Burma women’ voices for peace
ผู้เขียน คำเล เยาวชนชาวปะโอที่ทำงานเพื่อสันติภาพและประชาธิปไตย
ฉันและเพื่อนสนิทได้ตัดสินใจเดินทางเข้าไปในพม่า เพื่อไปให้ความรู้เกี่ยวกับการ ใช้แนวทางสันติและความรู้ในด้านสุขอนามัยขั้นพื้นฐานของผู้หญิงให้แก่ชาวบ้าน ที่เป็นชนกลุ่มน้อยในพื้นที่สู้รบ อย่างแรกที่ต้องทำคือ สร้างความสัมพันธ์อันดีกับคนใน พื้นที่ ฉันไม่เคยเข้าไปในเขตพื้นที่สู้รบกันมาก่อน นั่นหมายความว่า จำเป็นต้องเดินทางไปกับ ทหารชนกลุ่มน้อยเพื่อคุ้มกันความปลอดภัยให้กับพวกเรา และแล้ววันเริ่มต้นของการ เดินทางก็มาถึง ผู้คนกว่า 30 ชีวิตร่วมเดินทางจากชายแดนไทย - พม่าในครั้งนี้ สมาชิกในกลุ่มประกอบด้วยทหารชนกลุ่มน้อย มีเพียงฉันและเพื่อนเท่านั้นที่เป็นผู้หญิง ซึ่งในตอนนั้น ความรู้สึกของฉันก็เริ่มสัมผัสได้ถึงภยันอันตรายที่กำลังเฝ้ารอพวกเราอยู่
เราเดินทางด้วยเท้าผ่านป่า ต้องปีนป่ายภูเขาจำนวนมาก แม้เรา ได้เตรียมใจไว้แล้วแต่ก็ไม่ได้ช่วยให้เรารับมือกับความลำบากและ อันตรายที่ต้องเผชิญอยู่ตรงหน้า โดยเฉพาะการเดินทางผ่านเส้นทาง เล็กๆ ท่ามกลางความมืดโดยไม่มีแม้แต่ไฟฉาย หรือหากเดินใกล้กองทัพ ทหารพม่า ความระมัดระวังยิ่งต้องเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว แต่แล้วในที่สุด เราก็เดินทางถึงยอดภูเขาในช่วงเวลาตี 4 ด้วยความเหนื่อยล้า ทำให้ พวกเราหยุดพักผ่อนกันที่นั่น แต่ความโชคร้าย ในคืนนั้นพายุฝนได้ ซัดกระหน่ำทำให้ทุกคนต้องนอนทั้งๆ ที่ตัวเปียกโชก และฉันเองก็ ไม่สามารถข่มตานอนหลับได้เลย
พอถึงรุ่งเช้า พวกเราต้องรีบออกเดินทางทันที เพราะมีทหารพม่า อยู่ไม่ไกลจากเรานัก เราต้องเดินกันอย่างเงียบๆ และเดินให้เร็วที่สุด แต่เพราะความอ่อนเพลียทำให้ฉันก้าวเท้าแทบไม่ออก ร่างกายเริ่ม อ่อนแอเพราะไม่สบายจากการเปียกฝนเมื่อคืน มันเป็นเรื่องยากมากที่ต้องเดินในป่าโดยมีทหารพม่าเป็นจำนวนมากตั้งค่ายอยู่ใกล้ๆ กับ หมู่บ้าน นั่นหมายความว่า มีกับระเบิดอยู่ทุกที่รอบๆ หมู่บ้าน ทุ่งข้าว ริมลำธาร ทางผ่าน และในป่า ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นพื้นที่ที่ชาวบ้านและ ทหารใช้เดินทาง กับระเบิดของทหารพม่าถูกวางรอบป่าเพื่อทำให้ ชาวบ้านไม่กล้าออกจากหมู่บ้าน ในขณะเดียวกันก็เป็นการป้องกัน กองกำลังชนกลุ่มน้อยไม่ให้เข้ามาในหมู่บ้านเช่นกัน
ในวันที่สี่ของการเดินทาง ระหว่างที่พวกเราพักกันริมลำธาร ทันใดนั้นเอง มีหินขนาดใหญ่จากยอดเขาตกลงมาในบริเวณที่เราอยู่ ผู้นำคนหนึ่งบอกว่า นี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลย เราควรระวังตัวมากกว่านี้ ไม่นานพวกเราได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้น ฉันคิดว่ากองทัพทหารพม่า กำลังโจมตีพวกเรา แต่ที่จริงแล้วเป็นเสียงกับระเบิด ชายคนที่แบกสัมภาระ และยารักษาโรคให้เราคือผู้โชคร้าย ขาข้างหนึ่งของเขาขาด เลือดไหล ออกมามาก