ภายในไม่กี่สิบปีที่ผ่านมานี้ พม่าได้ปรับและ “เปลี่ยน” สัญลักษณ์ของประเทศมาหลายอย่างให้น่าเวียนศีรษะเป็นอย่างยิ่ง ชื่อประเทศยังลบ “Burma” ทิ้งไปซะดื้อๆ สถาปนานาม “Myanmar” ยัดใส่กะโหลกชาวโลกกันใหม่ ธนบัตรจั๊ตยังยกเลิกหน้าตาเฉย ทำเอาเงินในกระเป๋าชาวบ้านทั้งประเทศมีสภาพไม่ผิดแบงก์กงเต๊กไปชั่วกะพริบตา เมืองหลวงยัง “คว่ำกระดาน” ยกโขยงหน่วยราชการ ย้ายกันอุตลุดหมดเกลี้ยง...ให้สิ้นอายุกรุงย่างกุ้งไปเริ่มสตาร์ทกันใหม่ที่กรุงเนปีดอว์อย่างแทบไม่กระโตกกระตากให้ชาวโลกรู้มาก่อน
และล่าสุดก็เอาอีกแล้ว ช่วงปลายเดือนตุลาคม พ.ศ. 2553 ที่ผ่านมา พม่าเปลี่ยน ธงชาติ เปลี่ยนเพลงชาติ ต้อนรับการเลือกตั้งครั้งแรกในรอบ 20 ปีของประเทศ ที่ถูกประณามก่นด่าจาก ทั่วโลกว่า เป็นตัวอย่าง “คลาสสิก” ของมหกรรมการโกงที่รวบรวมสารพัดวิธีฉ้อฉลอย่างฉิบหายวายป่วงที่สุด ซึ่งมีทั้งบังคับให้ประชาชนไปลงคะแนนเสียง ซื้อเสียง บังคับให้ลงคะแนนเสียงล่วงหน้า บังคับให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้านลงคะแนนเสียงแทนลูกบ้าน เคลื่อนย้ายหน่วยเลือกตั้ง กล่าวร้ายป้ายสี จับกุมพรรคการเมืองคู่แข่งและประชาชนที่ไม่ให้การสนับสนุนพรรค “จ้านพุด” (Union Solidarity and Development Party – USDP) พรรคการเมืองใต้อาณัติของรัฐบาลเผด็จการทหารพม่า โดยในที่สุดพรรค USDP ก็สามารถคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้อย่างถล่มทลาย ไม่ผิดจากที่คาดการณ์ไว้ ส่วนความจริงหรือมีอะไรเกิดขึ้น “จริงๆ” บ้าง เป็นอันยัดเข้าลิ้นชักให้เป็นเรื่องดำมืดกันไปอีกนาน
การเปลี่ยนธงชาติของพม่าครั้งนี้ นับว่ามีนัยยะเบื้องหลังอยู่มาก อันที่จริงพม่ามีการเปลี่ยนรูปแบบสัญลักษณ์ของธงชาติมาหลายสมัย ดังที่วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรีได้รวบรวมไว้ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
1.ธงชาติพม่า สมัยราชวงศ์อลองพญา
ในอดีตอาณาจักรพม่าสมัยราชวงศ์อลองพญาได้ใช้ธงพื้นขาวตรงกลางมีรูปนกยูงเป็นธงชาติ เมื่อพม่าตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษโดยผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอินเดียเมื่อ พ.ศ. 2428 ธงชาติสหราชอาณาจักรจึงถูกชักขึ้นเหนือดินแดนพม่า
2.ธงชาติพม่าสมัยเป็นอาณานิคมอังกฤษ (พ.ศ. 2480 - 2491)
ต่อมาเมื่อพม่าแยกเป็นอาณานิคมโดยตรงอีกแห่งหนึ่งต่างหากจากอินเดียในปี พ.ศ. 2480 รัฐบาลสหราชอาณาจักรจึงกำหนด ให้ใช้ธงเรือรัฐบาล (Blue Ensign) มีตรานกยูงในวงกลมอยู่ด้านปลายธงเป็นธงประจำดินแดน ซึ่งจะต้องต้องชักคู่กับธงชาติสหราชอาณาจักรอยู่เสมอ ส่วนธงผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แห่งพม่าเป็นรูปแบบธงยูเนียนแจ๊คมีตรานกยูงในวงกลมอยู่กลางธง
