โดย หมอกเต่หว่า
ขณะที่ผู้สนับสนุนประชาธิปไตยในพม่าต่างออกมาประณาม และผิดหวังกับการเลือกตั้งที่เพิ่งผ่านพ้นไปว่า เป็นเพียง “การเลือกตั้งจัดฉาก” ที่จะไม่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงใดๆ โดยเฉพาะจะไม่นำพม่าไปสู่ประชาธิปไตยอย่างแท้จริงนั้น แต่ในอีกด้านหนึ่งเรากลับได้เห็นอีกบรรยากาศหนึ่ง เมื่อกลุ่มนักธุรกิจต่างชาติที่เห็นแต่ผลประโยชน์กลับไม่ได้สนใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในประเทศพม่า เพราะสิ่งที่พวกเขาหวัง ดูจะไม่ใช่ประชาธิปไตยที่สวยหรูอย่างที่ประชาชนในพม่าฝันอยากจะได้มา แต่เป็นทรัพยากร ธรรมชาติหรือสิ่งอื่นที่จะเปลี่ยนเป็นเงินมหาศาลต่างหาก จึงไม่แปลก ในขณะที่การเมืองพม่ากำลังสับสนอลหม่าน เรากลับได้เห็นนักธุรกิจต่างชาติตบเท้าเข้าไปกอบโกยผลประโยชน์ในพม่าอย่างไม่ขาดสายแต่ที่เห็นเป็นข่าวดังครึกโครมก็คงหนีไม่พ้นบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล็อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) บริษัทไทยที่มีความสัมพันธ์อันดีกับรัฐบาลทหารและเข้าไปลงทุนในพม่าหลายสิบปี คว้าสัมปทาน 75 ปี ใน การเข้าไปลงทุนพัฒนาบนเนื้อที่ 250 ตารางกิโลเมตรบนอ่าวทวาย เมืองทวาย เขตตะนาวศรี ทางภาคใต้ของพม่าติดทะเลอันดามัน ให้เป็น ประตูการค้า (Gate Way) และตั้งพื้นที่นี้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษแห่งใหม่ขึ้น การเข้าไปลงทุนในครั้งนี้เป็นการเข้าไปลงทุนด้วยเงินมหาศาล หรือ เรียกได้ว่าเป็นอภิมหาโปรเจคที่กำลังเกิดขึ้นในพม่าก็ว่าได้ ซึ่งก็ได้รับการ ผลักดันจากรัฐบาลไทยและรัฐบาลพม่าเป็นอย่างดี มีรายงานว่า นายเปรมชัย กรรณสูตร ประธานบริหารบริษัท อิตาเลียนไทยดีเวล็อป เมนต์ จำกัด (มหาชน) ได้เดินทางไปเนปีดอว์ เพื่อลงนามที่จะเข้าไปลงทุน ในโครงการนี้ร่วมกับรัฐบาลพม่าตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายนที่ผ่านมาพร้อมกันนี้ได้จัดตั้งบริษัทลูกขึ้นในพม่าขึ้นโดยใช้ชื่อว่า บริษัท ทวาย ดีเวล็อปเมนต์
ประตูการค้า (Gate Way) บนอ่าวทวายนั้น คาดว่าจะต้องใช้เงินลงทุนก่อสร้างไม่ต่ำกว่า 303,000 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยการสร้างท่าเรือน้ำลึกทวาย นิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่รอบท่าเรือนำลึกทวาย การตัดถนนและสร้างทางรถไฟจากเมืองทวาย ประเทศพม่า เข้าสู่บ้าน พุน้ำร้อน จ.กาญจนบุรี ของไทย รวมไปถึงการสร้างท่อส่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ จากทวายส่งตรงมายังประเทศไทย ยังไม่นับรวมกับศูนย์การค้า ศูนย์การท่องเที่ยวที่จะผุดขึ้นรอบอ่าวทวายตามที่มีการวางแผนไว้ โดย คาดว่าอภิมหาโครงการนี้จะเริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปีหน้าโดยจะใช้เวลาในการก่อสร้างทั้งหมดเป็นเวลา 10 ปี และแบ่งการก่อสร้างเป็น 3 ช่วง ดังนี้

การก่อสร้างช่วงที่ 1 (พ.ศ. 2554 - 2558) จะเป็นการสร้างท่าเรือ น้ำลึก 1 ท่า และตัดถนน 4 เลนจากเมืองทวาย มายังบ้านพุน้ำร้อนจ.กาญจนบุรี ซึ่งมีระยะทางกว่า 160 กิโลเมตร รวมไปถึงถนนหลักภายใน โครงการและสาธารณูปโภคพื้นฐานหลักของนิคมอุตสาหกรรมนายเปรมชัย กรรณสูตร ประธานบริหารบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล็อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การก่อสร้างโครงการนี้จะช่วยสร้างงานให้กับชาวบ้านเป็นจำนวนมากในพม่า อย่างไรก็ตาม ประเทศพม่าที่ปกครองด้วยรัฐบาลทหารและฉาวโฉ่ในเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนก็ไม่มีใครสามารถรับรองได้ว่า ชาวบ้านที่อยู่ทั้งในพื้นที่โครงการและที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ซึ่งมีการตัดถนนและสร้างทางรถไฟผ่านระยะทางไกลถึง 160 กิโลเมตรนั้น จะไม่ถูกบังคับใช้แรงงานจากทหาร