เขาพูดไม่เป็นภาษาแล้วร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวด ในขณะที่ฉันกำลังตกตะลึงตัวแข็งทื่อ คนอื่นๆ ได้เข้าไปช่วยเหลือ เพื่อนสนิทของฉันทำความสะอาดและพันแผลให้เขา หลังจากสิ่งที่เกิดขึ้น ฉันกลัวมากไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร ในคืนนั้น ฉันไม่สามารถหลับตาลง ได้เลย ในสมองคิดถึงแต่โอกาสรอดชีวิตให้ได้กลับไปเจอครอบครัว และ ความหวาดวิตกว่าทหารพม่าจะได้ยินเสียงระเบิดและตามพวกเรามา
ผู้นำในการเดินทางของเราครั้งนี้ ตัดสินใจให้ทหารบางส่วนนำ ตัวพี่ชายที่เหยียบกับระเบิดเดินทางกลับไปรักษาตัวที่ชายแดนไทย ส่วนคนที่เหลือก็มุ่งหน้าเดินทางสู่เขตพื้นที่ชั้นในของพม่าต่อไป ความกลัวที่ว่า เราจะเหยียบกับระเบิด หรืออาจพบกับทหารพม่า ยังเข้ามาวนเวียนอยู่ในหัวของพวกเรา ฉันเริ่มตระหนักดีแล้วว่าชีวิต ของพวกเราไม่ปลอดภัย และมีอันตรายรอคอยอยู่ทุกย่างก้าว
สิ่งที่ทุกคนมีติดตัวในกระเป๋าสัมภาระก็คือ ข้าว เกลือ พริก น้ำมัน และข้าวของเครื่องใช้ที่เพียงพอสำหรับใช้ใน 7 วัน แต่บางครั้ง อาหารที่มีอยู่ก็ไม่เพียงพอ เมื่อหยุดพักกินข้าว เราจึงต้องออกไป เก็บผักในป่า ทำอาหารโดยไม่มีเครื่องปรุงและน้ำมัน อาหารส่วนใหญ่ จึงเป็นเพียงแกงผักเท่านั้น แม้จะเหลือพลังงานน้อยเต็มที แต่การ เดินทางก็ต้องดำเนินต่อไป เพราะบางทีทหารพม่าอาจอยู่ใกล้ กับพวกเรา เราจึงไม่สามารถอยู่ที่ไหนได้เกิน 2 วัน
การพ่ายแพ้ของกองกำลังชนกลุ่มน้อยต่อกองทัพพม่าทำให้ เกิดผลกระทบต่อชุมชนชนกลุ่มน้อย พม่าได้เอาทหารเข้าไปประจำ พื้นที่ของชนกลุ่มน้อยทั่วทั้งประเทศ และพยายามทำให้กองกำลัง ชนกลุ่มน้อยแตกคอกัน กลายเป็นกองกำลังกลุ่มย่อยๆ ในขณะเดียวกัน ประชาชนกลับต้องติดต่อกับกองกำลังทุกกลุ่ม จากประสบการณ์ใน วัยเด็กและคำบอกเล่าในการเดินทางครั้งนี้ ประชาชนส่วนใหญ่ถูกข่มเหง จากรัฐบาลทหารที่ปกครองประเทศ เมื่อใดที่ทหารพม่ามาถึงหมู่บ้าน พวกเขาจะริบเอาหมู ไก่ วัว และของอื่นๆ มาจากชาวบ้าน บางครั้งถึงขนาดทำร้ายร่างกายและเข่นฆ่าเพื่อทำให้ชาวบ้านหวาดกลัว ซึ่งมัน ก็ได้ผล
โดยปกติหากมีทหารมาถึงหมู่บ้าน พวกผู้ชายจะวิ่งเข้าไปหลบ ในป่า ส่วนผู้หญิงก็จะอยู่ดูแลเด็กและจำเป็นต้องอยู่กับบ้าน เผชิญหน้า ความหวาดกลัวในสถานการณ์ที่เลวร้าย และไม่สามารถคาดเดาได้ ทหาร พม่ามักถามผู้หญิงที่เหลือว่า “พวกผู้ชายไปไหนกันหมด? เห็นทหาร ชนกลุ่มน้อยบ้างไหม?” ถ้าชาวบ้านโกหกและถูกจับได้ก็จะถูกทำร้าย ร่างกาย ในสถานการณ์เช่นนี้ ผู้หญิงและเด็กที่อยู่ในเขตสู้รบก็ยังคงต้องตกเป็นเหยื่อและถูกทารุณกรรมหลากหลายรูปแบบ โดยไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ จะจบสิ้น เช่นเดียวกัน เมื่อทหารชนกลุ่มน้อยเข้ามาที่หมู่บ้าน ชาวบ้านจะกลัวพวกเขาเพราะทหารพม่าได้ขู่พวกชาวบ้านเอาไว้แล้ว สิ่งที่ฉัน ได้เห็นในตอนนี้ก็คือ สถานการณ์ของชาวบ้านในเขตพื้นที่สู้รบที่ยิ่งทวี ความเลวร้ายมากกว่าตอนที่ฉันยังเป็นเด็กเสียอีก
