“ฉันจะมีชีวิตอยู่จนกระทั่งได้เห็นพม่าที่เป็นประชาธิปไตย” นางอองซาน ซูจี กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอพี เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา
นับตั้งแต่นางอองซาน ซูจี ได้รับอิสรภาพในวันที่ 13 พฤศจิกายน บทบาททางการเมือง ได้เริ่มต้นขึ้นท่ามกลางความคาดหวังของประชาชนทั้งภายในและภายนอกประเทศ ซึ่งนาง ซูจีได้กล่าวถึงประเด็นทางการเมืองที่ยังคงเป็นปัญหาในการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริงในประเทศพม่า ไม่ว่าจะเป็นกรณีการเลือกตั้งที่ส่อเค้าทุจริต การ คุมขังนักโทษการเมืองจำนวนกว่า 2,000 คนอย่างไร้ความยุติธรรม การสั่งยุบพรรคสันนิบาต แห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (National League for Democracy - NLD) โดยใช้กฎหมายกลั่นแกล้ง ซึ่งปัญหาเหล่านี้คือบทบาทที่นางซูจีต้องการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการตรวจสอบ ชี้แจง และแก้ไขให้กับประชาชน
นอกจากบทบาทปัญหาที่เกิดขึ้นในพม่าเองแล้ว นางซูจียังเป็นผู้ชี้ชะตากรรมความอยู่รอดของประชาชนอีกจำนวนไม่น้อย เนื่องจากการ ใช้มาตรการคว่ำบาตรของประชาคมโลกจะขึ้นอยู่กับนางซูจีว่าเห็นด้วยหรือไม่ หากไม่เห็นด้วย การคว่ำบาตรที่ทำให้ประเทศพม่าเหลือทุนการช่วยเหลือจากต่างประเทศเพียงน้อยนิดก็จะเป็นอันยุติลง ซึ่งบทบาทอันหนักหน่วงเหล่านี้อาจเป็นลางบอกเหตุถึงการดำเนินการที่ยังจะต้องมีความรัดกุมเพื่อไม่ให้รัฐบาลนำไปเป็นข้ออ้างในการสั่งกักบริเวณเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา
ด้วยปัญหาและความสุ่มเสี่ยงที่นางซูจีจะต้องถ่วงดุลระหว่างบทบาทอันเป็นความหวังของประชาชน กับการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ต่อ รัฐบาลอย่างชัดเจน จึงนำไปสู่การเจรจาที่นางซูจีต้องการให้เป็นหนทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ เป็นวิธีการเรียกร้องอย่างสันติโดยไม่มีการเสียเลือดเนื้อของประชาชนเฉกเช่นอดีตที่ผ่านมา
อ.คืนใส ใจเย็น บรรณาธิการสำนักข่าวฉาน ซึ่งทำหน้าที่นำเสนอข่าวสารสถานการณ์ในรัฐฉาน ประเทศพม่า ได้แสดงความคิดเห็นต่อเรื่อง การเจรจาว่า การเจรจาที่จะช่วยให้เกิดการแก้ไขสถานการณ์ปัญหาต้องเกิดขึ้นจากความร่วมมือทั้ง 3 ฝ่าย คือ รัฐบาล พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (National League for Democracy - NLD) และกลุ่มชาติพันธุ์ เพราะจะทำให้เกิดการพัฒนา และได้รับการแก้ไขปัญหา ของทุกฝ่ายอย่างแท้จริง แต่สิ่งสำคัญคือนางซูจีจำเป็นต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชนก่อนว่าพวกเขาเหล่านั้นต้องการอะไร
“ตลอดเวลาที่ผ่านมา สิ่งที่รัฐบาลแก้ไขไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นการแก้ไขภาพลักษณ์ของตนเองต่อสายตานานาชาติ การเจรจาเพื่อให้เกิดข้อตกลงและร่วมแก้ไขอย่างแท้จริงจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่ก็ไม่รู้อีกเมื่อไรที่รัฐบาลจะพร้อมเจรจาหาทางออกให้กับปัญหาอย่างจริงจัง” อ.คืนใสกล่าว
สำหรับความไว้วางใจที่ประชาชนมีต่อรัฐบาลในการเจรจาครั้งนี้ก็ดูจะไม่พ้นการจัดฉากสร้างภาพที่ไม่ก่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาใดๆ ซึ่ง นอดิน บรรณาธิการสำนักข่าว Kachin News Group (KNG) สำนักข่าวกลุ่มชาติพันธุ์ชาวคะฉิ่นที่นำเสนอข่าวสารสถานการณ์ในประเทศพม่าแสดงความคิดเห็นต่อการเจรจาที่อาจเกิดขึ้นนี้ว่า รัฐบาลพม่าคงไม่ยอมเจรจากับกลุ่มชาติพันธุ์ หากมีการเจรจาก็คงเป็นเพียงการพูดคุยธรรมดา ระหว่างนางซูจีกับรัฐบาลเท่านั้น หรืออาจเป็นเพียงความพยายามที่จะทำให้คนนอกเห็นว่า มีการเจรจาที่เป็นจุดเริ่มต้นของความเป็นประชาธิปไตย ซึ่งก็คงไม่ใช่ในความเป็นจริง