3.ธงชาติพม่าสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 (รัฐหุ่นเชิดของญี่ปุ่น)
4.ธงชาติพม่า พ.ศ. 2491 - 2517
หลังจากพม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษในปี พ.ศ. 2491 จึงได้มีการกำหนดแบบธงชาติพม่าใหม่ ลักษณะเป็นธงสี่เหลี่ยมผืนผ้าพื้นสีแดง ที่มุมบนด้านคันธงเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีน้ำเงินขนาดเล็ก ภายในพื้นสีน้ำเงินนั้นมีรูปดาวห้าแฉกสีขาว 1 ดวง ล้อมรอบด้วยดาวสีขาว ดวงเล็กอีก 5 ดวง ดาวดวงใหญ่หมายถึงสหภาพพม่า ดาวดวงเล็กทั้ง 5 หมายถึง ชาวพม่า ชาวไทใหญ่ ชาวกะเหรี่ยง ชาวชิน และชาวคะฉิ่นส่วนสีขาวนั้นหมายถึงความซื่อสัตย์ ธงนี้ได้รับการรับรองด้วยรัฐธรรมนูญ แห่งสหภาพพม่า ฉบับลงวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2490 และชักขึ้นเหนือ แผ่นดินพม่าครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2491 เวลา 4.25 น.
5.ธงชาติพม่า พ.ศ. 2517 - 2553
ต่อมาเมื่อนายพลเนวินได้ทำการรัฐประหารรัฐบาลแห่งสหภาพพม่า และประกาศก่อตั้งสาธารณรัฐสังคมนิยมแห่งสหภาพพม่าแทน จึง ได้มีการเปลี่ยนธงชาติเมื่อวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2517 ลักษณะเป็นธงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดสัดส่วนความกว้างต่อความยาวของธงเป็น 5:9 2:3 หรือ 6:11 พื้นสีแดง ที่มุมบนด้านต้นธงเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีน้ำเงิน ขนาดเล็ก ภายในมีรูปช่อรวงข้าวอยู่หน้าฟันเฟือง ล้อมรอบด้วยดาว ห้าแฉก 14 ดวง เป็นวงกลม รูปเหล่านี้เป็นสีขาวสำหรับความหมายของสัญลักษณ์ในธงชาติมีดังนี้
• รูปฟันเฟืองและรวงข้าว เป็นสัญลักษณ์ในเชิงสังคมนิยม
หมายถึง ชาวนาและกรรมกร
• ดาวห้าแฉก 14 ดวง หมายถึง เขตการปกครองทั้ง 14
เขตของพม่า (7 รัฐ 7 เขต)
• สีแดง หมายถึง ความกล้าหาญ
• สีขาว หมายถึง ความบริสุทธิ์
• สีน้ำเงิน หมายถึง สันติภาพและความอุดมสมบูรณ์
6. ธงชาติพม่าที่เริ่มใช้ครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2553
ธงชาติสาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่ามีลักษณะเป็นธงสามสีรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ภายในแบ่งตามแนวนอน ความกว้างเท่ากัน พื้นสีเหลือง สีเขียว และสีแดง เรียงตามลำดับ จากบนลงล่าง กลางธงมีรูปดาวห้าแฉกสีขาวขนาดใหญ่ ธงนี้ได้เริ่มชักขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2553 ในเวลา 