การเดินทางในครั้งนี้ทำให้ได้เข้าใจสถานการณ์ต่างๆ ในเขต พื้นที่สู้รบดีมากขึ้น การได้ฟังเรื่องเลวร้ายที่ทหารได้ทรมาน ฆ่า ข่มขืน เด็กและผู้หญิงเหล่านี้ทุกวันเป็นสิ่งที่น่าหดหู่มาก มีกรณีหนึ่งเป็นเด็กหญิง อายุ 15 ปี ถูกทหารพม่า 13 คนข่มขืน เธอต้องเข้าพักรักษาตัว ในโรงพยาบาล และถูกทหารพม่าข่มขู่ไม่ให้เปิดเผยเรื่องนี้แก่ใคร การข่มขืนยังคงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยกับชนกลุ่มน้อยในหลายพื้นที่ และดูเหมือนว่า รัฐบาลพม่าได้ใช้การข่มขืนเสมือนเป็นอาวุธในการ ห้ำหั่นผู้หญิงชนกลุ่มน้อยในประเทศเสียแล้ว
เราได้เข้าไปให้ความรู้กับชาวบ้าน โดยใช้วิธีการเรียกชาวบ้าน มาหาเราในป่าที่อยู่รอบ ๆ หมู่บ้าน นอกจากการรักษาพยาบาล และ ตรวจเช็คร่างกายให้ชาวบ้านแล้ว เราได้ให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแล สุขภาพขั้นพื้นฐาน ในระหว่างทางที่เราไปเยือน ปัญหาของชาวบ้าน ในแต่ละพื้นที่สู้รบก็คือไม่มีทั้งโรงเรียน และคลินิก ฉันได้ เห็นเด็ก ๆ กำลังทำไร่ทำสวนแทนที่จะได้ไปโรงเรียน แต่ถึงอย่างนั้น เด็กผู้ชายก็ยังมีโอกาสเข้าเรียนหนังสือในวัดได้ตามธรรมเนียมที่ ปฏิบัติกันมา แต่เด็กผู้หญิงที่นี่ดูจะมีทางเลือกเดียว ถ้าหากกลัวจะต้อง ถูกทหารพม่าข่มขืนก็จำเป็นต้องแต่งงานตั้งแต่ตอนเด็ก ตลอดการเดินทางเข้าในพื้นที่อันตราย ฉันได้พบว่าผู้คนส่วนใหญ่ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยอ่านเขียนไม่ได้แม้กระทั่งภาษาของตัวเอง หรือภาษาพม่าก็ตาม มันเป็น เรื่องที่น่าหดหู่ใจเมื่อรู้ว่ายังมีคนอีกจำนวนมากที่ไม่ได้รับการศึกษา และต้องพบกับความยากลำบากมากมาย
1 เดือนเต็ม ๆ ในการเดินเท้าเข้าไปในพม่า ครั้งนี้ฉันได้พบว่า หากต้องเข้าไปทำงานในพม่า โดยเฉพาะในพื้นที่สู้รบ จะต้องพบเจอ เรื่องท้าทายมากมาย ความปลอดภัย คือเรื่องแรกที่ต้องคำนึงสำหรับ ผู้ที่จะเข้าไปให้ความรู้เรื่องสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย ในระหว่าง ที่ฉันเข้าไปในพื้นที่ ฉันได้พยายามอธิบายเรื่องเหล่านี้ให้ชาวบ้านได้เข้าใจ ถึงแม้ในประเทศของเราจะไม่มีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกก็ตาม ในขณะเดียวกัน ฉันได้สนับสนุนให้พวกเขางดลงเสียงเลือกตั้งในปี 2010 พร้อมได้ให้เหตุผลแก่พวกเขาว่าเพราะอะไร
ชีวิตของคนที่อยู่ในประเทศพม่ายังต้องอยู่ด้วยความหวาดกลัว ต่อไป ทั้งการถูกจับโดยไร้เหตุผล ถูกฆ่า ข่มขืน ถูกยึดอาหารและที่ดิน ทำกินจากฝีมือรัฐบาลทหารพม่า แต่การเดินทางในครั้งนี้ ฉันกลับ ได้เห็นว่า ชาวบ้านได้สนับสนุนไม่ให้ฉันยอมแพ้ แม้ว่าการเดินทาง ของเราจะเต็มไปด้วยความยากลำบากและท้าทายมากแค่ไหน จะต้องเดินผ่านป่า ฝ่าดงกับระเบิด พายุฝน และเผชิญกับ ความหิวโหย แต่เราต้องมุ่งหน้าต่อ เพื่อบรรลุเป้าหมายให้ได้มาซึ่ง สันติภาพและประชาธิปไตยในประเทศของเรา