พม่าเหมือนทุกครั้งที่เคยเกิดขึ้น
ส่วนการก่อสร้างช่วงที่ 2 (พ.ศ. 2556 – 2560) นั้น จะเป็นการ ขยายถนนจาก 4 เลน เป็น 8 เลน สร้างท่าเรือน้ำลึกเพิ่มอีก 1 ท่า ระบบ สาธารณูปโภคเพิ่มเติมของโครงการ รวมทั้งศูนย์การค้าและศูนย์ราชการต่างๆ ส่วนช่วงที่ 3 (พ.ศ. 2559 – 2563) เป็นการเก็บงาน จากทั้งในช่วงที่ 1 และ 2 สร้างทางรถไฟจากทวายมายัง จ. กาญจนบุรี ระบบสายส่งไฟฟ้าแรงสูง ระบบท่อส่งก๊าซและน้ำมันจากทวายมายัง จ.กาญจนบุรี มีการคาดการณ์กันว่า หากเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายก่อสร้างแล้วเสร็จจะทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์แห่งใหม่ในภูมิภาคเอเชีย แทนที่ท่าเรือของสิงคโปร์ไปทันที โดยท่าเรือน้ำลึกทวายที่สามารถรองรับเรือสินค้าน้ำหนัก 3 แสนตัน จะกลายเป็นท่าเรือที่เชื่อมต่อ ตลาดยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง เอเชียใต้ ภูมิภาคอินโดจีน จีน ญี่ปุ่น และเกาหลี รวมถึงประเทศในแถบแปซิฟิก ทำให้ผู้ประกอบการประหยัดค่าใช้จ่ายและย่นระยะเวลาการเดินทางของเรือสินค้า เนื่องจากไม่ต้องอ้อมไปยังช่องแคบมะละกา
ทั้งนี้ ไทยยังมีแผนจะผลักดันให้เปิดด่านถาวรที่บริเวณด่านสิงขร จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อรองรับเขตเศรษฐกิจพิเศษแห่งใหม่ที่จะเกิดขึ้นตรงชายแดนด้วย ส่วนนิคมอุตสาหกรรมที่ตั้งอยู่รอบท่าเรือน้ำลึกทวายนั้นจะเป็นนิคมอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในพม่า และคาดว่าใหญ่กว่า เขตอุตสาหกรรมมาบตาพุดถึง 4 เท่า โดยวางแผนที่จะรองรับอุตสาหกรรม หนักอย่าง โรงงานปิโตรเลียมเคมี โรงกลั่นน้ำมัน และโรงไฟฟ้าพลังน้ำ เป็นต้น ซึ่งกำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างดีจากนักธุรกิจจีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น

ความพยายามสร้างท่าน้ำลึกบนอ่าวทวาย และตั้งพื้นที่นี้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษเกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว มีการลงนามบันทึกความเข้าใจ ระหว่างรัฐบาลไทยและพม่าตั้งแต่ปี 2551 โดยบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล็อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ได้เริ่มเข้าไปสำรวจในพื้นที่ตั้งแต่เดือนมิถุนายน ปี 2551 ถึงเดือนพฤษภาคม ปี 2552 โดยรัฐบาลไทยหลายชุด พยายามผลักดันให้โครงการนี้เกิดขึ้น แต่เริ่มส่อเค้าเป็นรูปเป็นร่างมากที่สุดก็เห็นจะเป็นในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อความพยายาม ที่จะสร้างท่าเรือน้ำลึกตรงปากบารา อ.ละงู จ.สตูล และเขตอุตสาหกรรม มาบตาพุดไม่ค่อยประสบความสำเร็จ และถูกต่อต้านอย่างหนักจากชาวบ้านในพื้นที่ รัฐบาลจึงกลับลำและเปลี่ยนมาสนับสนุนผลักดันการสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษในอ่าวทวายแทน โดยนายอภิสิทธิ์ได้กล่าวถึงกรณีนี้ว่า อุตสาหกรรมบางอย่างจำเป็นต้องย้ายไปอยู่ที่ทวาย เนื่องจาก ไม่เหมาะที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย
ในขณะเดียวกัน โครงการนี้ก็ได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลพม่าด้วยเช่นกัน ก่อนหน้านี้ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา นายพลอาวุโสตานฉ่วยเคยเดินทางไปศึกษาโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษของจีนในเมืองเสินเจิ้น และเคยกล่าวเอาไว้ว่า พม่าจะเรียนรู้การพัฒนาและการปฏิรูปเศรษฐกิจของจีน โดยการที่เศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ รัฐบาลสามารถควบคุมการเมืองได้อย่างมั่นคงของจีนนั้น ดูเหมือนจะเป็นแนวทางที่รัฐบาลพม่าให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม นักธุรกิจไทยบางคนกลับมองว่า การย้ายฐานการ ผลิตของไทยไปอยู่ที่ท่าเรือนำลึกทวาย และตั้งให้ท่าเรือแห่งนี้เป็นจุดศูนย์กลางของภาคการส่งออกและธุรกิจที่สำคัญของไทย ดูจะมีความ เสี่ยงมากเกินไป เนื่องจากความไม่มั่นคงภายในของพม่า ทั้งเรื่องปัญหา ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลและกลุ่มติดอาวุธชนกลุ่มน้อย รวมถึงการตัดสินใจปิดด่านโดยไม่แจ้งล่วงหน้าของรัฐบาลพม่า ซึ่งไทยเองก็ได้รับผลกระทบและได้รับบทเรียนมาหลายครั้งแล้ว อย่างเช่นการปิดด่าน แม่สอด จ.ตาก
แม้เขตเศรษฐกิจพิเศษทวายจะเปรียบเหมือนชิ้นปลามันที่กำลังได้รับความสนใจ แต่สำหรับชาวบ้านในเมืองทวายที่ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะออกมาคัดค้านและปกป้องบ้านเกิดของตัวเอง กลับกำลังตื่นกลัวกับอภิมหาโครงการที่กำลังจะเกิดขึ้น บริษัท อิตาเลียนไทยดีเวล็อปเม้นต์ประเมินไว้ว่าจะมีชาวบ้านราว 3,800 ครอบครัวต้องย้ายออกจากพื้นที่โครงการ แต่ชาวบ้านในพื้นที่รายงานว่า ชาวบ้านจาก 19 หมู่บ้าน ซึ่งแต่ละหมู่บ้าน มีชาวบ้านราว 5,000 คน จะต้องถูกบังคับ ให้ทิ้งบ้านเรือนหากโครงการรุกคืบ
“โครงการนี้อาจเป็นโอกาสสำหรับเราในอนาคตก็ได้ แต่ว่าตอนนี้ มันกำลังสร้างความเดือดร้อนให้เรา” นี่คือคำบอกเล่าจากชาวบ้านในพื้นที่ ในขณะเดียวกัน เมื่อกลับมามองอีกด้าน พม่ายังไม่มีกฎหมายคุ้มครองสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง เป็นไปได้ว่าเมืองทวายอาจต้องเผชิญกับสภาพสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมครั้งใหญ่จากอุตสาหกรรมหนักและท่าเรือน้ำลึกเหนือสิ่งอื่นใดชาวบ้านยังต้องสูญเสีย วิถีชีวิตที่สงบ และชุมชนชาวประมง ของตนที่สืบทอดกันมายาวนาน
แม้พม่าจะตอบโจทย์ในเรื่องทรัพยากรพลังงานก๊าซและน้ำมันสำหรับประเทศไทย และอ่าวทวายกำลังเป็นทำเลทองที่จะทำให้มีเม็ดเงิน ลงทุนมหาศาลในอนาคต แต่คำถามที่ตามมาก็คือ ชาวพม่าจะได้รับผลประโยชน์จากโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายมากน้อยแค่ไหน เพราะดูเหมือนว่า ที่ผ่านๆ มา เงินมหาศาลจากการเข้าไปลงทุนของนักธุรกิจชาวต่างชาติจะตกไปอยู่ในมือของรัฐบาลทหารพม่า และคนใกล้ชิดของรัฐบาลเกือบทั้งหมด สอดคล้องกับที่สำนักข่าวอิรวดีรายงานเมื่อเร็วๆ นี้ว่า นายซอซอ เจ้าของบริษัท Max Myanmar Group of Companies ซึ่งติดทำเนียบเศรษฐีที่รวยที่สุดในพม่าและเป็นนักธุรกิจที่มีความใกล้ชิดกับนายพลอาวุโสตานฉ่วยเอง ก็เพิ่งได้รับสัมปทานก่อสร้าง ท่าเรือนำลึกทวายไปเรียบร้อยแล้ว
คำถามที่ตามมาอีกก็คือ เป็นเวลาที่เหมาะสมแล้วหรือไม่ ที่ไทย จะเข้าไปลงทุนในขณะที่การเมืองพม่ายังยุ่งเหยิงและประชาธิปไตยยังไม่เกิดขึ้นในพม่าเสียด้วยซ้ำ เราลืมคิดไปหรือไม่ว่า เงินมหาศาลที่เข้ากระเป๋านายพลพม่ามือเปื้อนเลือดทั้งหลาย อาจยิ่งทำให้กองทัพพม่าและรัฐบาลยิ่งแข็งแกร่ง ทำการกดขี่ข่มเหงละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อประชาชน ทำให้ภาคประชาชนในพม่ามีความอ่อนแอมากยิ่งขึ้น นั่นหมายถึง การพัฒนาประชาธิปไตยในพม่ายิ่งยากขึ้นตามไปด้วย และ เมื่อไหร่ที่เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนและเกิดความวุ่นวายในพม่า ไทยเองไม่ใช่หรือที่ต้องแบกรับภาระคลื่นผู้อพยพจากฝั่งพม่าอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้.