15.00 น. ที่กรุง เนปีดอว์ และในเวลา 15.33 น. ที่อาคาร ศาลาว่าการนครย่างกุ้ง (อ้างอิงตามเวลาท้องถิ่น) อันเป็นเวลา 17 วัน ก่อนหน้าการเลือกตั้งทั่วไปของพม่า ซึ่งมีขึ้นในวันที่ 7 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน ความหมายของสัญลักษณ์ในธงชาติประกอบด้วย สีเขียว หมายถึง สันติภาพ ความสงบ และความอุดมสมบูรณ์ของพม่า สีเหลือง หมายถึง ความสามัคคี สีแดง หมายถึง ความกล้าหาญ ความเข้มแข็ง เด็ดขาด ดาวสีขาว หมายถึงสหภาพอันมั่นคงเป็นเอกภาพ
สำหรับที่มาของธงชาตินี้ เริ่มจากระหว่าง การประชุมสมัชชาร่างรัฐธรรมนูญของพม่า ได้มีการเสนอแบบของธงชาติพม่าใหม่เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 ธงนี้เป็นธงสี่เหลี่ยมผืนผ้า แบ่งพื้นธงเป็นสามส่วนเท่ากัน แถบบนสุด เป็นสีเขียว หมายถึง สันติภาพ ความสงบ และความเขียวชอุ่มของดินแดนพม่า แถบกลาง เป็นสีเหลือง หมายถึง ความสามัคคี แถบล่างสุด เป็นสีแดง หมายถึง ความกล้าหาญและความเด็ดขาด ที่มุมธงด้านคันธงมีดาวสีขาว หมายถึงสหภาพพม่าจะคงอยู่ชั่วกัลปาวสาน
การเปลี่ยนธงชาติพม่าใหม่ครั้งนั้น ได้มีการเสนอเรื่องโดยคณะกรรมาธิการชุดหนึ่ง ภายใต้การดำเนินการของสภาแห่งชาติพม่า อย่างไรก็ตาม สื่อของทางการพม่าได้กล่าวในเวลาต่อมาว่า บรรดาผู้แทน ในสภาแห่งชาติพม่าได้เลิกล้มความคิดดังกล่าวแล้ว การเปลี่ยนธงชาติพม่าจึงยังไม่เกิดขึ้น
ต่อมาในเดือนกันยายน พ.ศ. 2550 ได้มีการเสนอแบบธงชาติพม่าใหม่อีกครั้ง โดยเป็นธงสามสีรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ภายในแบ่งตาม แนวนอน ความกว้างเท่ากัน พื้นสีเหลือง-เขียว-แดง ตรงกลางมีรูปดาว สีขาวขนาดใหญ่ ซึ่งได้กำหนดรวมอยู่ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของสหภาพพม่าด้วย เมื่อมีการรับรองร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าวโดยการลง ประชามติในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2551 จึงเท่ากับว่าเป็นการยอมรับธงชาติพม่าใหม่ตามประชามตินี้ด้วย ซึ่งทั้งรัฐธรรมนูญและธงชาติใหม่ จะเริ่มบังคับใช้เมื่อมีการจัดตั้งรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญใหม่ภายในปี พ.ศ. 2553
ทางด้านสื่อมวลชนได้มีการวิเคราะห์ถึงธงชาติใหม่ของพม่าที่เริ่มใช้ก่อนการเลือกตั้งเพียง 2 สัปดาห์นี้ว่า เป็นสัญลักษณ์ของการถ่ายโอนอำนาจเผด็จการทหาร ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลทหารพม่ากล่าวยกย่องธงชาติใหม่ของตนว่าเปรียบเสมือน “หมุดหมายที่สำคัญในการ ถ่ายโอนประชาธิปไตย” ส่วนทางเว็บไซต์ไทยโพสต์เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2553 กล่าวถึงธงชาติใหม่ซึ่งมีที่มาที่ไปจากความเชื่อทางโหราศาสตร์อย่างหัวปักหัวปำของผู้นำพม่าว่า