“รัฐบาลเขาได้สิ่งที่ต้องการไปแล้ว คือการเป็นรัฐบาลภายใต้ ความเป็นระบอบประชาธิปไตย จึงไม่จำเป็นที่จะเจรจาเรียกร้องใดๆ อีกทั้งรัฐบาลยังระบุไว้อีกว่า รัฐบาลเป็นผู้เดียวที่จะทำการปกครองประเทศเท่านั้น ในแง่นี้ คงหมายความว่าจะต้องไม่มีใครมาเกี่ยวข้อง” นอดินกล่าว
นอดินกล่าวต่อว่า แม้นางซูจีจะเป็นความหวังของประชาชนพม่าที่เชื่อว่าสามารถนำประเทศไปสู่ประชาธิปไตย แต่ในเรื่องปัญหากลุ่ม ชาติพันธุ์นั้นคนละเรื่องกัน ตลอดระยะเวลาก่อนการได้รับอิสรภาพของนางซูจีครั้งนี้ นางซูจีไม่เคยกล่าวถึงปัญหาของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยกองทัพทหารของรัฐบาลเลย แต่หากวันนี้นางซูจีเห็นความสำคัญของปัญหา และได้นำไปสู่การเจรจาที่แท้จริง การร่วมมือกัน ของกลุ่มคนทุกกลุ่มย่อมทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสู่ประชาธิปไตยได้สำเร็จ
อย่างไรก็ตาม บทบาทหน้าที่ทางการเมืองของนางซูจีครั้งนี้ ล้วนมีบทเรียนจากเหตุการณ์ในอดีต ไม่ว่าจะเป็นการขับเคลื่อนภาคประชาชน หรือการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง สิ่งเหล่านี้กลายเป็นชนวนที่ทำให้รัฐบาลสั่งกักขังนางซูจี ไปจนถึงการใช้ความรุนแรงคร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์มาแล้วจำนวนไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นในช่วงปี พ.ศ. 2532 ที่นางซูจีถูกสั่งกักบริเวณในบ้านพักของตนเองเป็นครั้งแรกจากการเรียกร้องรัฐบาลประชาธิปไตย อีกทั้งในปี พ.ศ. 2543 เป็นอีกครั้งที่นางซูจีถูกสั่งกักบริเวณจากการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง และล่าสุด ในปี พ.ศ. 2546 เหตุการณ์การปะทะกันของประชาชนฝ่ายรัฐบาลกับประชาชนฝ่ายสนับสนุนนางซูจีในระหว่างการพบปะประชาชนของนางซูจีนั้น เป็นผลให้กลุ่มผู้สนับสนุนกว่า 100 คนต้องเสียชีวิต
กล่าวได้ว่าแม้การสร้างบทบาททางการเมืองของนางซูจีจะใช้รูปแบบสันติวิธีตลอดมา แต่ก็อาจนำมาสู่การวางบทลงโทษอย่างไร้ความเป็นธรรมของรัฐบาลได้ทุกเมื่อ ซึ่ง อาฮ้อง ผู้จัดการสำนักข่าว Mizzima สาขาเชียงใหม่ หนึ่งในสำนักข่าวใหญ่ที่นำเสนอสถานการณ์ภายในประเทศพม่า ได้แสดงความเห็นต่อกรณีการใช้อำนาจเผด็จการของรัฐบาลที่อาจเกิดขึ้นกับนางซูจีว่า การเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง ของนางซูจีในครั้งนี้จะต้องมีความระมัดระวังไม่ให้รัฐบาลนำไปเป็นข้ออ้างสั่งกักขังอย่างที่เคยเป็นมา เพราะหากนางซูจีไม่มีอิสรภาพแล้ว ความตั้งใจที่จะนำพาประเทศไปสู่ประชาธิปไตยก็คงไม่เกิดประโยชน์หรือหากนางซูจีจะมีการเคลื่อนไหวจริง ก็คงไม่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้ เนื่องจาก รัฐบาลอาจยัดเยียดข้อกล่าวหาให้นางซูจีถูกกักขังได้ตลอดเวลา
แม้การเคลื่อนไหวทางการเมืองของนางซูจีภายหลังการได้รับอิสรภาพในครั้งนี้จะยังคงราบรื่น และอยู่ในกรอบจำกัดที่รัฐบาลพม่าขีดเส้นเอาไว้ แต่เส้นทางบทบาทอันยาวไกลที่นางซูจีต้องรับภาระนั้นก็ยังไม่อาจคาดการณ์ได้ว่าจะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นกับความเป็นอยู่ของประชาชน หรือต้องเผชิญกับการใช้อำนาจของรัฐบาลสั่งกักขังอย่างเผด็จการ แต่ตราบใดที่นางซูจียังคงมีเสรีภาพในการต่อสู้ ประชาชนทุกคนก็จะเฝ้าจับตาดูว่า จะมีวันใดที่นางซูจีสามารถสร้างความเป็นประชาธิปไตยในพม่าให้เกิดขึ้นจริงได้อย่างที่เธอต้องการ.