“รัฐธรรมนูญปี 2551 ที่รัฐบาลทหารผลักดันระบุว่า ประเทศ จะต้องมีสัญลักษณ์ของชาติแบบใหม่ รวมถึงธงแบบใหม่ซึ่งมีสีเหลือง เขียว และแดง อันหมายถึงความเป็นปึกแผ่น สันติภาพ และความสงบ รวมทั้งความกล้าหาญและความแน่วแน่ นอกจากนี้การเปลี่ยนธงชาติเป็นแบบใหม่อย่างปัจจุบันทันด่วนยังได้สร้างความแปลกใจไปทั่ว “เราได้รับการแนะนำให้นำธงแบบเก่าลงมาและชักธงผืนใหม่ขึ้นแทนในเวลาบ่าย 3 โมงตรง” เจ้าหน้าที่ด้านการศึกษาผู้หนึ่งในย่านปะเต่งในจังหวัดอิรวดีกล่าวช่วงสั้นๆ ก่อนจะเริ่มพิธีเชิญธงชาติ
ฤกษ์งามยามดีที่ได้รับการแนะนำให้ทำพิธีเชิญธงได้รับคำแนะนำจากหมอดูและนักดูฤกษ์ ทั้งสองฝ่ายต่างได้รับความเชื่อถืออย่างสูงในพม่า วันที่กำหนดคือ 21 คือการนำเลข 2 กับเลข 1 บวกกัน ซึ่งเท่ากับ 3 ก็ได้เวลาทำพิธีคือบ่าย 3 ซึ่งตรงกับที่ปีนี้เป็นปี 2010 เมื่อบวกตัวเลขปีแล้วก็ได้เท่ากับ 3 เหมือนกัน
เมื่อรวมกันทั้งหมดได้เลข 9 ซึ่งเป็นตัวเลขนำโชคของหลายประเทศในเอเชีย โดยเฉพาะพม่า ซึ่งในช่วงท้ายของทศวรรษ 1980 ที่มีธนบัตรชนิด 45 และ 90 จั๊ต ตัวเลขที่สามารถหารด้วยเลข 9 ข้อมูลเหล่านี้พลเอกเนวินที่เชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติเป็นคนไตร่ตรองไว้”
สำหรับทางด้านกลุ่มชาติพันธุ์ มีทัศนะที่น่าสนใจเกี่ยวกับธงชาติใหม่ของพม่าจากทางผู้นำกองกำลังกู้ชาติของกะเรนนีแห่งรัฐกะยา และผู้นำกองกำลังกู้ชาติไทใหญ่แห่งรัฐฉาน สองรัฐที่มีสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญฉบับแรกของพม่าให้สามารถแยกออกตั้งประเทศเป็นเอกราชได้ โดย นายพลบีทู ผู้นำกองกำลังพรรคก้าวหน้าแห่งชาติกะเรนนี (Karenni National Progress Party - KNPP) ได้กล่าวถึงธงชาติใหม่ของ พม่าว่า นี่ไม่ใช่หมุดหมายของการถ่ายโอนประชาธิปไตยอย่างที่ผู้นำพม่ากล่าวอ้างกันอีกแล้ว แต่ดูจะเป็นหมุดหมายของปัญหาที่ชนกลุ่มน้อยจะต้องเผชิญอย่างหนักขึ้นในอนาคตเสียมากกว่า ด้วยเหตุที่นายพลบีทู กล่าวว่า
“มันกลับไปเหมือนธงชาติพม่าสมัยต่อต้านญี่ปุ่น ซึ่งหมายถึงว่าในพม่ามีกลุ่มพม่าอย่างเดียว จนเมื่อพม่าต่อต้านญี่ปุ่นเสร็จ ได้เอกราช จากอังกฤษ พม่าเริ่มปกครองประเทศเป็นสหภาพ เขาถึงทำธงชาติที่มีรูป 14 ดาว อันหมายถึง 7 รัฐของกลุ่มชาติพันธุ์กับ 7 เขตในพม่า แต่ตอนนี้ เหลือดาวเดียว และสีในธงชาติกลับไปเหมือนธงพม่าแบบโบราณช่วงต่อต้านญี่ปุ่น ดาวเดียวมันหมายถึงพม่าเป็นชาติใหญ่ที่สุด มีอำนาจเต็ม พิกัด ใหญ่กว่าทุกกลุ่มชาติพันธุ์ ไม่มีความเป็นสหภาพอีกแล้ว”
สำหรับ พลโทยอดศึก ผู้นำกองทัพรัฐฉาน (Shan State Army - SSA) ได้ให้ทัศนะถึงเรื่องนี้ว่า ผลที่ตามมาจากการเปลี่ยนธงชาติใหม่ของพม่านั้น “การวิพากษ์วิจารณ์คงมีอยู่แต่อย่างอื่นคงไม่เปลี่ยนแปลงอะไร
คำวิพากษ์วิจารณ์จะเป็นในลักษณะว่า มีดาวดวงเดียวเหมือนพม่าเป็นเจ้าของอำนาจเบ็ดเสร็จฝ่ายเดียว ซึ่งน่าจะสร้างความแตกแยกระหว่างพม่ากับชนกลุ่มน้อยได้”
และพลโทยอดศึกยังกล่าวถึงความหมายเบื้องหลังธงชาติใหม่นี้ว่า “ธงชาติใหม่ของพม่าที่เขาทำออกมา ผมเห็นว่ามีความหมาย 3 อย่าง คือ
1.ก่อนนั้นธงชาติพม่าเป็นธงที่มีภาพรวงข้าว ดวงดาว 14 ดวง อันนั้นหมายความว่าทุกเผ่ามีส่วนร่วม กลุ่มชาติพันธุ์มีส่วนในการปกครอง ประเทศ รวงข้าวทำให้เห็นว่าประเทศนี้เป็นประเทศชาวไร่ชาวนา
2.ธงชาติใหม่นี้ดาวมีดวงเดียว หมายถึงชาติพม่าเองน่าจะเป็นใหญ่เป็นโต ชาติพันธุ์อื่นๆ ถูกพม่ากลืนไปหมด ให้เป็นชาติพม่าทั้งหมด อำนาจให้มีที่พม่าเพียงอย่างเดียว ดาวดวงเดียวนี้บ่งบอกว่าทางรัฐบาลเผด็จการพม่า เขาอยากตั้งกษัตริย์พม่า อยากสร้างประวัติศาสตร์ให้มีกษัตริย์ขึ้นมาใหม่ ดาวดวงเดียวหมายถึงอำนาจฝ่ายเดียวไม่มีใครขัดขวางได้
3.สีในธงชาติใหม่ของพม่านั้น สีเหลืองคือพุทธะ พม่าเชื่อใน ศาสนาพุทธ สีเขียวหมายถึงทรัพยากรธรรมชาติ สีแดงหมายถึงเลือด กล้าหาญ ธงชาติใหม่พม่ามีสีเขียว เหลือง แดง เหมือนธงชาติไทใหญ่
ผมเห็นว่าความหมายของสีไม่น่าจะต่างกันนัก ไทใหญ่ก็เป็นชาวพุทธ มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ และมีเลือดกล้าหาญเหมือนกัน เพียงแต่ธงไทใหญ่มีวงกลมขาวอยู่ตรงกลาง อันหมายถึงความสงบร่มเย็น เป็นดวงเดือนแห่งความร่มเย็นของไทใหญ่และชาวโลก อย่างไรเสีย ดวงเดือน ต้องมีพลังแรงกว่าดวงดาวอยู่แล้ว”
ถึงวาระนี้ พม่าเปลี่ยนธงชาติมาแล้ว 6 แบบ ตามการเปลี่ยนแปลง ทางการเมือง ขณะที่เพิ่งเขียนรัฐธรรมนูญมาได้เพียง 3 ฉบับ จะชอบหรือ ไม่ชอบ ใครจะล้มจะตาย จะจับใครเข้าคุก จะปล่อยใครออกจากคุกจากการควบคุมกักบริเวณ หรือใครจะประท้วงวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างไร ดูจะไม่มีผลใดๆ กับรัฐบาลพม่า เพราะธงชาติใหม่ของพม่าก็ได้สะบัด พลิ้วอยู่ทั่วประเทศ ประกาศศักดาของดาวดวงเดียว ราวจะกำหนดอนาคต ของกลุ่มชาติพันธุ์ไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า จะต้องดำเนินไปภายใต้อำนาจ เผด็จการทหารอย่างเบ็ดเสร็จที่ไม่มีใครจะมาแบ่งแยกไปได้
ส่วนประชาธิปไตย ความเสมอภาค สันติภาพ ภราดรภาพ จะไม่มีวันได้รับจากการร้องขอ และไม่มีวันที่ใครจะมาสงเคราะห์หยิบยื่นให้ อยากได้-ต้องฟาดฟันต่อสู้กันเอาเอง!.